556 ขโมยยา
เช้าวันต่อมา ทันทีที่ตะวันโผล่พ้นขึ้นมา หวังเย้าก็ลงมือจุดไฟเพื่อต้มยา
“การมีน้ำแร่โบราณกับหม้ออเนกประสงค์สร้างความแตกต่างมากจริงๆ” เขาคิด
ถ้าหากมีสองสิ่งนี้อยู่ด้วยตอนที่เขาอยู่ต้าหลี่ การต้มยาก็คงจะง่ายกว่าเดิมมาก และตัวยาก็จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าด้วย
ภายในกระท่อมเต็มไปด้วยเสียงของฟืนที่กำลังถูกเผาไหม้ กลิ่นสมุนไพรลอยฟุ้งออกมาจากหม้อ หวังเย้าใส่สมุนไพรลงไปในหม้อทีละชนิด สีของตัวยาค่อยๆเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับรสชาติ
หวังเย้าชงชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง และนั่งมองหม้อที่ตั้งอยู่เหนือเตาไฟ เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเหมือนกับเปลวไฟที่ลุกไหม้
ในขณะเดียวกัน หวังเจ๋อเชิงก็มาถึงที่คลินิกของหวังเย้า
“ทำไมเขายังไม่กลับมาอีก?” หวังเจ๋อเชิงมาที่คลินิกถึงสองครั้งในตอนเช้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขารู้จักนิสัยของหวังเย้า เขาก็คงจะไปตามหาหวังเย้าที่บ้านของเขาแล้ว
“ยาก็แพงมากอยู่แล้ว ทำไมถึงยังไม่ใส่ใจเรื่องเวลาอีก?” หวังเจ๋อเชิงบ่นพึมพัมในขณะที่เดินกลับไปที่บ้าน
“ได้ยามาด้วยรึเปล่า?” ภรรยาของเขาถาม
“ไม่ได้ เขายังไม่มีที่คลินิกเลย” หวังเจ๋อเชิงพูด
“เช้านี้ไปมาสองรอบแล้ว ไว้ค่อยไปดูตอนกลางวันอีกทีก็แล้วกัน” ภรรยาของเขาพูด
“อืม” หวังเจ๋อเชิงพูด
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าต้มยาตัวแรกเสร็จแล้ว เขาเทยาลงไปในขวดกระเบื้องสีขาว และจัดการทำความสะอาดภายในกระท่อม ก่อนที่จะออกไป
เขาตั้งใจจะทำยาอีกตัวที่มีสรรพคุณปลอบประโลมจิตใจในตอนกลางคืน ดังนั้น เขาจึงไปที่คลินิกหลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ทันทีที่เขานั่งลง เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู หวังเจ๋อเชิงผลักประตูเปิดออกและเดินเข้ามาในคลินิก
“มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ พ่อของฉันกินยาที่เอาไปครั้งก่อนหมดแล้วน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “หมอช่วยทำยาเพิ่มให้หน่อยได้ไหม?”
“โอ้ ขอโทษทีนะครับ” หวังเย้าพูด เขาลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย “ขอผมคิดดูก่อนนะ…ผมจะทำยาให้พ่อของพี่กลางวันนี้ แล้วจะเอาไปส่งให้ตอนกลางคืนนะครับ”
“หมอจะเอาไปให้ที่บ้านฉันเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ครับ แล้วผมก็จะได้ไปตรวจดูอาการของคุณลุงด้วย” หวังเย้าพูด
“เยี่ยม! เอ่อ ฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“นายช่วยอย่าพูดเรื่องราคายาจะได้ไหม? ฉันบอกพ่อไปว่า ยาราคาแค่ร้อยเดียว ถ้าเขารู้ว่ามันแพงขนาดนั้น เขาคงจะไม่ยอมกินยาอีกเลย” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พี่คิดรอบคอบดีนะครับ ผมจะไม่พูดแน่นอนครับ” หวังเย้าพูด
“นี่เป็นค่ามัดจำยา” หวังเจ๋อเชิงวางเงิน 5,000 หยวนลงไปบนโต๊ะและเดินออกไปจากคลินิก
อยู่ๆเขาก็นึกข้นมาได้ว่าตัวเองลืมพูดไปเรื่องหนึ่ง บ้าเอ้ย! ฉันลืมต่อรองเรื่องราคาไปเลย! เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมเวลาที่อยู่ต่อหน้าหวังเย้าแล้วเขามักจะทำตัวไม่ถูกอยู่เสมอ คราวหน้า ฉันจะต้องพูดเรื่องราคากับเขา!
