670 เขาเทียนโช่ว ฮวงจุ้ย
ในตอนเช้า มีคนมาหาหวังเย้าถึงสามกลุ่ม ในขณะเดียวกันนั้น หวังเย้ากลับกำลังสนุกไปกับการท่องเที่ยวที่สุสานราชวงศ์หมิงกับซูเสี่ยวซวี
ถึงจักรพรรดิในสมัยโบราณจะมีความสุขอยู่กับความยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมที่จะสร้างสุสานที่ยิ่งใหญ่ด้วยหวังว่า พวกเขาจะสามารถมีความสุขกับเกียตริยศในโลกหลังความตายด้วย
“พวกเขาจะใช้ทรัพยากรมนุษย์กับเงินไปสักเท่าไหร่กันนะ?” หวังเย้าถาม
“ในอดีต จักรพรรดิถูกมองว่า เป็นเหมือนตัวแทนของสวรรค์ผู้มีสิทธิในการปกครองประเทศ” ซูเสี่ยวซวีพูด “พวกเขาเลยสามารถตัดสินใจเรื่องทุกอย่างได้ตามใจชอบยังละคะ”
ทำเลที่จักรพรรดิองค์นี้เลือกมานั้นดีมาก มันเป็นจุดที่คนเรียกกันว่า ถ้ำมังกร
“เฮ้อ มันเป็นที่ที่ดีจริงๆ” หวังเย้าเดินดูสุสานไปอย่างช้าๆ
“คุณรู้เรื่องฮวงจุ้ยบ้างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“นิดหน่อยน่ะ” หวังเย้าตอบ
เขาพอจะมีความรู้ในเรื่องนี้ เพราะเขาได้ศึกษาวิธีการสร้างค่ายกลห้าแถว เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เพราะตัวค่ายกลเองก็มีความคล้ายกับหลักฮวงจุ้ยอยู่
“ถ้าอย่างนั้น คุณสอนฉันหน่อยได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เอ่อ?” หวังเย้าลังเลเล็กน้อย “ได้สิ ไม่มีปัญหา มันเป็นที่รู้จักในดีว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของฮวงจุ้ย มันยังเป็นสุดยอดผลงานที่รวมทฤษฎีสามธาตุธรรมชาติเอาไว้ ซึ่งผู้คิดค้นก็คือหยางเชียนเชิง”
ในตอนที่เขาศึกษาค่ายกลห้าแถวนั้น หวังเย้ายังอ่านตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของฮวงจุ้ยด้วย
หลังจากที่มีการปรึกษากันแล้ว จักรพรรดิผู้สร้างก็จะเป็นผู้เลือกและใช้งานอาจารย์ดูฮวงจุ้ยของราชสำนักเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดิทั้งหลายต่างก็หวังว่า พวกเขาจะสามารถครอบครองทุกอย่างให้เป็นของตนเองและผู้สืบทอดคนต่อๆไป
“ภูเขามีชื่อว่า เทียนโช่ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ฟังเหมือนรหัสอะไรสักอย่างเลยนะ?”
“อืม มันก็ฟังดูเป็นมงคลดีนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ถ้าเขียนด้วยตัวอักษรแบบนี้ มันต้องเป็นชื่อที่มีความหมายเป็นมงคลอยู่แล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “ภูเขาลูกนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหยาน ที่เป็นส่วนแยกมาจากเทือกเขาไท่หางอีกที และเทือกเขาก็เชื่อมกับเทือกเขาคุณหลุน ซึ่งเป็นเทือกเขาที่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีของฮวงจุ้ย ที่ข้ามผ่านเทือกเขาฉีหลานกับเทือกเขาเอ๋อจิน ในอีกความหมายหนึ่ง เทือกเขาเทียนโช่วก็เปรียบเสมือนกับเส้นเลือดของมังกร และมีต้นกำเนิดมากเทือกเขาคุณหลุน”
“คุณรู้เยอะจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“อ่อ ผมอ่านมาจากในตำราน่ะ ทั้งหมดนี้เป็นต้นแบบของการดูฮวงจุ้ยสำหรับสร้างสุสานอยู่แล้ว ผมก็แค่รู้บางส่วนเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด ก่อนจะเล่าต่อว่า “จากเทือกเขาคุณหลุนไปถึงเขาเทียนโช่วจะมีอยู่ด้วยกันเจ็ดส่วน ตามทฤษฎีของการดูภูมิศาสตร์แล้ว ภูเขาก็เป็นเหมือนกับมังกรตัวหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยพละกำลังหลังจากที่พวกมันลอกคราบแล้ว ภูเขาที่เริ่มตั้งแต่เทือกเขาคุณหลุนมาอีกหลายพันไมล์นั้น ก็เป็นเหมือนกับการลอกคราบของมังกรเจ็ดครั้ง พลังฉีจึงไม่มีที่ไหนเทียบเคียงได้”
ซูเสี่ยวซวีฟังหวังเย้าเล่าอย่างตั้งใจ เธอพอจะรู้เรื่องฮวงจุ้ยอยู่บ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอได้ฟังคำอธิบายเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องของฮวงจุ้ยการสร้างสุสาน
“เขาเทียนโช่วเป็นส่วนหลัก ที่มีหน้าที่เป็นเหมือนกับดาวเหนือ ซึ่งเป็นดาวที่มีความสำคัญและเป็นตัวแทนของความรุ่งโรจน์” หวังเย้ามองซูเสี่ยวซวีและเริ่มท่องบทประพันธ์บทหนึ่ง “มังกรท่องทะยานไปทั่วล้า เทือกเขาที่อยู่ใต้ดวงดาวเปรียบดั่งเรือนร่างของมังกร เทือกเขาตั้งตามชื่อดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วแดนดิน”
“เราขึ้นไปดูบนยอดเขากันเถอะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้าตกลง ทั้งสองเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินขึ้นเขา ไม่นาน พวกเขาก็อยู่บนจุดสูงสุดที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา
“ดูภูเขาทั้งหมดนี่สิ” หวังเย้ารู้หลักฮวงจุ้ยที่ใช้สร้างสุสานแห่งนี้ขึ้นมา แต่มันก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง “ฮวงจุ้ยของราชวงศ์มีพื้นฐานโดยการซ่อนลมและรวมพลังฉี ภูเขาที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนก็เปรียบเสมือนกับเหล่าบริวารนับหมื่นนับพัน มันคือฮวงจุ้ยขนาดใหญ่ เธอรับรู้ถึงพลังฉีที่ต่างออกไปจากที่นี่ไหม?”
“พลังฉีเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีหลับตาของเธอและเปิดสัมผัส “มันสบาย สบายยิ่งกว่าที่ทะเลสาบเป่ยห่ายอีกค่ะ”
“ใช่ มันเป็นจุดฮวงจุ้ยที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยล่ะ” หวังเย้าพูด
โดยปกติแล้ว สุสานก็เป็นเหมือนกับสถานที่ที่ควรจะเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายอย่างหนาแน่ ที่กลับไม่ใช่ที่นี่
“เมื่อมีสถานที่ที่เป็นฮวงจุ้ยยอดเยี่ยมขนาดนี้ มันเป็นเหมือนกับของขวัญจากธรรมชาติเลยล่ะ” หวังเย้าอธิบายต่อ “คนที่จะออกแบบสุสานของจักรพรรดิในสมัยราชวงศ์หมิงขึ้นมาได้ จะต้องเป็นคนระดับปรมาจารย์อย่างแน่นอน เพราะจำเป็นต้องมีสองธาตุที่เสริมและเติมเต็มซึ่งกันและกัน ถึงจะทำให้สุสานยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้”
“แต่ฮวงจุ้ยก็ไม่สามารถต่อต้านกาลเวลาที่ไหลผ่านและประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใช่ ผู้มีพรสวรรค์จะยืนอยู่เหนือคนในรุ่นเพื่อชี้นำประวัติศาสตร์เป็นเวลาหลายสิบปี” หวังเย้าพูดในตอนที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “ไม่ค่อยมีคนมาที่นี่เท่าไหร่เลยนะ”
“ใช่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะที่นี่อยู่ไกล แล้วสุสานก็ยังถือเป็นที่ของคนตายด้วย บางคนก็เลยรู้สึกว่าการมาที่นี่เป็นเรื่องไม่ใงคลและกลัวว่าจะวิญญาญร้ายจะทำให้เกิดเรื่องไม่ดี มันก็เลยไม่ค่อยมีใครมาที่นี่น่ะค่ะ”
“พวกเขาก็น่าจะลองมาดูกันสักหน่อยนะ” หวังเย้าพูด
สายลมพัดผ่านเข้ามาให้ความรู้สึกเย็น ซูเสี่ยวซวีตัวสั่นเล็กน้อย
“เธอหนาวเหรอ?” หวังเย้าถาม
“นิดหน่อยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ลองเคลื่อนกำลังภายในดูสิ” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีกระตุ้นกำลังภายในของเธอ เพราะพัฒนาการของเธอไม่สามารถเทียบกับหวังเย้าได้ พลังฉีจึงอยู่แค่ภายในร่างกายของเธอเท่านั้น แต่พลังฉีของหวังเย้านั้นเคลื่อนอยู่รอบตัวเขาและเชื่อมต่ออยู่กับฟ้าดิน
หยุด!
หวังเย้าชูมือขวาขึ้นไปกลางอากาศ สายลมก็หยุดลงไปพร้อมกับเสียงของเขา
“หา?!” ซูเสี่ยวซวีที่ยืนอยู่ข้างๆเขาตกใจ เธอมองไปที่หวังเย้าด้วยความทึ่ง “มันสุดยอดไปเลย! นี่มันบังเอิญใช่ไหม?”
“ใช่ เรื่องบังเอิญน่ะ” หวังเย้ายิ้ม
“จริงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
มา!
