ปี้หลิงก้าวเข้าไปเคาะประตูห้อง “ลวี่เฉี่ยว ข้าเอง”
ทันทีที่พูดจบ ลวี่เฉี่ยวก็เปิดประตูห้องออกจากด้านในพร้อมกับดึงร่างของปี้หลิงเข้าไป ไม่รอให้ปี้หลิงเอ่ยปากก็ถามขึ้นว่า “เหนียงเหนียงเล่า นางได้ถามถึงข้าหรือไม่?”
ปี้หลิงพยักหน้าตอบว่า “ถาม”
ลวี่เฉี่ยวหน้าขาวเผือดในชั่วพริบตา “นางพูดอะไร?”
ปี้หลิงกล่าว “เหนียงเหนียงถามว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่อยู่ ข้าจึงตอบไปว่า เจ้าไม่สบาย ได้รับอนุญาตจากพ่อบ้านให้พักผ่อนอยู่ในห้อง”
ลวี่เฉี่ยวพรูลมหายออกมา ทว่ายังมิอาจโล่งใจได้อย่างเต็มที่นัก
ปี้หลิงพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์อันไม่มั่นคงของตนแล้วเดินไปรินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง “ยามนี้เหนียงเหนียงกำลังทานอาหารมื้อเย็น ได้ยินข้าพูดเช่นนั้นจึงไม่ได้ถามถึงเจ้าอีก เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป ไม่แน่ว่าเหนียงเหนียงอาจไม่มีเจตนาที่จะลงโทษเจ้า”
หลังจากลวี่เฉี่ยวดื่มน้ำชาลงไปถ้วยหนึ่งก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างไม่สบายใจ นางพูดกับตนเองว่า “อาจเป็นไปได้ว่านางยังไม่พบสาเหตุ ถูกต้อง จะต้องเป็นเพราะยังไม่พบสาเหตุ” นางหันกลับมากุมมือของปี้หลิง “วันนี้จ้าวกุ้ยเหรินได้ตอบรับให้โยกย้ายข้าไปทางนั้นแล้ว พรุ่งนี้ข้าก็จะไปทำหน้าที่ในตำหนักของจ้าวกุ้ยเหริน ขอเพียงคืนนี้นอนหลับไปถึงพรุ่งนี้ก็จะได้ออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนย่อมไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ปี้หลิง ขอบคุณเจ้าที่นำความมาบอกกับข้า!” เหตุใดเมื่อพูดจบ ลวี่เฉี่ยวพลันรู้สึกว่าใต้เท้าของตนเบาหวิว ความรู้สึกเหมือนกับขาทั้งคู่ลอยขึ้นมาด้วยความอ่อนแรงนั้นทำให้นางขมวดคิ้ว
ต่อมาภาพเบื้องหน้าของลวี่เฉี่ยวเริ่มพร่าเลือน สายตาของนางค่อยๆ มองเห็นทุกอย่างไม่ชัดเจน แม้กระทั่งใบหน้าของปี้หลิงก็ดูเหมือนมองเห็นไม่ชัดเจน ร่างของนางยืนไม่อยู่ นางถอยไปด้านหลังหลายก้าว ดวงตาเบิกกว้างทั้งคู่จ้องมองปี้หลิง
สีหน้าของปี้หลิงเผือดขาวทว่าปากยังคงเอ่ยขึ้นว่า “ลวี่เฉี่ยว เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?” นางคิดจะดึงมือของตนออกมาจากมือของลวี่เฉี่ยว ลวี่เฉี่ยวได้ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ในใจจึงอ่อนไหวอย่างยิ่ง นางจึงจับมือของปี้หลิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
สีหน้าท่าทางบนใบหน้าของลวี่เฉี่ยวเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ความรู้สึกเวียนศีรษะอย่างหนักมาพร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง ทำให้นางไร้หนทางที่จะรับมือได้ นางเพิ่งจะกระจ่างแจ้งว่านางหลงกลแล้ว ก่อนหน้าที่ปี้หลิงจะมาถึงทุกอย่างล้วนปกติดีแต่ทันทีที่ปี้หลิงมาถึงนางกลับย่ำแย่ทันที!
ลวี่เฉี่ยวนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่ปี้หลิงได้รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง จึงจับจ้องปี้หลิงเขม็ง “เจ้าวางยาข้า? เหตุใดเจ้าจึงวางยาข้า? เหตุใด?!”
“เจ้าปล่อยมือก่อนได้หรือไม่…” ปี้หลิงถอยหลังไปหลายก้าว นางออกแรงดิ้นรนต่อสู้ ทว่าลวี่เฉี่ยวยังคงไม่ยอมปล่อยมือของนางอยู่นั่นเอง นางจึงขึ้นเสียงกล่าวออกไปว่า “ข้าบอกให้เจ้าปล่อยมือ!”
