545 ยาที่ล้ำค่าพอๆกับหยก
หวังเย้าหยิบสมุดที่เขาใช้บันทึกเคสการรักษาในคลินิกของเขาขึ้นมา
เขามีเคสรักษามะเร็งอีกเคสหนึ่งแล้ว เขาได้เจอกับคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
เขาได้รักษาคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งไปเมื่อไม่นานมานี้ การรักษาในครั้งนั้นได้ผลค่อนข้างดี และมันสามารถยืดเวลาชีวิตของคนไข้ออกไปอีก ถ้าหากไม่เพราะอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง เขาก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานกว่านี้ คนไข้อีกรายก็คือพ่อของหวูถงชิ่ง ที่ตอนนี้อาการเริ่มดีขึ้นแล้ว และในเวลานี้ เขาก็มีคนไข้โรคมะเร็งรายที่สามรออยู่
หลังจากคิดทบทวนดีแล้ว หวังเย้าก็จดบันทึกอาการของชายชรา และแผนการรักษาในแต่ละขั้น เขายังต้องปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสม ก่อนที่จะนำเอาไปใช้จริง
การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีพื้นฐานเดียวกัน เขาจำเป็นต้องบำรุงร่างกายของผู้ป่วยให้แข็งแรงขึ้นและเสริมระบบภูมิคุ้มกันเพื่อให้สามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ เขายังต้องจัดการกับเนื้อร้ายและบรรเทาความเจ็บปวดลงด้วย สิ่งที่ต้องจัดการเหล่านี้ก็คือสาเหตุหลักของโรคร้าย
ตัวยาประกอบไปด้วย โสม, หลินจือ, และการเฉา มีหน้าที่ให้การเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และปาเจี่ยวถงครึ่งใบ สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้ ยาหนึ่งตัวทำหน้าที่ได้ถึงสองอย่าง
ส่วนเรื่องราคานั้น หวังเย้ายังไม่ได้คิด เพราะยังไงชายชราก็เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ลูกชายของชายชราก็นิสัยเปลี่ยนไปแล้ว และดูแลพ่อของเขาเป็นอย่างดี
หวังเย้าวางแผนต้มยาในวันพรุ่งนี้ เขาแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตูเพื่อแจ้งว่าเขาไม่อยู่
หลังกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานในคืนนั้น เขาก็เตรียมสมุนไพรเอาไว้พร้อม เพื่อที่จะนำไปทำยาในวันถัดไป เขาตั้งใจที่จะทำยาขึ้นมาสองตัว หนึ่งคือซุปเป่ยหยวน อีกหนึ่งคือขี้ผึ้งต้วนชื่อ ซึ่งมีสรรพคุณในการซ่อมแซมส่วนเสียหายในร่างกาย
พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเหมือนเช่นทุกวัน กลิ่นเฉพาะของสมุนไพรลอยออกมาจากกระท่อม
มันเป็นเรื่องค่อนข้างง่ายกับการทำซุปเป่ยหยวน เพราะเขาทำมันมาหลายครั้งแล้ว
…
ปักกิ่ง ซงรุ่ยปิงมาแขกมาพบที่บ้าน
“รุ่ยปิง เธอก็เห็นว่าเจิ้งเหอถึงเวลาเหมาะสมที่จะแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว ตอนนี้เสี่ยวซวีก็อายุได้ 25 ปี ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากเลยนะ” หลี่ถงซิ่วพูด
“ถงซิ่ว ฉันคิดว่า เราควรถามเจิ้งเหอกับเสี่ยวซวีก่อนดีกว่านะ ว่าพวกเขาอยากจะแต่งงานกันรึเปล่า เธอก็รู้ว่าเสี่ยวซวีเพิ่งจะหายดี เราจำเป็นต้องเคารพการตัดสินใจของเธอด้วย” ซงรุ่ยปิงไม่ได้ปฏิเสธหลี่ถงซิ่วอย่าสิ้นเชิง
