600 หมู่บ้านที่เกือบร้าง
“ไม่เป็นไร เสี่ยวเย้า บอกฉันมาเถอะ” หลังจากที่ได้ฟังคำวินิจฉัยของหวังเย้าแล้ว ชายวัยกลางคนก็พูดออกมา
“คุณลุงสามารถกิน, ดื่ม, และนอนหลับได้เป็นปกติครับ แต่อย่าดื่มเหล้าเยอะเกินไปเท่านั้น” หวังเย้าพูด “เพราะความกดดัน เลยทำให้คุณลุงคิดมากน่ะครับ”
ชายวัยกลางคนยังคงสงสัย มันไม่ใช่แค่เขาที่มีความคิดแบบนั้น ตลอดหลายวันมานี่ ชาวบ้านหลายคนต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวกันทั้งนั้น
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันยากที่พวกเขาจะทำใจยอมรับได้ คนที่พวกเขารู้จักมาหลายปี คนที่มักจะเจอกันตามถนนและทักทายพูดคุยกัน อยู่ๆคนเหล่านั้นก็ป่วยขึ้นมา และถูกพาไปกักตัวที่โรงพยาบาล จากนั้นก็ตาย แล้วโรคร้ายนี้ก็ยังเป็นโรคระบาดอีกด้วย
หลายวันมานี้ หวังเย้าได้รับสายจากทั้งเทียนหยวนถู, หลี่เม่าชวง, เว่ยห่าย, และเพื่อนอีกหลายคน ที่โทรมาสอบถามความเป็นไปของสถานการณ์ แม้แต่ซุนหยุนเชิงก็ยังโทรมาเพื่อถามว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบกับชีวิตของหวังเย้ามากนัก เพียงแค่มีคนไข้มารักษากับเขาน้อยกว่าแต่ก่อนก็เท่านั้น
…
ปักกิ่ง ดอกไม้ผลิบานอยู่ทั่วทุกแห่งหน ซูเสี่ยวซวีมองท้องฟ้าอยู่ที่สวนเพียงลำพัง พร้อมกับความคิดที่ล่องลอยออกไปไกล
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถามจากด้านหลัง
“หนูอยากจะออกไปข้างนอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ที่ไหนเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“เอ่อ หนูอยากจะไปหาหมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ลูกยังไปตอนนี้ไม่ได้ ที่หมู่บ้านของเขาเกิดโรคระบาดอยู่นะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด เธอรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่เธอไม่เคยพูดให้ลูกสาวของเธอได้รู้
“โรคระบาดเหรอคะ? แล้วหมอหวังเจอปัญหาอะไรไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีรีบถามขึ้นมาทันที
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วจ๊ะ ยาที่ใช้รักษาโรคได้ถูกพัฒนาขึ้นมาแล้ว” ซงรุ่ยปิงพูด
“ดีจริงๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วหมอหวังก็เป็นคนที่คิดค้นยาตัวนี้ขึ้นมาด้วยนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“หมอหวังเก่งจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใช่จ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ในตอนที่พวกเธอกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนเดินเข้ามาหา
“คุณผู้หญิงคะ คุณชายกั๋วมารออยู่ข้างนอกค่ะ” เมดพูด
“ช่วยไปบอกให้เขาเข้ามาทีนะ” ซงรุ่ยปิงพูด
หลังจากนั้นไม่นาน กั๋วเจิ้งเหอก็เดินเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนเจิดจ้าที่ราวกับแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ ในมือของเขาถือกล่องชาเอาไว้สองกล่อง “คุณน้า เสี่ยวซวี”
“มานั่งก่อนสิจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
พวกเขานั่งอยู่ภายในสวน
“นี่เป็นชาฤดูใบไม้ผลิจากเขตที่ผมทำงานอยู่ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ถึงมันจะไม่ใช่ชาที่มีชื่อเสียง แต่รสชาติของมันมีความพิเศษมากเลยนะครับ ผมก็เลยเอามาให้คุณน้าลองดื่มดูน่ะครับ”
“ขอบใจนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ใบชาฤดูใบไม้ผลิควรเก็บก่อนและหลังเทศกาลเช็งเม้ง ในบางที่ที่ทางใต้ อาจจะเก็บเร็วกว่านี้เล็กน้อย
“เสี่ยวซวี ช่วงนี้เธอได้ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างไหม?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ฉันเพิ่งจะไปเขาเซียงชานมาน่ะ” ซูเสี่ยวซวียิ้ม
“แล้วเธออยากจะไปที่ไหนอีกรึเปล่า?” กั๋วเจิ้งเหอถาม “หลายวันนี้ฉันว่าง เราออกไปเที่ยวด้วยกันเถอะ”