ปี้หลิงออกแรงผลักนางออกไป ลวี่เฉี่ยวในเวลานี้หมดเรี่ยวสิ้นแรง จึงล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้น ลวี่เฉี่ยวพลิกตัวกลับมาจับเท้าของปี้หลิงเอาไว้ ถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้…เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ ในวังหลวงแห่งนี้พวกเราต่างเป็นสหายที่ดีที่สุด…”
“สหายที่ดีที่สุดเช่นนั้นหรือ?” ปี้หลิงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “สหายที่ดีที่สุด เจ้ากลับให้ข้าไปทำเรื่องอันตรายแทนเจ้า! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเกือบจะต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวกับเจ้าแล้ว! พวกเราล้วนเป็นนางกำนัลขั้นเดียวกัน พวกเราล้วนต้องฟังคำสั่งของเจ้านาย ดังนั้นเจ้าโทษข้าไม่ได้”
พูดแล้วปี้หลิงก็ยกเท้าขึ้นถีบลวี่เฉี่ยวออกไปด้วยความหวาดกลัว หันกายแล้ววิ่งออกประตูไป
สายลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกทำให้ลวี่เฉี่ยวรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย นางร้อนเหลือเกิน ร้อนไปทั้งร่างกายเกินที่นางจะทานทนไหวกระทั่งต้องปลดเสื้อผ้าของตน
หลินชิงเวยยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มองปี้หลิงที่วิ่งหกล้มหกลุกออกมาจากเรือนหลังนั้น ภายในเรือนสว่างไสวด้วยแสงเทียนสีเหลืองมลังมเลืองดูอบอุ่นยิ่ง ปี้หลิงตื่นตระหนกตกใจอย่างหนัก นางลนลานไม่ได้สติ หรืออาจเป็นเพราะหลินชิงเวยที่แฝงตัวอยู่ในเงามืดของรัตติกาลทำให้นางไม่สังเกตเห็น ปี้หลิงมองไม่เห็นนางและวิ่งห่างออกไปไกล
หลินชิงเวยยืนอยู่ข้างนอกอีกครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นจากภายในเรือน จึงยกเท้าเดินค่อยๆ เดินไปทางนั้น
ย่างก้าวแต่ละก้าวของนางเป็นธรรมชาติและอิสระเสรี ราวกับเกรงว่าจะทำให้ห้วงเวลาของรัตติกาลถูกทำลายหายไป นางเดินผ่านธรณีประตูเข้าไปอย่างช้าๆ
ภายในเรือนเต็มไปด้วยภาพแห่งวสันตฤดู
ดวงตาของนางเปิดปรือเพียงครึ่งๆ แววตายั่วยวนหวานฉ่ำนั้นราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ เมื่อมีเงาร่างร่างหนึ่งบังประตูเอาไว้ ลวี่เฉี่ยวจึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างลำบากยากเย็น เมื่อเห็นว่าเป็นหลินชิงเวย สติที่สะลึมสะลือนั้นราวกับหยุดชะงันงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นดูเหมือนจะจำนางได้จึงคลานเข้ามาหานางด้วยความทุกข์ทรมาน
ลวี่เฉี่ยวเอ่ยพร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้น “ข้าทรมานเหลือเกิน…”
หลินชิงเวยหลุบตาลงต่ำมองนางอย่างสงบนิ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ชื่นชอบการกระทำเช่นตาต่อตาฟันต่อกัน และไม่ชื่นชอบการระงับเวรด้วยการไม่จองเวร ข้าชื่นชอบการเอาคืนแบบเท่าทวีคูณมากกว่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าโอสถวสันต์ที่ข้าปรุงเองกับมือนั้นจะเทียบได้กับโอสถวสันต์ในตลาดมืดเหล่านั้นได้หรือไม่”
ลวี่เฉี่ยวร่ำไห้ราวกับดอกหลี[1]ต้องฝน เดิมทีนางไม่กล้าร้องตะโกนตามอำเภอใจต่อหน้าหลินชิงเวย ทว่าเวลานี้นางทนไม่ไหวจริงๆ
ความปรารถนานั้นยากเกินกว่าที่จะควบคุมเอาไว้ได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถูกดูหมิ่นดูแคลน ทำให้นางเคียดแค้นชิงชังที่มิอาจเอาศีรษะโขกกำแพงตายให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ด้วยเวลานี้แม้แต่กำลังวังชาที่นางจะชนกำแพงก็หามีไม่
ลวี่เฉี่ยวรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ขณะที่หลินชิงเวยยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมานของลวี่เฉี่ยว นางยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาจากนั้นสะบัดแขนเสื้อจากไป
เมื่อก่อนในฐานะนางกำนัลคนสนิทของนางกลับทนต่อสิ่งยั่วยุไม่ไหว กินบนเรือนถ่ายรดบนหลังคาจึงต้องมีจุดจบเยี่ยงนี้
รอกระทั่งตกกลางดึกยิ่งเงียบสงัด นางกำนัลในตำหนักฉางเหยี่ยนถึงเวลาผลัดเปลี่ยนเวรยามจึงกลับมาถึงสถานที่แห่งนี้เพื่อพักผ่อน ล้วนถูกความเคลื่อนไหวในห้องของลวี่เฉี่ยวทำให้ตื่นตระหนก มีคนผลักประตูห้องของนางเข้าไปเห็นภาพอันไม่น่าดูในห้องถึงกับหน้าเปลี่ยนสีด้วยความตื่นตะลึง
ลวี่เฉี่ยวถูกเคี่ยวกรำด้วยฤทธิ์ของยา ในที่สุดก็เหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงสิ้นสติไปตรงนั้นเอง
หลินชิงเวยกลับมาถึงห้องทานอาหารอีกครั้งพบซินหรูที่กินอิ่มแล้วกำลังฟุบร่างสัปหงกอยู่บนโต๊ะ กับข้าวบนโต๊ะล้วนเย็นชืด
เมื่อได้ยินเสียงซินหรูจึงขยี้ดวงตาและตื่นขึ้น มองหลินชิงเวยและกล่าวว่า “พี่สาว ไฉนท่านเพิ่งจะกลับมาเจ้าคะ”
หลินชิงเวยกล่าว “พี่สาวไปนานสักหน่อย”
“อาหารเย็นหมดแล้ว จะให้ข้าไปอุ่นอาหารให้พี่สาวหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้อง ข้าไม่กินแล้ว” หลินชิงเวยไหนเลยจะมีกะจิตกะใจกินข้าว นางเรียกคนเข้ามาเก็บกวาดโต๊ะ และพาซินหรูเข้าไปพักผ่อนในห้องของนาง
[1] ดอกสาลี่