มือของหมัวมัวกำลังจะขยับ ชิงหลันที่อยู่บนข้อมือของหลินชิงเวยพลันส่งเสียงขู่ดังฟู่ๆ อย่างดุร้าย มันอ้าปากแลบปลายลิ้นแหลมๆ และเขี้ยวของมันออกมา มือของหมัวมัวพลันอ่อนยวบ นางรีบล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา ร่างของนางเกาะแนบติดไปกำแพงเพื่อหลบหลีกหลินชิงเวย หลินชิงเวยไม่ได้เคลื่อนไหว นางเดินไปหลบอยู่ด้านหลังของหลินชิงเวยได้สำเร็จจึงแอบพรูลมหายใจโล่งอกจึงยกเท้าขึ้นคิดจะหนีออกไปจากเรือนหลังเล็กอันมิดชิดหลังนี้ ใครจะคาดคิดว่าขณะที่นางกำลังจะยกเท้าขึ้นเตรียมวิ่งออกไปนั้น หลินชิงเวยยื่นมือออกไปปักเข็มเงินเล่มหนึ่งลงไปบนข้อเท้าของนาง ราวกับเข็มเล่มนั้นได้แทรกลึกลงไปในร่องระหว่างกระดูกข้อเท้า เจ็บปวดเสียจนหมัวมัวต้องคุกเข่าลง หลินชิงเวยคิด โชคดีที่ขณะที่นางทำการฝังเข็มให้กับฮ่องเต้น้อยนางได้หยิบเข็มเงินติดมือมาด้วยเล็กน้อย เมื่อมีคนอยู่มากนางจึงไม่สะดวกที่จะลงมือ เวลานี้ในเรือนหลังเล็กนี้มีเพียงพวกนางสามคนเท่านั้น หลินชิงเวยลากร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตนไปยืนอยู่เบื้องหน้าหมัวมัว นางยื่นมือไปหยิบแส้นั้นมา หมัวมัวกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ข้าบอกเจ้าไว้ก่อน ข้าเป็นคนโปรดคนสนิทข้างกายของไทเฮา หากมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า จุดจบของพวกเจ้ามีเพียงความตายเท่านั้น! ตายสถานเดียวเท่านั้น!” หลินชิงเวยพิจารณาแส้ในมือแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะปฏิบัติกับเจ้าด้วยวิธีการตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้แส้นี้เฆี่ยนตีเจ้าอย่างโหดเหี้ยมใช่หรือไม่?” พูดแล้วนางก็โยนแส้ทิ้งไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่ ข้าไม่ชอบวิธีการตาต่อตาฟันต่อฟัน ยิ่งไม่ชอบวิธีการระงับเวรด้วยการไม่จองเวร” เมื่อนางพลิกฝ่ามืออีกครั้ง เข็มเงินอีกสองเล่มก็แทงเข้าไปที่หัวเข่าทั้งคู่ของหมัวมัว นางไม่จำเป็นต้องกะเกณฑ์ตำแหน่งและเรี่ยวแรงขณะปักเข็มลงไป ปลายนิ้วของนางเพียงออกแรงนวดคลึงกล้ามเนื้อบริเวณหัวเข่าของหมัวมัว สุดท้ายนางดึงเข็มเงินทั้งสองเล่มออกจากด้านหลังหัวเข่าของหมัวมัว หมัวมัวผู้นั้นได้รับความเจ็บปวดเสียจนชักกระตุก ล้มลงยืนขึ้นไม่ได้อีก “พี่สาว…” ซินหรูร้องเรียกนางอยู่ด้านข้าง นางราวกับไม่ได้ยิน ต่อมาหลินซินเวยจี้สกัดจุดชีพจรร่างกายท่อนบนของหมัวมัว แล้วปักเข็มเงินลงบนลำคอของนางอีกเล่มหนึ่ง หมัวมัวตาเหลือกถลนทันที ตาขาวของนางพลิกขึ้นมา สีหน้าของหลินชิงเวยเยือกเย็น ดวงตาทั้งคู่นิ่งลึก ปลายนิ้วกดลงไปเบาๆ ให้เข็มนั้นแทงเข้าไปลึกขึ้นกว่าเดิมเพื่อสัมผัสให้ถึงเส้นประสาทของนาง “โปรดละเว้น…ละ…เว้น” ร่างของหมัวมัวสั่นเทิ้ม คำพูดเพียงประโยคเดียวก็พูดออกมาไม่ได้ หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นเรียบๆ “พรุ่งนี้รอกระทั่งมีคนมาพบว่าเจ้าตายแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ ในเมื่อเป็นเรื่องของพรุ่งนี้ เวลานี้ใครจะรู้เล่าว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร” เดิมทีนางไม่ปรารถนาที่จะใช้สิ่งของที่นำมาช่วยชีวิตผู้คนมาสังหารคน แต่นี่เป็นยุคสมัยที่เห็นชีวิตของมนุษย์เป็นเช่นต้นไม้ใบหญ้า นางไม่สังหารผู้อื่น ผู้อื่นก็สังหารนาง สังหารคน ช่วยชีวิตคน ล้วนเป็นความคิดเพียงชั่วแล่น นางสังหารผู้อื่น ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ได้แล้วยังมีซินหรู สุดท้าย หลินชิงเวยมองหมัวมัวที่หายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสายตาสงบนิ่ง นางคิดจะยกมือขึ้นขัดขวางตน แต่นางไม่อาจยกมือขึ้นได้ ปลายลิ้นของนางจุกอยู่ในลำคอจากนั้นค่อยๆ ขาดอากาศหายใจจนตาย กระทั่งหมัวมัวขาดใจตาย หลินชิงเวยจึงดึงเข็มเงินออกจากลำคอของนางออกมา สภาพการตายของนางน่ากลัวเกินไป หลินชิงเวยฉวยโอกาสที่สมองของหมัวมัวยังไม่ได้ตายไปทั้งหมด อาศัยปฏิกิริยาของประสาทสัมผัสสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของนาง ใช้เข็มเงินผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าของนางกลับไปสู่ใบหน้าดุดันดังยามปกติของนาง ดูไปแล้วเหมือนตายจากไปอย่างสงบ ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญก็มองไม่ออกถึงพิรุธใดๆ ภายในเรือนหลังเล็กอันมืดมิด เงียบสงัดจนน่ากลัว แสงสว่างจากเทียนไขที่สะท้อนกับกำแพง ล้วนเหมือนเงาของภูตผีที่น่าสะพรึงกลัว
มือของหมัวมัวกำลังจะขยับ ชิงหลันที่อยู่บนข้อมือของหลินชิงเวยพลันส่งเสียงขู่ดังฟู่ๆ อย่างดุร้าย มันอ้าปากแลบปลายลิ้นแหลมๆ และเขี้ยวของมันออกมา มือของหมัวมัวพลันอ่อนยวบ นางรีบล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา ร่างของนางเกาะแนบติดไปกำแพงเพื่อหลบหลีกหลินชิงเวย หลินชิงเวยไม่ได้เคลื่อนไหว นางเดินไปหลบอยู่ด้านหลังของหลินชิงเวยได้สำเร็จจึงแอบพรูลมหายใจโล่งอกจึงยกเท้าขึ้นคิดจะหนีออกไปจากเรือนหลังเล็กอันมิดชิดหลังนี้
ใครจะคาดคิดว่าขณะที่นางกำลังจะยกเท้าขึ้นเตรียมวิ่งออกไปนั้น หลินชิงเวยยื่นมือออกไปปักเข็มเงินเล่มหนึ่งลงไปบนข้อเท้าของนาง ราวกับเข็มเล่มนั้นได้แทรกลึกลงไปในร่องระหว่างกระดูกข้อเท้า เจ็บปวดเสียจนหมัวมัวต้องคุกเข่าลง
หลินชิงเวยคิด โชคดีที่ขณะที่นางทำการฝังเข็มให้กับฮ่องเต้น้อยนางได้หยิบเข็มเงินติดมือมาด้วยเล็กน้อย เมื่อมีคนอยู่มากนางจึงไม่สะดวกที่จะลงมือ เวลานี้ในเรือนหลังเล็กนี้มีเพียงพวกนางสามคนเท่านั้น
หลินชิงเวยลากร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตนไปยืนอยู่เบื้องหน้าหมัวมัว นางยื่นมือไปหยิบแส้นั้นมา หมัวมัวกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ข้าบอกเจ้าไว้ก่อน ข้าเป็นคนโปรดคนสนิทข้างกายของไทเฮา หากมีอะไรเกิดขึ้นกับข้า จุดจบของพวกเจ้ามีเพียงความตายเท่านั้น! ตายสถานเดียวเท่านั้น!”