เขาเสียดายเงินก็จริง แต่เขาก็รักพ่อของเขามากกว่า
หวังเย้าคิด ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ฉันจะทำยาให้พ่อของเขาอีกขวดหนึ่ง
หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน แต่เขาเลือกที่จะต้มยาในคลินิกเลย นอกจากปาเจียงถงที่เป็นสมุนไพรรากแล้ว สมุนไพรอย่างอื่นล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรธรรมดา แต่แน่นอนว่า พวกมันไม่ได้ธรรมดาไม่ซะทีเดียว เพราะสมุนไพรเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกเก็บมาจากแปลงสมุนไพรบนเนินเขาหนานชาน ตัวสมุนไพรได้รับการบำรุงด้วยพลังวิญญาณจากค่ายกลทั้งกลางวันและกลางคืน พวกมันจึงมีประสิทธิสูงกว่าสมุนไพรที่ปลูกในโรงเรือนและเก็บจากในป่ามาก
…
ในขณะเดียวกัน ที่ต้าหลี่ หานจื้อเกาแอบย่องออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“เป็นยังไงบ้าง?” หานจื้อหยูที่รออยู่ข้างนอกถาม
“ฉันได้มันมาแล้ว” หานจื้อเกาพูด
ในตอนที่พี่ชายของพวกเขาติดพันเรื่องงานอยู่นั้น พวกเขาก็แอบเข้าไปขโมยยาทั้งสามที่หวังเย้าทิ้งเอาไว้ให้มาอย่างละน้อย
“นายได้มาแค่นี้เองเหรอ?” หานจื้อหยูมองดูยาเพียงน้อยนิดที่อยู่ในถุงพลาสติก
“ฉันกลัวว่า ถ้าเอามาเยอะและพี่ใหญ่จะรู้น่ะสิว่าเราแอบขโมยไป” หานจื้อเกาพูด
“ช่างมันเถอะ เราแค่ต้องการนิดเดียวเท่านั้น” หานจื้อหยูพูด “นายจะเป็นคนไปหาราชายาใช่ไหม?”
“อืม ฉันจะไปเอง” หานจื้อเกาพูด “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ดี รอเดี๋ยวก่อน เอายาแช่ไว้ในน้ำแข็งด้วย ประสิทธิภาพของยาจะต้องเหมือนเดิมตอนที่นายเอามันไปส่งให้ราชายา ถ้าไม่อย่างนั้นเราอาจจะซวยกันได้” หานจื้อหยูพูด
“ได้ ไว้คุยกันทีหลังนะ” หานจื้อเกาพูด
“ขับรถระวังๆด้วยล่ะ” หานจื้อหยูพูด
หานจื้อเกาขับรถออกจากต้าหลี่พร้อมกับยาทั้งสามที่ขโมยมา
ภายในบ้านตระกูลหาน หานชิ่งเดินไปตรวจดูยาที่เขาเป็นคนวางเอาไว้
“เฮ้อ!” เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เขาวางยาเอาไว้ที่นี่ด้วยตัวเอง แต่กลับมองไม่ออกว่ามีคนแตะต้องมัน
ฉันหวังว่ามันจะได้ผลนะ!
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าหากเขารู้ว่าน้องๆของเขาทำอะไรลงไป เขาก็คงจะไม่ว่าอะไร เพราะถึงยังไง พวกเขาก็เป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา
ในขณะเดียวกัน หานจื้อเกาก็ขับรถไปอย่างเร่งรีบ เขาไปถึงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งก่อนตะวันตกดิน ถนนเต็มไปด้วยหลุมบ่อ มันจึงขับผ่านไปได้ไม่ง่ายเลย
“บ้าจริง! ทำไมถึงได้เป็นคนแปลกแบบนี้นะ! ทำไมถึงไม่คิดที่จะไปอยู่ในเมืองกัน? ทำไมจะต้องมาอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้” หานจื้อเกาบ่นออกมาในขณะที่ขับรถอยู่
เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา ราชายาแห่งเขตเมี่ยวก็ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดของเขาตามเดิม เขาแทบจะไม่ออกไปจากหมู่บ้านเลย และอาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายสิบปีแล้ว คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อเชิญเขาไปรักษาคนไข้ แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถพาตัวเขาออกไกปจากหมู่บ้านได้
หานจื้อเกาเดินทางมาถึงหมู่บ้านในตอนที่ดึกมากแล้ว ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถหาห้องว่างในโรงแรมเพื่อเข้าพักได้ และต้องนอนค้างคืนในรถแทน