หวังเย้าโบกมือ ลมก็เริ่มพัดมาอีกครั้ง
“คุณสุดยอดไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้เห็นกับตาตัวเอง “คุณทำได้ยังไงเหรอคะ?”
“ด้วยพลังฉีน่ะสิ” หวังเย้าพูด “มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน”
“ฉันจะทำได้บ้างไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“อืมม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หวังเย้าพูด
หวังเย้าสามารถมาถึงจุดนี้ได้หลักๆแล้วเป็นเพราะความช่วยเหลือที่ไม่สามารถอธิบายได้ รวมไปถึงการศึกษาตำราจื้อหรานจิง บนเนินเขาหนานชานก็ยังมีค่ายกลรวมวิญญาณที่รวมหมู่เมฆเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งมันทำให้เขาสามารถทะลวงมาได้ด้วยโอกาสที่เป็นใจเหล่านี้ และนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงพัฒนามาถึงระดับนี้ได้ สำหรับคนอื่นแล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่จะไต่ระดับขึ้นไป และอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“เธอก็ลองดูได้นะ แต่มันก็ยากมากเหมือนกัน” หวังเย้าพูด
“เข้าใจแล้วค่ะ”
…
กั๋วเจิ้งเหอขังตัวเองอยู่ภายในห้องตลอดทั้งวัน ที่เขี่ยบุหรี่เต็มไปด้วยก้นบุหรี่ ซึ่งมันน่าแปลกใจมาก เพราะโดยปกติเขาแทบจะไม่สูบเลยด้วยซ้ำ
ด้านนอกเริ่มมืดลงแล้ว เขาลุกขึ้น จนเกิดเสียงดังขลุกขลัก
“อย่าโทษผมก็แล้วกันนะ หมอ” เขาพูดกับอากาศ
…
หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีกลับเข้าตัวเมืองในตอนใกล้ค่ำ
“อยากจะทานอะไรเป็นมื้อเย็นดีคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“แล้วแต่เธอเลย” หวังเย้าพูด
“งั้นเรากินเชฟเทเบิ้ลกันดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
หวังเย้าตกลง
ในปักกิ่ง ร้านอาหารบางร้านก็สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ด้วยการทำเป็นแบบเชฟเทเบิ้ล ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านสมัยเก่าและไม่มีป้ายชื่อร้านหรือป้ายโฆษณาอยู่เลย ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกค้าประจำ จุดเด่นของการกินแบบนี้คือ การได้รู้ถึงความลึกซึ้งและความสวยงามของอาหารแต่ละจาน
ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารอยู่นั้น ก็มีชายวัยเกือบสามสิบเดินเข้ามาหา เขาแต่งตัวอย่างเป็นทางการและดูเหมือนกับคนคงแก่เรียน “เสี่ยวซวี?”
“พี่ชื่อจิง?” ซูเสี่ยวซวีทักตอบ
“บังเอิญจังเลยนะ” โจวชื่อฉิงพูด
“ค่ะ บังเอิญมาก” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วนี่คือ?” โจวชื่อฉิงถาม
“ขอแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่คือ หวังเย้า เป็นคนนี้คือเพื่อนคนหนึ่งของฉันเองค่ะ ชื่อว่า โจวชื่อฉิง” ซูเสี่ยวซวีแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
“สวัสดีครับ?” หวังเย้าพูด
“สวัสดีครับ ผมได้ยินชื่อของคุณมานานแล้ว” โจวชื่อฉิงพูด
เขารับรู้ถึงชื่อเสียงของหวังเย้ามาแล้ว รวมไปถึงเรื่องที่เขารักษาซูเสี่ยวซวีและนายท่านหวู รวมทั้งยังรักษาโรคให้กับนายท่านกั๋วที่ได้จากไปแล้ว แต่เขาก็อาจจะจากไปเร็วกว่านี้หากไม่ได้รับการดูแลจากหวังเย้า
ผู้คนมากมายในปักกิ่งอยากรู้จักกับหวังเย้า ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เพราะการที่ได้รู้จักกับหมอผู้มีความสามารถสูง ก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย
“หมอหวัง หวังว่าถ้ามีเวลาเราจะได้คุยกันเป็นการส่วนตัวบ้างนะครับ” โจวชื่อฉิงพูด
“ได้สิครับ” หวังเย้าตอบ
ในตอนที่คุยกันอยู่นั้น เพื่อนของโจวชื่อฉิงก็เดินเข้ามา เขาจึงขอตัวเพื่อไปทักทายเพื่อนของเขา
“พวกเขาเป็นพวกตระกูลใหญ่เหรอ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ น่าจะทุกคนเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด
คนในระดับพวกเขามักจะเลือกสถานที่แบบนี้ในการเลี้ยงเพื่อนฝูง เพราะมันดูหรูหรามีราคามากกว่า ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะเลือกไปตามสมาคมมากกว่าที่จะเลือกไปตามโรงแรมหรู