ความคิดของหลินชิงเวยที่มีต่อเซียวเยี่ยนนั้นขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ด้วยเซียวเยี่ยนผู้นั้นมักจะทำให้คนคาดเดาไม่ออก บางครั้งนางคิดว่าเขาเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว บางครั้งก็รู้สึกว่าเขาช่างเป็นคนร้ายกาจอะไรเช่นนั้น ทว่านาทีนี้เซียวเยี่ยนผู้นี้สำหรับนางแล้ว ร้ายกาจเกินไปแล้ว
นางค่อยๆ คลานขึ้นมาจากบนพื้น หอบหายใจเข้าลึกในแววตานั้นยังเต็มไปด้วยความเย็นชาดูเหมือนไม่ได้น้อยกว่าเซียวเยี่ยนเท่าใดนัก การที่นางนิ่งเงียบไม่ได้หมายความว่านางเกรงกลัวเขา ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำเช่นใดก็ได้!
หลินชิงเวยแค่นหัวเราะเสียงเย็นสองครั้ง สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ สตรีอายุสิบหกปีนางหนึ่งกลับดูเหมือนมองเรื่องราวบนโลกนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เซียวอี้ที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างไม่อาจไม่มองนางด้วยสายตาพินิจพิจารณาใหม่อีกครั้ง
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยน ยกมือขึ้นถอดหมวกของขันทีออกจากศีรษะ เส้นผมยาวดำขลับทิ้งตัวแผ่สยายลงมา ปลายนิ้วของนางสะบัดปลายผมของตนไปด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ นางกล่าวกับเซียวเยี่ยนด้วยน้ำเสียงราวกับสายลมที่พัดผ่านเพียงแผ่วเบา “ช่างเถิด ความจริงเป็นเช่นใดข้าไม่สนใจแล้ว คนเหล่านั้นที่ตายไปวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นอย่างไรก็ไม่ได้มาหาข้า” พูดแล้วนางก็ยกมือขึ้นปลดกระดุมชุดขันทีบนร่างออกทีละเม็ดๆ จากนั้นปลดชุดขันทีออก ด้านในนางยังคงสวมชุดเสื้อกระโปรงของนาง นางก้มหน้าลงกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านต้องการเพียงทาสที่เชื่อฟังคำสั่งคนหนึ่ง หุ่นไม้ที่แล้วแต่ท่านจะจัดวางอย่างไร ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ต้องแสดงความเห็นของตน น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่หุ่นไม้นั้น และมิใช่ทาสที่เกิดมาพร้อมกับนิสัยของทาส ดังนั้น” นางม้วนชุดขันทีจนเป็นม้วนกลมๆ แล้วโยนลงเบื้องหน้าเซียวเยี่ยนและพูดเรียบๆ ว่า “ข้าไม่ปรนนิบัติแล้ว”
การกระทำและคำพูดของนาง แม้กระทั่งเซียวอี้ก็ยังตื่นตะลึง สตรีที่สามารถนำเสื้อผ้าอาภรณ์สกปรกมาโยนใส่เซ่อเจิ้งอ๋อง นางย่อมเป็นคนแรกที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์อย่างเด็ดขาด!
เซียวเยี่ยนตกตะลึงเล็กๆ นอกจากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด หางตาของเขากวาดผ่านร่างของหลินชิงเวยเพียงปราดเดียวอย่างรวดเร็ว
หลินชิงเวยเดินไปถึงข้างประตู เซียวอี้ขวางอยู่เบื้องหน้านาง นางอดที่จะเงยหน้าขึ้นไม่ได้ แสงแดดจากภายนอกไม่อาจส่องเข้ามาภายในเรือน แสงสว่างภายในกลับทำให้ดวงตาดำขลับทั้งคู่ของนางราวกับราตรีอันมืดมิด นางพูดว่า “จะไสหัวเข้ามา หรือไสหัวออกไป หรือไม่ก็หลีกทางให้ข้า”
ใบหน้าของเซียวอี้ปรากฏร่องรอยหยอกล้อ จากนั้นเบี่ยงกายหลีกทางให้นาง
หลินชิงเวยเดินออกไปอาดๆ โดยไม่หันกลับมามอง เงาร่างนั้นเดินผ่านสวนดอกไม้นานาชนิด กระทั่งมาสิ้นสุดที่ประตูวัง สาวน้อยรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผมยาวปลิวไสวงดงามชวนมองยิ่ง ทิฐิดื้อดึงทว่าเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
หลินชิงเวยออกจากตำหนักซวี่หยาง เดินไปๆ ก็ไม่รู้ว่าตนเดินมาถึงที่ไหน นางก้มหน้าดูปลายเท้าของตนมาโดยตลอดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองทิศทาง
กระทั่งหลินชิงเวยรู้สึกตัวและเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ด้าน–ที่นี่มันที่ไหนกัน?
