528 แรกพบ
เมื่อเห็นว่าตระกูลซูมีแขกอยู่ หวังเย้าจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“ได้ค่ะ ฉันเดินออกไปส่งนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
เมื่อเขาเดินออกประตูมา เขาก็เห็นร่างสง่างามของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอดูมีอายุราว 40 กว่าปี เธอรักษารูปร่างได้เป็นอย่างดีและมีสง่าราศีคล้ายกับซงรุ่ยปิง
“รุ่ยปิง” เธอพูด
“พี่ซิ่ว เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนสิคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“สวัสดีค่ะ คุณป้า” ซูเสี่ยวซวีพูด
“สวัสดีจ๊ะ เป็นยังไงบ้างจ๊ะ อาการดีขึ้นแล้วรึยัง?” หลี่ถงซิ่วถาม
“ดีขึ้นมาแล้ว ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ
หลี่ถงซิ่วหันไปมองหน้าหวังเย้า
“ฉันไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อนเลย จำไม่เห็นจะได้ว่าเป็นเด็กของตระกูลไหนในปักกิ่ง” เธอเอาเองว่า หวังเย้าจะต้องเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่และเป็นคุณชายคนหนึ่ง เพราะซงรุ่ยปิงถึงกับเดินออกมาส่งเขาด้วยตัวเองแบบนี้ แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าเขาเป็นเด็กของตระกูลไหน
“หมอหวัง เดินทางปลอดภัยนะคะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ครับ ไม่ต้องส่งผมหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด
“หมอหวังเหรอ?” หลี่ถงซิ่วจับจ้องไปที่หน้าของหวังเย้า
เขาก็คือคนที่ช่วยชีวิตลูกชายของเธอเอาไว้ที่เหลียนชาน ถูกเชิญมาโดยซือหรงเพื่อรักษาพ่อสามี และดึงซูเสี่ยวซวีกลับมาจากขอบเหวแห่งความตาย แถมยังรักษาเธอจนเกือบจะหายดีแล้ว ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักในวงสังคมเล็กของปักกิ่ง
หวังเย้าเดินทางมาหลายพันไมล์เพื่อรักษาพ่อสามีของเธอ ซึ่งมันทำให้คนทั้งตระกูลรอดพ้นจากความสับสนอลหม่าน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะเขา ในเวลานั้น ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ เธอจึงไม่สามารถอยู่ข้างกายพ่อสามีได้ เธอไม่ได้พบหน้าหวังเย้าเลยสักครั้ง แต่เธอเคยได้ยินเรื่องของเขาจากคนในตระกูลมากกว่าหนึ่งครั้ง และนี่ก็คือครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าเขา
หลังจากที่คิดดูเล็กน้อย หลี่ถงซิ่วก็รีบหมุนตัวและเดินเข้าไปหาหวังเย้า “สวัสดีค่ะ หมอหวัง”
“สวัสดีครับ คุณคือ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ฉันคือแม่ของเจิ้งเหอกับซือหรง หลี่ถงซิ่วค่ะ” เธอพูด
“สวัสดีครับ คุณหลี่” หวังเย้าพูด
เมื่อได้รู้ว่าเธอคือใครแล้ว หวังเย้าก็เห็นเค้าลางที่คุ้นเคยได้จากใบหน้าของเธอ คิ้วของกั๋วซือหรงคล้ายคลึงกับผู้หญิงตรงหน้าเขา
“ขอบคุณที่ช่วยเจิ้งเหอเอาไว้นะคะ” หลี่ถงซิ่วพูด
“อ่อ ยินดีครับ” หวังเย้ายิ้ม
หลังจากพูดคุยได้สองสามประโยค หวังเย้าก็จากไปพร้อมกับเฉินหยิง
“คราวนี้ ผมขอไปเจอน้องชายของพี่ได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ได้สิคะ ฉันจะจัดการติดต่อทางนั้นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เฉินหยิงพูดออกมาด้วยความยินดี
พอเธอได้ยินว่า หวังเย้าจะกลับวันพรุ่งนี้แล้ว ดังนั้น เขาก็คงจะไม่มีเวลาว่างมากนัก และคิดว่าเขาคงจะไม่สามารถไปหาเฉินโจวได้ เธอจึงไม่ได้ถามเขาเรื่องนี้เลย เธอไม่คิดไม่ถึงเลยว่า จะเป็นหวังเย้าที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
ไม่นาน พวกเขาก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลที่เฉินโจวรักษาตัวอยู่
ตั้งแต่ที่ได้รับการรักษาไปเมื่อครั้งก่อน เฉินโจวก็ยังสามารถคงสติได้จนถึงตอนนี้ ซึ่งมันได้สร้างความตกตะลึงให้กับหมอในโรงพยาบาลอย่างมาก พวกเขาจึงไปสอบถามวิธีการรักษากับหมอเจิ้ง ซึ่งเป็นหัวหน้าแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งนี้
