ผ่านไปครู่ใหญ่เซียวเยี่ยนจึงเงยหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์นั้นขึ้นมาพูดว่า “เวลานี้เจ้าตีก็ตีแล้ว ยินยอมรักษาแล้วหรือไม่?”
หลินชิงเวยหัวเราะ “ใครบอกกับท่านว่าข้าตีท่านแล้วก็จะช่วยท่าน? นี่เป็นเพียงการชำระความแค้นเมื่อหนก่อนต่างหากเล่า”
หน้าอกของเซียวเยี่ยนกระเพื่อมขึ้นลง เขาอดทนแล้วอดทนอีก ไม่ง่ายดายเลยกว่าที่เขาจะควบคุมตนเองไม่ให้เข้าไปบีบคอนางอย่างวู่วามอีกครั้ง
หลินชิงเวยกล่าวขึ้นอีกว่า “ต้องการให้ข้ารักษานั้นได้ เพียงแต่ท่านต้องรับปากว่าปล่อยข้าออกจากวัง”
หลังจากเซียวเยี่ยนครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็พูดขึ้นว่า “ได้ เปิ่นหวางรับปากเจ้า”
ดูเหมือนหลินชิงเวยจะอารมณ์ดีไม่น้อย ดวงตาของนางยิ้มจนโค้งลงเป็นรูปเสี้ยวจันทร์ นางยกเท้าก้าวเดินเข้าไปภายในเรือน “ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ท่านอ๋องจะอยู่ทานอาหารที่นี่หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนหันไปมองเท้าเปล่าเปลือยของหลินชิงเวย บรรยากาศในยามนี้จึงพลันผ่อนคลายลง เขายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังเดิม “รองเท้า”
หลินชิงเวยก้มหน้าลงดู จึงเพิ่งรู้สึกตัว “อุ๊ย ลืมสวมรองเท้า”
ความจริงได้พิสูจน์ว่าเมื่อมีเป้าหมายในการต่อสู้ที่แน่นอนแล้ว ไม่ว่าทำเรื่องอันใดล้วนมีพละกำลังมากขึ้น หลินชิงเวยทำข้อตกลงกับเซียวเยี่ยนเป็นผลสำเร็จ นางกินอาหารเที่ยงแล้ว ยามบ่ายจึงไปเยือนตำหนักซวี่หยาง
ซินหรูติดตามข้างกายนาง นางประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดจึงเอ่ยถามว่า “พี่สาว ท่านอ๋องรับปากแล้วกระมัง รับปากแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยยื่นมือออกมาดีดหน้าผากของซินหรูครั้งหนึ่ง “อืม เจ้าทำได้ดีมาก”
ซินหรูกุมหน้าผากแล้วหัวเราะ แม้นางจะรู้ว่าพี่สาวและเซ่อเจิ้งอ๋องเจรจาทำข้อตกลงระหว่างกันแต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใด
ขอเพียงพี่สาวเบิกบานใจก็เพียงพอแล้ว ยังมีอีกขอเพียงพี่สาวยอมรักษาฝ่าบาทก็พอ
เมื่อกำลังจะไปถึงตำหนักซวี่หยาง หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “ซินหรู รอให้เรื่องราวเสร็จสิ้นลง พี่สาวจะพาเจ้าออกไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนอกวัง”
“ออกจากวังไป?” สีหน้าของซินหรูเคว้งคว้าง วังหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มองไปยังไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ใด นอกวังเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่นางยังไม่เคยคิดมาก่อน ยิ่งไม่กล้าคิดว่าวันหนึ่งตนจะสามารถออกจากวังไป นางถามว่า “พวกเราออกจากวังไปทำอะไรเจ้าคะ?”
หลินชิงเวย “ไม่รู้ ทำอะไรก็ได้กระมัง อยากทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น อย่างนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง”
ซินหรูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้น ดวงตาของนางทอประกายวิบวับ “พวกเราออกจากวังได้จริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“ช้าเร็วเราก็ต้องออกไป หาไม่แล้วยังจะคาดหวังให้อยู่ที่นี่อย่างน่าเวทนากระทั่งชราหรือ”
เซียวจิ่นปลาบปลื้มยินดีต่อการมาเยือนของหลินชิงเวยเป็นอย่างมาก รอยยิ้มนั้นกดลึกกว่าในยามปกติมากมายนัก ทั้งอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งกว่า สีหน้าท่าทางเบิกบานของเขามีมากขึ้นเพราะการมาของหลินชิงเวย
หลินชิงเวยช่วยตรวจขาทั้งคู่ของเขา ใช้เวลาค่อนข้างยาวนานในการลูบคลำกระดูกบนขาทั้งสองของเขา ไม่มีใครเอ่ยวาจาด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนสมาธิของหลินชิงเวย
ก่อนหน้านี้หลินชิงเวยไม่ได้ลูบคลำกระดูกของเขาเยี่ยงนี้ มาบัดนี้เมื่อลองลูบคลำโครงสร้างกระดูกขา ใบหน้าของนางจึงปรากฏร่องรอยยินดีเล็กน้อย คำพูดที่นางกล่าวออกมาเป็นประโยคแรกคือ “ขาของฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ตั้งแต่กำเนิดใช่หรือไม่?”