กลิ่นดอกไม้จางๆ อวลอยู่ในมวลอากาศ ราวกับนางเดินอยู่บนทะเลดอกไม้
ไม่เลว นางเป็นทะเลดอกไม้ผืนนั้นจริงๆ
หลินชิงเวยคิดไม่ถึงว่าต้นไห่ถังที่อยู่ในตำหนักซวี่หยาง เวลานี้มีเป็นผืนใหญ่ มันผ่านแสงแดดของฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ล้วนกำลังเบ่งบาน กิ่งของมันแตกยอดอ่อน ดอกไม้สีแดงแต่ละดอกที่บานสะพรั่งราวกับเป็นทะเลเพลิงสีแดงสดทั้งผืน
ตำหนักในแห่งนี้กว้างใหญ่ ไม่มีอะไรที่ที่นี่ไม่มีจริงๆ
แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่งดงามยิ่งยวดแห่งหนึ่งจริงๆ ความอัดอั้นตันใจที่สุมในจิตใจของหลินชิงเวยก่อนหน้านี้พลันมลายหายไปสิ้น หลังจากได้เห็นทะเลดอกไม้ผืนนี้ อารมณ์ของนางกลับดีขึ้นหลายส่วน และอ่อนลงมาเล็กน้อย
สนามหญ้าสีเขียวใต้ฝ่าเท้านั้นนุ่มนิ่ม ทุกครั้งที่ก้าวเดินล้วนให้ความรู้สึกดียิ่ง
นางสวมกระโปรงสีเขียว เดินอยู่บนพื้นหลังที่เป็นทะเลเพลิง ราวกับเข้าไปสู่ภาพวาดภาพหนึ่ง ทำให้นางดูแล้วยิ่งอ่อนเยาว์
ในเวลานี้เองหลันพลันมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลัง ขณะที่หลินชิงเวยไม่ได้ระวังตัว เขาโอบผ่านเอวของหลินชิงเวยแล้วกอดนางเข้าไปในอ้อมอก
หลินชิงเวยตื่นตะลึง ไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง มืออีกข้างหนึ่งของคนผู้นั้นก็ปิดปากของนางเอาไว้ คนผู้นั้นพานางหมุนตัวหลายรอบ ฝีเท้าของนางสับสนอย่างยิ่ง ได้แต่เคลื่อนไหวก้าวเดินตามจังหวะของคนผู้นั้น หลังจากพลิกไปพลิกมาหลายตลบ แผ่นหลังของนางก็แนบติดไปกับต้นไห่ถังต้นหนึ่ง กิ่งไม้ของต้นไห่ถังสั่นสะเทือนเบาๆ กลีบดอกไม้สีแดงที่อยู่บนต้นจึงร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝนก็มิปาน
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมอง ประสายสายตากับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลา ในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะขึ้นเป็นริ้วๆ
เจ้าสุนัขผายลมเซี่ยนอ๋องผู้นี้มิใช่อยู่ในตำหนักซวี่หยางหรือไร ไฉนจึงมาอยู่ที่นี่ได้? เดินเหินล้วนไร้สุ้มเสียง หรือสะกดรอยตามนางมา ตามนางมานานถึงเพียงนี้ไฉนนางจึงไม่รู้ตัว
ถูกต้องแล้ว นาทีนี้ผู้ที่โอบนางอยู่คือเซี่ยนอ๋อง เซียวอี้ อย่างไร้ข้อกังขา
เซียวอี้กล่าว “เสี่ยวเวยเวย เจ้าช่างรู้จักเลือกสถานที่ยิ่งนัก มาถึงก็เลือกสถานที่เปลี่ยวไร้ผู้คนเช่นนี้ รู้ว่าข้าจะต้องมาหา มาพบเจ้าที่นี่ใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยกล่าว “ข้าเคยพบคนหน้าไม่อายมาก่อน แต่หน้าไม่อายเช่นท่านนี้ข้าเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก”
นางดิ้นรนต่อสู้เซียวอี้กลับยิ่งกอดยิ่งแน่นหนา รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเจิดจ้าทิ่มแทงสายตายิ่งนัก หลินชิงเวยถลึงตาใส่เขาอย่างทนไม่ไหว เขากลับกล่าวกลั้วหัวเราะด้วยความสุข “เจ้ายิ่งปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ในใจของข้ายิ่งชมชอบ”
“ท่านปล่อยข้า” หลินชิงเวยกล่าว “ที่นี่คือตำหนักใน รบกวนท่านอ๋องให้เกียรติตนเองด้วย!”