“โอ้ เธอมาแล้ว!” เมื่อหมอเจิ้งเห็นหวังเย้า เขาก็แทบจะร้องไห้ออกมา
“สวัสดีค่ะ หมอเจิ้ง น้องชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?” เฉินหยิงถาม
“ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญตามผมมาได้เลยครับ” หมอเจิ้งพูด
หลังจากที่ได้รับสายจากเฉินหยิง หมอเจิ้งก็รีบจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมโดยเร็วที่สุด ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะ เฉินหยิงคือผู้สนับสนุนหลักของพวกเขา และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นเพราะ เธอกำลังจะพาหมอหนุ่มคนนั้นมาพร้อมกับเธอด้วย
“เชิญครับ” หมอเจิ้งพูด
ดวงตาของเฉินโจวเป็นประกายและคิ้วเรียวงาม ที่มากไปกว่านั้นก็คือ แววตาที่เฉียบคมและคมกริบของเขา
“จำได้ไหมว่าฉันคือใคร?” หวังเย้าถาม
“สวัสดีครับ หมอหวัง” เฉินโจวพูด
“ดี” เมื่อดูจากท่าทีของเขาแล้ว หวังเย้าก็ไม่พบปัญหาอะไรเลย หลังจาได้ที่ฟังเสียงและจับดูชีพจรของเฉินโจวแล้ว เขาก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร “ตอนนี้ น่าจะยังไม่มีปัญหาอะไรครับ”
สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขากลับเป็นปกติแล้ว ครั้งก่อนเขาสามารถคงสติเอาไว้ได้เป็นเวลานาน แต่แล้วเมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง เขาก็กลับไปเสียสติอีกครั้ง และหวังเย้าก็ยังคงไม่สามารถค้นหาสาเหตุได้
“เขาจะอาการกำเริบอีกไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” หวังเย้าพูด “มันก็มีความเป็นไปได้อยู่”
“แล้วฉันควรทำยังไงดีคะ?” เฉินหยิงถามด้วยความกังวล
“เราจะยังสังเกตดูอาการของเขาต่อไปครับ” หวังเย้าพูด “คุณจะต้องเริ่มดูตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวันของเขา และหาให้เจอว่า ทำไมอยู่ๆเขาถึงอาการกำเริบขึ้นมาได้”
“ได้ครับ ผมจะเพิ่มการจับตาดูเสี่ยวเฉินให้เข้มข้นกว่านี้ครับ” หมอเจิ้งพูด
หลังจากที่สองพี่น้องได้พูดคุยกันสักพักแล้ว เฉินหยิงก็ขอตัวกลับ
“เซียนเชิงคะ ตรุษจีนนี้ฉันสามารถรับตัวเฉินโจวออกไปข้างนอกได้ไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“พวกคุณจะฉลองตรุษจีนด้วยกันเหรอ? แล้วพวกเขาจะตกลงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“พวกเขาตกลงอยู่แล้วค่ะ แต่เราก็ต้องมั่นใจว่า เขาจะไม่อาการกำเริบในระหว่างนั้น” เฉินหยิงพูด
หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ง่ายมากครับ วันนี้ ผมจะทำยาให้คุณติดตัวไปด้วยตอนฉลองตรุษจีน”
“คุณจะให้ฉันทำอะไรไหมคะ?” เฉินหยิงถาม
“ไม่จำเป็นครับ ผมมีสมุนไพรอยู่แล้ว มันเป็นสมุนไพรที่ตระกูลหวูหามาให้ผมน่ะครับ” หวังเย้ายิ้ม
ในตอนเย็น เฉินหยิงเชิญหวังเย้าไปทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารไพรเวทแห่งหนึ่ง หลังจบมื้อเย็น หวังเย้าก็เดินทางกลับไปที่ตระกูลหวู
ชายชราตื่นขึ้นมา “หมอหวัง”
“คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันรู้สึกสบายมากเลย” ชายชราพูด
หวังเย้านั่งอยู่ข้างเตียงนอน และจับดูชีพจรของชายชรา
“ฤทธิ์ของตัวยายังอยู่ แต่มันเริ่มอ่อนลงแล้ว”
“ให้กินยาต่อไปเหมือนเดิมนะครับ” หวังเย้าพูด “กินในปริมาณเท่าเดิมทั้งสองตัวเลยนะครับ”
จากนั้น เขาก็นวดให้กับชายชราเพื่อกระตุ้นจุดฝังเข็มตามร่างกาย
“ผมจะมาอีกทีพรุ่งนี้เช้านะครับ แล้วตอนบ่าย ผมก็จะกลับเหลียนชาน” หวังเย้าพูด
“หมอหวัง คุณช่วยอยู่ต่ออีกสองวัน รอจนกว่าอาการพ่อของผม…” หวูถงหรงรีบพูดแทรกขึ้นมา
“ผมได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว” หวังเย้าพูด “พ่อของคุณจะสามารถผ่านตรุษจีนไปได้อย่างปลอดภัย ตราบเท่าที่เขาได้กินยาอย่างสม่ำเสมอ”