“เอ่อ ตอนนี้ ยังไม่มีที่ที่ฉันอยากจะไปเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ก็บอกฉันได้เลยนะ ฉันจะพาเธอไปเอง” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ซูเสี่ยวซวียิ้ม ในตอนที่กำลังคุยกันอยู่นั้น พี่ชายของเธอก็มาถึง
“พี่ชาย! เมื่อได้เห็นหน้าพี่ชายของเธอ ก็ดูเหมือนว่า ซูเสี่ยวซวีจะมีความสุขมากเป็นพิเศษ
“ว่าไง เธอเป็นยังไงบ้าง?” ซูจือฉิงให้ความเอ็นดูน้องสาวของตัวเองมาก
“หนูสบายดีค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อน หนูออกไปเที่ยวเขาเซียงชานมาด้วยล่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แม่ เจิ้งเหอ” ซูจือฉิงพูด
“พี่จือฉิง” กั๋วเจิ้งเหอพยักหน้า
“ทำไมถึงได้กลับมาล่ะจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“มาทำธุระนิดหน่อยน่ะครับ” ซูจือฉิงพูด
กั๋วเจิ้งเหอขอตัวกลับอย่างรู้มารยาท
“เขามาทำอะไรที่นี่เหรอครับ?” ซูจือฉิงถาม
“ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” ซูจือฉิงถาม
“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับน้องสาวของลูกยังไงล่ะจ๊ะ!” ซงรุ่ยปิงยิ้ม
“คุณแม่!” ซูเสี่ยวซวีรู้สึกอาย
“เราต้องพิจารณาอย่างดีอยู่แล้ววจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
ซูจือฉิงไม่ได้พูดอะไร เขาพอจะรู้ว่า กั๋วเจิ้งเหอสนใจในตัวน้องสาวของเขา แล้วเขาก็ยังได้ให้คนให้สืบเรื่องของกั๋วเจิ้งเหอมาอย่างลับๆแล้วด้วย และเขาก็ได้ข้อมูลน่าสนใจมาสองอย่าง เรื่องแรก การทำงานของเขายอดเยี่ยมมาก และเขาก็เป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์จับตัวยาก เรื่องที่สอง เขาเชี่ยวชาญในเรื่องของความเจ้าแผนการและคว้าอำนาจไว้ในมือ เล่ห์เหลี่ยมของเขามีมากเกินวัย การมีเล่ห์เหลี่ยมถือเป็นได้ทั้งเรื่องดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญคือการนำไปใช้
“แล้วน้องคิดว่ายังไง?” เขาถาม
“หนูไม่ชอบเขาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบโดยไม่ต้องคิด
“ถ้าน้องไม่ชอบเขา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจ” ซูจือฉิงพูดในทันที เขามีความคิดแบบเดียวกับน้องสาว ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเธอ
“สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆนะ!” ซงรุ่ยปิงยิ้มและชี้ไปที่สองพี่น้อง
“เอาล่ะ แม่ยังมีเรื่องที่ต้องไปทำ สองคนก็คุยกันไปแล้วกันนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด
“พี่ชาย คราวนี้พี่มาทำอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“พี่จะมาคุยเรื่องบางอย่างกับเพื่อนเก่าของพี่สักหน่อยน่ะ โอ้ แล้วพี่ก็จะแวะไปหาหมอหวังด้วย” ซูจือฉิงพูด
“พี่จะไปที่นั่นทำไมเหรอคะ?” เมื่อเขาพูดชื่อหวังเย้าอออกมา ดวงตาของซูเสี่ยวซวีก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“แน่นอนว่าพี่ก็ต้องไปขอคำปรึกษากับเขาน่ะสิ ทักษะการต่อสู้ของเขาอยู่ในจุดสูงสุด แล้วเขาก็เก่งมากๆเลยด้วย!” ซูจือฉิงที่ได้มีโอกาสได้เห็นความสามารถส่วนหนึ่งของหวังเย้า รู้สึกชื่นชมในความสำเร็จของหวังเย้าอย่างมาก
“แล้วพี่จะไปเมื่อไหร่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“น้องอยากจะไปด้วยล่ะสิ ใช่ไหม?” ซูจือฉิงรู้ว่า น้องสาวของเขากำลังคิดอะไรอยู่
“แล้วไปได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” ซูจือฉิงพูด “แต่เราต้องรอให้พี่ทำธุระที่ปักกิ่งให้เสร็จก่อนนะ”
กองทัพมีกฎที่เข้มงวดอย่างมาก ทุกคนไม่สามารถเข้าๆออกๆตามใจตัวเองได้
“ถึงเราจะอยากจะไปแค่ไหน แต่หนูกลัวว่าเราจะไปไม่ได้น่ะสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“น้องหมายความว่ายังไงเหรอ?” ซูจือฉิงถาม
“หมู่บ้านที่หมอหวังอยู่เกิดโรคระบาดขึ้นค่ะ แต่ตอนนี้ก็อยู่ในการควบคุมแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด
ซูจือฉิงตกใจ “แล้วเขาเป็นอะไรไหม?”