“ให้เกียรติตนเอง?” เซียวอี้หัวเราะอย่างพึงใจ “แต่ไรมาข้าไม่รู้ว่าตัวอักษรสองตัวนี้เขียนอย่างไร ข้ารู้เพียงแค่ว่าโฉมงามอยู่เบื้องหน้า หากไม่ถนอมพฤกษาอาลัยหยกเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ภายในตำหนักในนี้หญิงงามมีมากมาย ทว่าน้อยนักที่จะได้พบสตรีเผ็ดร้อนดุดันเช่นเจ้า เพ้ยๆๆ เมื่อสักครู่เจ้าโยนเสื้อผ้าใส่หน้าเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้ายังไม่ได้บอกว่าเจ้าทำได้ดี”
หลินชิงเวยยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มองเขาด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์
เขาเอ่ยอีกว่า “เพียงเซ่อเจิ้งอ๋องผู้นั้นเป็นคนไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ข้ากลับคิดว่าเจ้าสวมชุดของขันทีน้อยแล้วกลับทำให้ดูอ่อนเยาว์กว่า ทำให้ดูแล้วเป็นบุคลิกอีกแบบหนึ่ง เซ่อเจิ้งอ๋องไม่ทนุถนอมเจ้า เจ้าไม่สู้มาติดตามข้า” พูดแล้ว มือของเซียวอี้ก็ลูบลำคอของหลินชิงเวย ปลายนิ้วเรียวนั้นลูบลงบนรอยนิ้วมือของเซียวเยี่ยน ดูไปแล้วราวกับเขาปวดใจยิ่งยวดอย่างไรอย่างนั้น
หลินชิงเวยขนลุกเกรียวทั่วร่าง
หลินชิงเวยกล่าว “ข้าจะพูดอีกครั้ง ปล่อยข้า”
ชัดเจนยิ่งนักว่าเซียวอี้กำลังท้าทายขีดความอดทนของนาง “ข้าไม่ปล่อย เจ้าจะทำอะไรได้?” ทันทีหลินชิงเวยขยับปลายนิ้วมือ เซียวอี้กลับรู้ตัวว่องไวนัก เขายกมือขึ้นจี้สกัดจุดนางทันที
เผชิญหน้ากับความโกรธขึ้งของหลินชิงเวย เขาหัวเราะอย่างสาสมใจยิ่งขึ้น “งูตัวเล็กตัวนั้นของเจ้าเล่าอยู่ที่ไหน? เจ้าคงไม่คิดจะเรียกงูเล็กตัวนั้นมากัดข้าอีกกระมัง? ข้าค้นดูสักหน่อย หามันออกมาคืนนี้จะได้นำไปตุ๋น”
“…” หลินชิงเวยร้อนรุ่มใจ ไม่คิดว่าคนผู้นี้พูดแล้วจะลงมือทันที มือข้างหนึ่งยื่นมาหานาง และนางยังถูกจี้สกัดจุดจึงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ นางได้แต่เบิกตามองมือสุกรของเขาลูบมาที่เอวของนาง จากนั้นขยับขึ้นมาทีละชุ่นๆ ในที่สุดขณะที่หลินชิงเวยมองเขาด้วยสายตาที่สังหารคนได้ เขากลับยื่นฝ่ามือมาวางลงบนหน้าอกของนางอย่างไร้ซึ่งความกดดันใดๆ
เซียวอี้ “…” เขาดึงมือกลับมา มองฝ่ามือของตน แล้วบอกหน้าอกของหลินชิงเวย ดูเหมือนจะผิดหวังอย่างที่สุด “คงไม่ใช่กระมัง มีเพียงเท่านี้จริงๆ หรือ ไม่นะ ดูไปแล้วเล็กกว่าคราวที่แล้วเล็กน้อย ช่างเป็นลูกท้อเขียวลูกเล็กๆ สองลูกจริงๆ หรือ”