ภายในหมู่บ้านมีโรงแรมอยู่เพียงสามแห่ง และทั้งสามก็เต็มหมด ผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างก็เดินทางมาเพื่อพบกับราชายา และมีรายชื่อรอเข้าพบยาวเป็นห่างว่าว ครั้งล่าสุดที่เขาเคยมาที่นี่ เขาได้ยินจากชาวบ้านมาว่า คนที่มารอนานที่สุดคือ ต้องรอนานถึงสองเดือนกว่า และยังมีอีกบางส่วนที่ต้องรอนานกว่านี้ด้วย ถ้าหากราชายาอารมณ์ไม่ดีหรือไม่อยู่ขึ้นมา คนไข้ก็ต้องรอต่อไป ถึงแม้ว่าจะถึงคิวของพวกเขาแล้วก็ตาม ถ้าหากพวกเขาเลือกที่จะยอมแพ้ พวกเขาก็จะถูกตัดรายชื่อออก รายชื่อก็เหมือนกับการไปยืนอยู่ริมน้ำ ถ้าหากพวกเขาไม่ต้องการจะรอ เขาหรือเธอก็จะเสียตำแหน่งนั้นไปในทันที
“บ้าบอจริงๆ!” หานจื้อเกาบ่น
เขาไม่ใช่แค่คนเดียวที่นอนค้างอยู่ภายในรถ ยังมีรถอยู่อีกอย่างน้อย 60 คันที่จอดอยู่ภายในหมู่บ้าน
…
เวลาเริ่มดึกลงแล้ว หวังเย้ากำลังต้มยาตัวที่สามอยู่ ยาตัวนี้มีไว้สำหรับรักษาน้องชายของเฉินหยิง มันมีไว้เพื่อสงบใจของเขา
หวังเย้าเลือกต้มยาในตอนกลางคืนเพราะมันคือช่วงเวลาที่สงบที่สุด เขาต้มยาอยู่นานกว่าจะได้เข้านอนก็ดึกมากแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเช่นทุกวันในเช้าของวันใหม่
…
หลังใช้เวลาตลอดทั้งคืนอยู่ภายในรถ หานจื้อเกาก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาหยิบกล่องที่บรรจุยาทั้งสามเอาไว้ออกมาอย่างระมัดระวัง และลงไปจากรถ เขาเดินตรงไปยังอาคารเก่าๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของหมู่บ้าน พร้อมกับถือกล่องยาเอาไว้อย่างทะนุถนอม ตัวตึกมีสองชั้นและถูกสร้างขึ้นมาจากไม้ไผ่ มีลานบ้านอยู่ติดกับตัวตึกและรั้วกั้นที่มีความสูงพอๆกับมนุษย์คนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะกระโดดข้ามมันไป
มีคนจำนวนหนึ่งมารออยู่ที่ด้านนอกตัวอาคารแล้ว พวกเขารอกันอยู่อย่างเงียบเชียบ ทุกคนต่างถือแผนป้ายที่ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่และมีเลขเขียนกำกับเอาไว้
“ฉันหวังว่า วันนี้ราชายาจะอารมณ์ดีนะ” คนที่รอคิวอยู่พูดขึ้นมา
“ใช่ ฉันรอมาห้าวันแล้ว” อีกคนพูดขึ้น
ประตูตึกถูกปิดสนิทจนกระทั่งถึงเวลา 9 โมงเช้า ชายวัยประมาณ 30 คนหนึ่งเดินออกมาจากตัวตึก เขาไม่สูงมาก มีร่างกายผอมแห้งและใบหน้าเรียวยาว เขาดูกระฉับกระเฉงอย่างมาก
“วันนี้ ราชายาจะตรวจคนไข้ 6 คน ให้เข้ามาได้ทีละคนเท่านั้น” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนัก
“อะไรนะ? แล้วพวกเราที่เหลือล่ะ?” คนที่เหลือในคิวไม่พอใจ
“เลิกบ่นได้แล้ว เขาไม่ได้ตรวจคนไข้มาตั้งหลายวันแล้ว” อีกคนที่อยู่ในแถวพูด
หลังจากที่ชายวัย 30 คนนั้นประกาศออกไปแล้ว เขาก็หมุนตัวและเตรียมที่จะเดินกลับเข้าไปในตัวตึก
“รอเดี๋ยวก่อน!” มีเสียงหนึ่งตะโกนตามหลังเขา
“อะไร?” ชายวัย 30 หยุดเดิน
ทุกคนต่างก็หันไปมองหานจื้อเกาที่ไม่ได้มีแผนไม้ไผ่อยู่ในมือ กฎมีอยู่ว่า เขายังจะต้องรอต่อไปอีกถึง 10 วัน
“ผมอยากจะเจอราชายา” หานจื้อเกาพูด
“รู้รึเปล่า ว่าคุณกำลังพูดอะไรออกมาน่ะ?” ชายวัย 30 ถามเสียงเย็น
“เอ่อ ผมขอคุยเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม?” หานจื้อเกาถาม
ชายคนนั้นจ้องหน้าหานจื้อเกาครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็พยักหน้า
“ขอบคุณครับ” หานจื้อเกาอุ้มกล่องเดินเข้าไปในสวนขนาดเล็ก จากนั้น เขาก็เดินเข้าไปในป่าไผ่และเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้น หลังจากพูดออกไปสองสามประโยค เขาก็เปิดฝากล่องออก จากนั้นก็เดินเข้าไปในตึก