“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลองถามเสี่ยวซวีดูก่อนแล้วกัน” หลี่ถงซิ่วพูด
ถึงแม้ว่าการแต่งงานที่ถูกจัดการโดยพ่อแม่จะเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว แต่ในบางครอบครัว พ่อแม่ก็ยังเป็นผู้ที่ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานลูกๆอยู่ดี
“เราควรเคารพการตัดสินใจของเด็กๆด้วย” หลี่ถงซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม
เธอเดินออกมาจากบ้านตระกูลซูด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มยังคงอยู่จนกระทั่งเธอขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วมันก็จางหายไปในทันที
เธอไม่พอใจ ซงรุ่ยปิงที่ยืนส่งหลี่ถงซิ่วรู้ได้ว่า เธอทำให้หลี่ถงซิ่วไม่พอใจ จากการที่เธอปฏิเสธเรื่องการแต่งงาน
กั๋วเจิ้งเหอกำลังแกะเปลือกส้มอยู่ภายในบ้านของเขา เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็รีบลุกขึ้นยืนในทันที
“พวกเขาว่ายังไงบ้างครับแม่?” กั๋วเจิ้งเหอถามด้วยความกังวล
“พวกเขาพูดข้ออ้างเหมือนครั้งก่อน” หลี่ถงซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้วครับ กินส้มสักหน่อยนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ลูกเป็นเด็กที่อารมณ์ดีจริงๆนะ” หลี่ถงซิ่วพูดพร้อมมองหน้าลูกชายของเธอ
ผู้ชายส่วนใหญ่ที่อยู่ในวัยเดียวกับกั๋วเจิ้งเหอ อาจจะมีท่าทีเสียใจหรือผิดหวังกับเรื่องที่ได้ยิน แต่กั๋วเจิ้งเหอกลับยังมีท่าทีสงบและอารมณ์ดีเหมือนทุกที หลี่ถงซิ่วรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มาก ในฐานะของเจ้าหน้าที่รัฐ เขาไม่ควรแสดงอารมณ์ออกมาบนสีหน้า
“ข้ออ้างเก่า…จะหาข้ออ้างที่มันสร้างสรรค์กว่านี้สักหน่อยไม่ได้เหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอกัดส้มเข้าไปหนึ่งคำ พร้อมกับน้ำหวานที่แตกกระจายในปาก
“เจิ้งเหอ ลูกมีคู่แข่งอยู่หลายคน แม่ได้ยินมาว่า ลุงเหอกับลุงเฉิงก็อยากจะได้เสี่ยวซวีไปเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขาเหมือนกัน แล้วทั้งสองคนก็ไปคุยกับพ่อแม่ของเสี่ยวซวีเอาไว้แล้ว วันนี้แม่ก็เห็นเสี่ยวซวีด้วย เธอสวยอย่างกับนางฟ้าในภาพวาดเลยล่ะ” หลี่ถงซิ่วพูด
เธอเคยเห็นหญิงสาวหน้าตาดีมากมาย และซูเสี่ยวซวีก็คือหนึ่งในคนที่สวยที่สุด
“ลูกชายของแม่มีสายตาที่เฉียบแหลมเสมอครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“วันก่อน แม่ไปเจออาจารย์หยวนมาด้วย เขาอ่านโหงวเฮ้งของเสี่ยวซวี แล้วบอกว่า เธอเป็นเหมือนกับต้นไม้ที่ตายแล้วและฟื้นกลับคืนมากลายเป็นผีเสื้อที่หลุดออกมาจากรังไหม เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก และโหงวเฮ้งบนหน้าของเธอก็แสดงถึงความโชคดี” หลี่ถงซิ่วพูด
“อืมม!” กั๋วเจิ้งเหอพยักหน้า
คนจากตระกูลใหญ่มักจะมีความเชื่อในเรื่องของโชคลาภ
“ถ้าอยากจะแต่งงานกับเสี่ยวซวี ลูกก็ต้องใช้ความพยายามหน่อย” หลี่ถงซิ่วพูด
“พ่อจะกลับมาอาทิตย์หน้าใช่ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ใช่จ๊ะ” หลี่ถงซิ่วพูด
“แม่ขอให้พ่อไปคุยกับลุงซูได้ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอยื่นส้มให้แม่ของเขา
“ได้จ๊ะ แม่จะคุยกับพ่อให้” หลี่ถงซิ่วพูด
ในขณะเดียวกัน ซงรุ่ยปิงก็กำลังคุยเรื่องเดียวกันนี้อยู่กับซูเสี่ยวซวี
“ป้าหลี่มาที่นี่ทำไมเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เธอมาเรื่องของลูกนั่นแหละจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุณป้าเขาอยากจะให้หนูแต่งงานกับเจิ้งเหอใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่จ๊ะ เธออยากให้ลูกแต่งงานกับลูกชายสุดที่รักของเธอ” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูเสี่ยวซวีไม่คิดจะเก็บความรู้สึกของเธอเอาไว้ “หนูไม่ชอบเขาค่ะ”
“งั้นบอกแม่หน่อยสิจ๊ะ ว่าลูกชอบหวังเย้าใช่ไหม?” นี่เป็นครั้งแรกที่ซงรุ่ยปิงถามลูกสาวของเธอด้วยคำถามนี้
“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบออกมาโดยไม่ลังเล
ฉันคิดถูกจริงๆด้วยสินะ! ซงรุ่ยปิงถอนหายใจ “ทำไมล่ะ? เพราะเขารักษาลูกให้หายได้อย่างนั้นเหรอ?”
“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งค่ะ หนูไม่รู้จะบอกคุณแม่ยังไงดี แต่หนูรู้ว่าหนูชอบเขามาก” ซูเสี่ยวซวีพูด “หนูจำเป็นต้องมีเหตุผลในการชอบคนคนหนึ่งด้วยเหรอคะ?” เธอเป็นเหมือนกับเด็กสาวที่มีความรักเป็นครั้งแรก
“เด็กโง่” ซงรุ่ยปิงพูด
“มานั่งตรงนี้สิจ๊ะ” เธอดึงตัวลูกสาวมานั่งข้างๆ “ลูกเคยคิดบ้างไหม ว่าถ้าหากเขารักอยู่กับคนอื่นแล้วลูกจะทำยังไง?”
“หนูก็จะอวยพรให้เขามีความสุขค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
อยู่ๆซงรุ่ยปิงก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา “ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจยังไง แม่ก็จะคอยสนับสนุนลูกอยู่เสมอนะจ๊ะ”
เธอกอดซูเสี่ยวซวีเอาไว้ในอ้อมแขน เมื่อออกมาจากห้องของลูกสาวแล้ว เธอก็ไปยังกระท่อมที่เฉินหยิงพักอยู่ในทันที
“สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง” เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นซงรุ่ยปิงมาที่นี่ นอกจากว่าหวังเย้าจะอยู่ที่นี่ เธอก็แทบจะไม่แวะมาเลย
“ฉันมีเรื่องอยากถามเธอหน่อยน่ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“ได้สิคะ” เฉินหยิงพูด
“ฉันจำได้ว่า ครั้งก่อนเธอเคยพูดเอาไว้ว่า หมอหวังมีแฟนอยู่คนหนึ่งใช่ไหม?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ใช่ค่ะ เธอมีชื่อว่า ถงเวย ฉันเคยเจอเธอแล้วครั้งหนึ่ง” เฉินหยิงพูด
“เธอเป็นผู้หญิงแบบไหนเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เธอเป็นผู้หญิงที่พิเศษมากค่ะ” เฉินหยิงพูด
“แล้วเธออยู่ที่ไหนเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“อยู่ที่เมืองเต๋าค่ะ” จากนั้น เฉินหยิงก็บอกเล่าถึงสถานที่ทำงานของถงเวยกับซงรุ่ยปิง
“ฉันเข้าใจแล้ว” ซงรุ่ยปิงถามอีกสองสามคำถามเกี่ยวกับเฉินโจว แล้วเธอก็ออกไปจากกระท่อม
ทำไมอยู่ๆเธอถึงมาถามเรื่องของถงเวยล่ะ? เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจกับการมาของซงรุ่ยปิง หรือจะเป็นเพราะเสี่ยวซวี?