หลินชิงเวยพิจารณาแส้ในมือแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะปฏิบัติกับเจ้าด้วยวิธีการตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้แส้นี้เฆี่ยนตีเจ้าอย่างโหดเหี้ยมใช่หรือไม่?” พูดแล้วนางก็โยนแส้ทิ้งไปอีกทางหนึ่งพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่ ข้าไม่ชอบวิธีการตาต่อตาฟันต่อฟัน ยิ่งไม่ชอบวิธีการระงับเวรด้วยการไม่จองเวร”
เมื่อนางพลิกฝ่ามืออีกครั้ง เข็มเงินอีกสองเล่มก็แทงเข้าไปที่หัวเข่าทั้งคู่ของหมัวมัว นางไม่จำเป็นต้องกะเกณฑ์ตำแหน่งและเรี่ยวแรงขณะปักเข็มลงไป ปลายนิ้วของนางเพียงออกแรงนวดคลึงกล้ามเนื้อบริเวณหัวเข่าของหมัวมัว สุดท้ายนางดึงเข็มเงินทั้งสองเล่มออกจากด้านหลังหัวเข่าของหมัวมัว
หมัวมัวผู้นั้นได้รับความเจ็บปวดเสียจนชักกระตุก ล้มลงยืนขึ้นไม่ได้อีก
“พี่สาว…” ซินหรูร้องเรียกนางอยู่ด้านข้าง นางราวกับไม่ได้ยิน
ต่อมาหลินซินเวยจี้สกัดจุดชีพจรร่างกายท่อนบนของหมัวมัว แล้วปักเข็มเงินลงบนลำคอของนางอีกเล่มหนึ่ง หมัวมัวตาเหลือกถลนทันที ตาขาวของนางพลิกขึ้นมา สีหน้าของหลินชิงเวยเยือกเย็น ดวงตาทั้งคู่นิ่งลึก ปลายนิ้วกดลงไปเบาๆ ให้เข็มนั้นแทงเข้าไปลึกขึ้นกว่าเดิมเพื่อสัมผัสให้ถึงเส้นประสาทของนาง
“โปรดละเว้น…ละ…เว้น” ร่างของหมัวมัวสั่นเทิ้ม คำพูดเพียงประโยคเดียวก็พูดออกมาไม่ได้
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นเรียบๆ “พรุ่งนี้รอกระทั่งมีคนมาพบว่าเจ้าตายแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ ในเมื่อเป็นเรื่องของพรุ่งนี้ เวลานี้ใครจะรู้เล่าว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร”
เดิมทีนางไม่ปรารถนาที่จะใช้สิ่งของที่นำมาช่วยชีวิตผู้คนมาสังหารคน แต่นี่เป็นยุคสมัยที่เห็นชีวิตของมนุษย์เป็นเช่นต้นไม้ใบหญ้า นางไม่สังหารผู้อื่น ผู้อื่นก็สังหารนาง
สังหารคน ช่วยชีวิตคน ล้วนเป็นความคิดเพียงชั่วแล่น
นางสังหารผู้อื่น ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ได้แล้วยังมีซินหรู
สุดท้าย หลินชิงเวยมองหมัวมัวที่หายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสายตาสงบนิ่ง นางคิดจะยกมือขึ้นขัดขวางตน แต่นางไม่อาจยกมือขึ้นได้ ปลายลิ้นของนางจุกอยู่ในลำคอจากนั้นค่อยๆ ขาดอากาศหายใจจนตาย
กระทั่งหมัวมัวขาดใจตาย หลินชิงเวยจึงดึงเข็มเงินออกจากลำคอของนางออกมา สภาพการตายของนางน่ากลัวเกินไป หลินชิงเวยฉวยโอกาสที่สมองของหมัวมัวยังไม่ได้ตายไปทั้งหมด อาศัยปฏิกิริยาของประสาทสัมผัสสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของนาง ใช้เข็มเงินผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าของนางกลับไปสู่ใบหน้าดุดันดังยามปกติของนาง ดูไปแล้วเหมือนตายจากไปอย่างสงบ ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญก็มองไม่ออกถึงพิรุธใดๆ
ภายในเรือนหลังเล็กอันมืดมิด เงียบสงัดจนน่ากลัว แสงสว่างจากเทียนไขที่สะท้อนกับกำแพง ล้วนเหมือนเงาของภูตผีที่น่าสะพรึงกลัว