เซียวจิ่นตอบอย่างไม่ต้องคิด “เจิ้นเกิดมาก็เป็นเช่นนี้”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่ เซียวเยี่ยนเองกำลังมองมาทางนางเช่นกัน สีหน้าของเขาไม่เหมือนกำลังปิดบังอำพราง ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่ได้รู้มากไปกว่านี้ หลินชิงเวยจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ดูท่าแล้วตัวเขาเองก็ยืนกรานที่จะเชื่อว่านี่คือความจริง คนทั้งหมดล้วนเชื่อในความจริงนี้ นางไม่จำเป็นต้องเปิดโปงนี่นา
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงเอ่ยขึ้นว่า “พื้นฐานโครงสร้างกระดูกของฝ่าบาทไม่ได้ขาดส่วนใดไป เพียงแต่อยู่ผิดตำแหน่ง กระดูกที่แตกร้าวไม่ได้ประสานตัวมาโดยตลอด เมื่อเวลาผ่านมาเนิ่นนานทำให้กล้ามเนื้องอกเข้าไปส่งผลให้กระดูกไม่ได้ทำหน้าที่โดยพื้นฐานของมันเพคะ”
เซียวจิ่นกล่าว “ชิงเวย เจ้าเพียงแค่ลูบคลำเช่นนี้ก็ลูบคลำออกมาได้แล้วหรือไร?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “อย่างไรเพคะ พระองค์ไม่ทรงเชื่อ?”
“เชื่อ เจิ้นเชื่อแน่นอน”
หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก นางมีสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม รูปหน้าเล็กกะจิดริดเท่าฝ่ามือนั้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ทำให้คนไม่อาจละเลื่อนสายตาไปทางอื่นได้ นางกล่าวว่า “พระองค์เชื่อหรือไม่ว่า หม่อมฉันไม่เพียงแต่ลูบคลำออกมาได้ แต่ยังสามารถลูบคลำกระทั่งรักษาท่านจนหายได้”
หมอทุกคนล้วนจำเป็นต้องมีมือวิเศษอยู่คู่หนึ่ง อีกทั้งหลินชิงเวยซึ่งได้รับการอบรมสั่งสอนความรู้ทางการแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่ยังเล็ก
แพทย์แผนจีนมีเคล็ดลับการรักษาวิธีหนึ่งเรียกว่าการจัดกระดูก สืบทอดมาจนถึงวันนี้โดยไม่สูญหาย หลินชิงเวยไม่รู้ว่าในยุคสมัยนี้จะมีวิธีการรักษาเช่นนี้อยู่หรือไม่ แต่ต่อให้มีอยู่ก็ยากแก่การที่จะตามหาผู้สืบทอดอย่างยิ่ง
ประจวบเหมาะกับเมื่อครั้งนางยังเด็กได้ไหว้แพทย์แผนจีนอาวุโสท่านหนึ่งเป็นอาจารย์ สิ่งที่ได้เรียนรู้มาก็คือวิธีการรักษาด้วยการจัดกระดูกนี้ นางใช้เวลาถึงห้าปีเต็มจึงเข้าเรียนในสาขานี้ได้ นางศึกษาวิจัยสั่งสมวิชาความรู้ไม่หยุดพักจากวันเป็นเดือน ในที่สุดนางจึงค่อยๆ กระจ่างแจ้งทีละน้อย
โดยส่วนใหญ่แล้วหากพบกระดูกที่แตกละเอียด ใช้วิธีการจัดกระดูก ไม่ต้องมีบาดแผลภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังสามารถจัดให้กระดูกที่อยู่ในกล้ามเนื้อนั้นกลับไปสู่รูปร่างเดิมของมัน
เอ๊ะ ก่อนหน้านี้หลินชิงเวยล้วนใช้กระดูกของหมูมาทำการฝึกฝน เวลานี้มีคนเป็นๆ คนหนึ่งมาให้นางรักษา อีกทั้งคนๆ นี้ยังเป็นถึงฮ่องเต้ของแผ่นดิน
เซียวเยี่ยนปริปากถามอย่างโอหัง “เจ้าคิดจะรักษาอย่างไร?”
หลินชิงเวยกล่าสว “หากรักษาด้วยวิธีการใช้มีดผ่าตัดแล้วจะง่ายดายกว่าเล็กน้อย แต่ที่นี่ไม่มียาแก้อักเสบที่จำเป็นต้องใช้ จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นไม่อาจใช้รักษาด้วยวิธีการใช้มีดผ่าตัด สิ่งเหล่านี้ที่ข้ากล่าวมาเซ่อเจิ้งอ๋องกระจ่างแจ้งหรือไม่เพคะ?”
เซียวเยี่ยนไม่ได้โต้เถียงกับหลินชิงเวย แต่กลับกล่าวว่า “หากเจ้าจำเป็นต้องใช้ เปิ่นหวางจะให้หมอหลวงของสำนักหมอหลวงช่วยเจ้า”
“ไม่ต้องแล้วเพคะ หากพวกเขาพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ฝ่าบาทย่อมไม่ต้องยืนขึ้นมาไม่ได้จนถึงเวลานี้” หลินชิงเวยกล่าว “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จภายในวันสองวัน แต่ขั้นตอนของมันจะเกิดความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างมาก ฝ่าบาทยังทรงพระเยาว์ ผู้ใหญ่บางครั้งยังไม่อาจทนรับความเจ็บปวดได้ ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทนรับความเจ็บปวดได้หรือไม่เพคะ”
เซียวจิ่นกล่าสว “เจิ้นไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย เจ้าทำงานของเจ้าไปก็พอแล้ว”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่น ยิ้มจนตาหยีและกล่าวว่า “ก่อนที่จะทำการรักษาพระองค์ หม่อมฉันจำเป็นต้องทุบกระดูกบริเวณหน้าแข้งของพระองค์จนแหลกละเอียดอีกครั้ง พระองค์จะเจ็บปวดแทบตายเลยเพคะ”
เซียวจิ่นเงียบขรึม จากนั้นกล่าวราวกับตัดสินใจเด็ดขาด “เจิ้นไม่กลัว”
หลินชิงเวยตบๆ มือแล้วยืนขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้หม่อมฉันจะกลับไปจัดเตรียมโอสถ ใช้เวลาราวๆ ครึ่งเดือนก็จะนำมาประคบที่ขาทั้งคู่ของพระองค์ โอสถมีฤทธิ์แรงดังนั้นพระองค์ต้องเตรียมตัวให้ดี โอสถนั้นสามารถเผาผลาญให้เส้นเอ็นของฝ่าบาทยืดหยุ่นคลายตัวได้ เช่นนี้แล้วหม่อมฉันจึงจะทำการรักษาขั้นต่อไปได้เพคะ”
สีหน้าของเซียวจิ่นผ่อนคลายลง ราวกับได้ยินว่ายังมีเวลาเวลาอีกราวครึ่งเดือน เขาดูเหมือนเอ่ยปากอย่างโล่งอกอีกทั้งตั้งหน้าตั้งตารอคอย ทว่าภายในจิตใจกลับกระวนกระวาย
เซียวจิ่นกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ประจวบเหมาะกับวันมะรืนนี้เป็นวันเกิดของมหาเสนาบดีหลิน ก่อนหน้านี้เจ้าไม่มา เจิ้นไม่รู้ว่าควรจะบอกกับเจ้าอย่างไร ชิงเวย เจ้าอยากกลับไปเยี่ยมบ้านหรือไม่ เจิ้นอนุญาตให้เจ้ากลับบ้านไปแสดงความยินดีในวันเกิดของมหาเสนาบดีหลิน”
“มหาเสนาบดีหลิน?” หลินชิงเวยตั้งสติอยู่อึดใจหนึ่ง “อ้อ พระองค์หมายถึงบิดาของหลินชิงเวยหรือเพคะ” นางไม่ปรารถนาที่จะยอมรับมหาเสนาบดีเป็นบิดาของนางแม้สักกระผีก มีบิดาที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้เช่นนี้มิสู้ไม่มีเสียเลยจะดีกว่า
คำพูดนี้กล่าวออกไปแล้ว สีหน้าของเซียวเยี่ยนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เซียวจิ่นนั้นอ่อนไหวเพียงใด จึงปรากฏให้เห็นความประหลาดใจอยู่บ้าง ได้ยินนางพูดแล้วดูเหมือนนางมิใช่หลินชิงเวย