“อืม ฉันไม่รู้ว่า นี่จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่” เฉินหยิงพึมพำและถอนหายใจ
…
หวังเย้าต้มยาขี้ผึ้งอยู่บนเนินเขาหนานชาน เขาได้เตรียมสมุนไพรเอาไว้พร้อม และใช้คะแนนแลกซื้อเฟยหลายเฟิงมาจากร้านค้าระบบ
โสมซานซี, หนิวซี, เสวียเจี๋ย…หวังเย้าใส่สมุนไพรลงไปในหม้อทีละชนิด
สีของตัวยาค่อยๆเปลี่ยนจากสีฟ้าอ่อนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ยิ่งใส่สมุนไพรลงไปมากเท่าไหร่ ตัวยาก็ยิ่งมีความหนืดมากขึ้นเท่านั้น
เดิมที ตัวยานั้นใสสะอาดราวกับน้ำเปล่า แต่แล้วมันก็ค่อยๆมีความหนืดคล้ายกับน้ำผึ้ง ในที่สุด มันก็กลายเป็นเหมือนกับหมากฝรั่งที่เหนียวหนึบ ขี้ผึ้งที่ทำออกมาถูกต้องควรจะมีลักษณะแข็งและเหนียว
หวังเย้านั่งอยู่หน้าเตาไฟ เขาคนตัวยาในหม้ออย่างต่อเนื่อง และไม่ได้เติมน้ำเข้าไปเลย เขาเพียงแต่เพิ่มฟืนเข้าไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น
พระอาทิตย์ลอยขึ้นสู่จุดสูงสุดของวัน
ตัวยาของหวังเย้าเริ่มเกาะตัวกันหนาขึ้น หวังเย้าตักตัวยาออกและแยกกากสมุนไพรทิ้งไป
เดิมทีนั้น การทำยาขี้ผึ้งมีอยู่หลายขั้นตอน เช่นการผัดสมุนไพร, การเล่นแร่แปรธาตุ, การกลั่น, และการกำจัดพิษ แต่หวังเย้ากลับใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของตัวสมุนไพรเองในการทำยาขี้ผึ้งออกมา
เขาต้มและตักยาออกหลายๆครั้ง สิ่งที่เหลืออยู่ภายในหม้อก็คือตัวยาสีเขียวเข้ม และทั้งเหนียวทั้งหนืด
ใกล้จะได้ที่แล้ว! หวังเย้ายกหม้อออกจากเตา เขานำหม้อไปวางไว้ข้างๆอ่างเก็บน้ำด้านนอกเพื่อให้ตัวยาเย็นลง
เมื่อได้ยินเสียงเดินของหวังเย้า ซานเซียนก็ออกมาจากบ้านสุนัขของมัน มันเดินตรงมาที่หม้อและก้มลงมองขี้ผึ้งสีเขียวเข้มที่อยู่ด้านใน
“อย่าเข้าใกล้เกินไปสิ ซานเซียน” หวังเย้าลูบหัวของซานเซียนพร้อมกับยิ้มออกมา ซานเซียนนั่งลงข้างๆเขา
ขี้ผึ้งที่อยู่ในหม้อเริ่มเย็นลงที่ละน้อย ลักษณะของขี้ผึ้งเปลี่ยนไปเมื่อมันเย็นลง สีของมันใสขึ้น ตัวยาในหม้อค่อยๆแข็งตัวกลายเป็นถ้วยขี้ผึ้งใบหนึ่ง
“เรียบร้อย” หวังเย้าพูด
เขานำขี้ผึ้งใส่ลงไปในตลับที่ทำขึ้นมาจากกระเบื้อง