“นี่…ครับ ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย” หวูถงหรงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยและตอบรับคำขอของหวังเย้า
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากส่งหวังเย้าออกไปแล้ว หวูถงหรงก็กลับมาที่ห้อง
“เราจะปล่อยให้เขากลับไปไม่ได้” หมอประจำตระกูลพูด “ร่างกายของเขาเพิ่งจะดีขึ้น เราจะต้องตีเหล็กตอนที่ยังร้อนอยู่ โดยการรักษาอย่างต่อเนื่อง มันอาจจะทำให้อาการของเขาดีขึ้นมากกว่านี้ก็ได้ แต่เขากลับ…”
“ฉันเข้าใจความหมายของนาย เสี่ยวหวู” หวูถงหรงยิ้มและตบไหล่ของเขา “ฉันอยากจะให้เขาอยู่ที่นี่มากกว่าใคร”
เพียงแค่หนึ่งวัน ทุกคนในตระกูลหวูต่างก็ได้เห็นถึงความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของหวังเย้า
“ถงชิ่งได้คุยกับเขาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ดังนั้น พรุ่งนี้เราต้องยอมปล่อยเขากลับไป” หวูถงหรงพูด
“แต่ หวูเหล่า…”
“นายคิดว่าสถานการณ์พ่อของฉันในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” หวูถงหรงถาม
“ตอนนี้ มันไม่มีปัญหาอะไรครับ แล้วก็ยังดีขึ้นด้วย” หมอประจำตระกูลพูด “แต่ในอนาคตมันก็พูดได้ยากว่าจะเป็นยังไงต่อไป”
“พรุ่งนี้ ฉันจะเชิญหมอหลี่กับเฉินเหล่ามาดูอาการของพ่อ” หวูถงหรงพูด
ในเมื่อหวูถงหรงได้ตัดสินใจแล้ว ผู้หมอเป็นประจำอย่างเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะถึงยังไง หวูถงหรงก็คือลูกชายคนโตของชายชรา
ในคืนนั้น หวังเย้าต้มยาอยู่ในบริเวณลานบ้าน ตานเซิน, หวูเว่ยจือ, เฉาเย้า, ฟู่หลิง, หยูชวย… ตัวยามีสรรพคุณในการรักษาอาการทางจิต สมุนไพรตัวสุดท้ายมีหน้าที่ในการปรับจิตใจของผู้ป่วย
ครั้งก่อน หลังจากที่ได้กินยาไป อาการของเฉินโจวก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จิตใจของเขากระจ่างใส และมันก็คงอยู่อย่างนั้นมาจนถึงปัจจุบัน นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่สาเหตุของอาการก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี หน้าที่ของยาตัวนี้คือการคงสภาพการตื่นของเขาออกไป และให้เขาได้ฉลองตรุษจีนอย่างอบอุ่นกับพี่สาวของเขา
ตั้งแต่ที่เฉินโจวป่วยด้วยโรคประหลาดนี้ เฉินหยิงก็ต้องฉลองตรุษจีนคนเดียวมาตลอด รวมทั้งเทศกาลอื่นๆด้วย ทั้งที่มันเป็นช่วงเวลาของการพบหน้าของคนในครอบครัว เธอมีน้องชายเหลืออยู่แค่คนเดียว แต่เธอกลับไม่สามารถพบหน้าเขาอย่างคนปกติได้ ซึ่งมันทำให้เธอโศกเศร้าอย่างมาก
สีของตัวยาเริ่มเปลี่ยนไป เป็นสัญญาณของยาที่ใกล้จะได้ที่แล้ว ในเมื่อตัวยามีหน้าที่ในการบำรุงธาตุหยิน มันจึงไม่มีปัญหากับการต้มยาในตอนกลางคืนแบบนี้
หลังจากที่หวังเย้าต้มยาเสร็จแล้ว เขาก็ปิดไฟและเข้านอน วันต่อมา เขาตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่
“เซียนเชิง คุณตื่นเช้าจังเลยนะคะ” กู้หยวนหยวนตื่นเช้ายิ่งกว่าหวังเย้า
“เมื่อคืน คุณนอนไม่หลับเหรอครับ?” เมื่อเห็นขอบตาที่คล้ำเล็กน้อยของเธอ หวังเย้าก็ถามขึ้น
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ” เธอตอบ
“คุณมีการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตติดขัด มันทำให้ร่างกายของคุณอ่อนแอลงได้ คุณควรจะพักผ่อนให้มากนะครับ” หวังเย้าแนะนำ
“ค่ะ ขอบคุณมาก” กู้หยวนหยวนรีบพูด “อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็ไปดูอาการของชายชรา อาการของเขาคงที่ และยังดีขึ้นกว่าคืนก่อนด้วยซ้ำ ในตอนที่หวังเย้ากำลังตรวจชายชราอยู่นั้น ก็มีหมออีกสองคนเดินทางมาที่นี่เช่นกัน
“อรุณสวัสดิ์ครับ” หวังเย้ายิ้มและทักทายทั้งสอง
“อาการของเขาเป็นยังไงบ้าง?” หนึ่งในสองคนถาม
“มันดีกว่าเมื่อวานมากครับ” หวังเย้าไม่ได้ปิดบังอะไรและบอกทุกอย่างให้พวกเขารู้