“เขาสบายดีค่ะ แล้วเขาก็ยังเป็นคนที่คิดค้นยารักษาขึ้นมาด้วย” ซูเสี่ยวซวีตอบ “พวกผลิตยาออกมาล็อตใหญ่ แต่หมู่บ้านก็ยังต้องอยู่ในการควบคุมอยู่ดี”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน?” ซูจือฉิงขมวดคิ้ว
ธุระของเขาในครั้งนี้ ก็คือการเดินทางไปที่หมู่บ้านกลางเขา เพื่อเชิญหวังเย้าไปเป็นครูฝึกและสอนการต่อสู้ให้กับทหารในกองทัพ นี่เป็นเรื่องของงานราชและงานหลวงอย่างละครึ่ง แต่เขาไม่คิดเลยว่า มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้
“เราคงจะต้องยกเลิกแผนนี่ไปก่อนแล้วล่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าครั้งนี้พี่ไปไม่ได้ ยังไงมันก็ต้องมีครั้งหน้าอยู่ดี” ซูจือฉิงพูด
“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าพี่ไปที่นั่นไม่ได้ งั้นพี่ก็จะอยู่กับน้องสาวตัวน้อยที่บ้านก็แล้วกันนะ” เขาพูด “บอกมาสิ ว่าน้องอยากจะไปเที่ยวที่ไหน?”
“ทิวเขาอู่ตัง(บู๊ตึ๊ง)ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อะไรนะ?” ซูจือฉิงถาม “น้องอยากจะไปที่ไหนนะ?”
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ความต้องการของเธอทำให้เขารู้สึกมึนงงอย่างมาก “เอาล่ะ ถ้าน้องอยากจะไป พี่ก็จะพาไป”
…
ภายในหมู่บ้านกลางเขา ชาวบ้านยังคงตื่นตระหนก และมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกคน
หวังเย้าจึงได้โทรหาศาสตราจารย์หวู ในวันเดียวกันนั้นเอง เมื่อตะวันใกล้ตกดิน ยาปริมาณมากก็ถูกส่งมายังหมู่บ้าน เมื่อดูจากจำนวนยาแล้ว มันมากพอที่จะแจกจ่ายให้กับทุกบ้าน ไม่ว่าจะติดเชื้อหรือไม่ ทุกคนต้องรับยาเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เรื่องนี้ยังทำให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เวลาก็ผ่านไปอีกเจ็ดวัน และไม่มีใครในหมู่บ้านติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก
การควบคุมเริ่มผ่อนคลายลง ชาวบ้านได้รับอนุญาตให้เข้าออกหมู่บ้านได้ แต่พวกเขายังต้องลงชื่อเข้าออกอยู่ พวกเขาต้องตอบคำถามถึงสถานที่ที่พวกเขาไปมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่จดบันทึกเอาไว้
“เราไม่ได้ไปหาตายายของลูกหลายวันแล้ว แม่เลยอยากจะให้ลูกพาไปหน่อย พวกเขาคงจะกังวลเรื่องพวกเรามากแล้ว” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าขับรถพาพ่อแม่ของเขาไปที่บ้านตายายของเขา คนชราทั้งสองรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงสบายดี
ในตอนเย็น หวังเจียนหลี่ กรรมการหมู่บ้านได้มาที่บ้านของพวกเขา เขาดูท่าทางเศร้าใจอย่างมาก
พวกเขาดื่มชาไปพร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย
“ตอนนี้ มีชาวบ้านมาหาฉันกันหลายคนเลยล่ะ” หวังเจียนหลี่จุดบุหรี่
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม
“พวกเขาอยากจะย้ายออกจากหมู่บ้านน่ะสิ” หวังเจียนหลี่พูด
บรรยากาศนิ่งไปครู่หนึ่ง หวังเฟิงฮวาสูดบุหรี่เข้าไปเฮือกใหญ่และพ่นควันออกมา “พวกเขาคงจะกลัวสินะ!”
“ใช่ พวกเขากลัวกันมาก” หวังเจียนหลี่พูด “อพาร์ทเมนต์ของตระกูลซุนก็สร้างขึ้นมาแล้ว คนที่แต่เดิมคิดจะอยู่ที่หมู่บ้านต่อ ตอนนี้ก็มีแผนที่จะย้ายออกกันไปหมด!”
“แล้วจะเหลืออยู่กี่บ้านเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม
“ก็ประมาณ 30 แต่ก็อาจจะน้อยกว่านั้นก็ได้” หวังเจียนหลี่พูด
“น้อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
“ใช่น่ะสิ ถ้ามีคนอยู่น้อยขนาดนี้ มันยังจะเรียกว่าหมู่บ้านได้อยู่อีกเหรอ?” หวังเจียนหลี่พูด
เมื่อจำนวนประชากรลดน้อยลง มันก็ไม่สามารถนับเป็นหมู่บ้านได้อีก แล้วหมู่บ้านก็จะค่อยๆถูกลบหายไป นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน