679 สำนึกผิด! เศษสวะ!
“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง” จางเผิงพูด
หวังเย้าจ่ายเงินค่าจ้างต่อปีให้กับทนายของเขา เพื่อเป็นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจางเผิง หลังจากที่ได้จัดการเรื่องกฎหมายให้กับหวังเย้าสองสามครั้ง จางเผิงก็พบว่า หวังเย้ามักจะจ่ายเงินโดยไม่มีการอิดออดเลย เขาจึงยินดีที่จะยกหวังเย้าให้เป็นหนึ่งในลูกค้าชั้นดีของเขา
“ผมต้องการหมอ!” เฉาจื่อเจินที่อยู่ในห้องสอบมีท่าทีตื่นตระหนก หูของเขามีเสียงดังหึ่งและมีเลือดไหลออกมา เขายังมีเลือดไหลออกทางจมูกด้วย เหงื่อเย็นผุดออกมาจนเต็มหน้าผากของเขา
“นายเป็นอะไรไปน่ะ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม
“ผมไม่สบาย! ไม่เห็นเหรอว่าผมมีเลือดไหลออกมาน่ะ?” เฉาจื่อเจินตะโกน
“อ้อ ฉันเห็นแล้วว่ามีเลือดไหลออกจมูกของนายน่ะ อ่ะ เอานี่ไป เอาทิชชู่ยัดจมูกก็ได้แล้ว” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูด
เมื่อได้รู้ว่า คนเหล่านี้ต้องการจะเบลคเมลหวังเย้า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาและหวังเย้าเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ดังนั้น เขาจึงเข้าข้างหวังเย้าไปโดยปริยาย รวมถึง เขาเพิ่งจะพาญาติของเขาไปรักษากับหวังเย้ามาเมื่อไม่กี่วันก่อน หวังเย้ารักษาญาติของเขาและคิดเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็อยากสานสัมพันธ์กับเขา เผื่อว่าในอนาคตพวกเขาจะต้องไปรักษาที่คลินิกของหวังเย้า
เดี๋ยวนะ! อยู่ๆหวังเย้าก็นึกอะไรออก เขากระซิบข้างหูพันจวินไปสองสามประโยค แล้วพันจวินก็รีบออกไปจากสถานีตำรวจทันที
ครู่ต่อมา พ่อแม่ของหวังเย้าก็มาที่สถานีตำรวจด้วยความรีบร้อน หลังจากที่ได้รู้ว่า ลูกชายของพวกเขาถูกพามาที่สถานีตำรวจ
“แม่ พ่อ ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“แม่ได้ยินมาว่า มีคนตายในคลินิกของลูกน่ะสิ” จางซิวหยิงพูด “มันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
“จริงครับ แต่มันเป็นแผนที่ถูกวางไว้ก่อนแล้ว มีคนต้องการจะเบลคเมลล์ผม แต่ผมติดต่อทนายความให้มาจัดการเรื่องนี้แล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“อ้อๆๆ” จางซิวหยิงพูด
เธอและหวังเฟิงฮวาต่างก็ยังไม่หายกังวล
เมื่อหมดวัน การตัดสินใจทั้งหมดจะถูกยกไปที่ศาล คนที่มีประวัติอาชญากรรมถูกกักตัวเอาไว้ที่สถานีตำรวจ ไม่มีใครสนใจร่างไร้ลมหายใจของชายชราที่ถูกทิ้งไว้ที่คลินิกของหวังเย้าเลย
พันจวินอยู่เป็นเพื่อนหวังเย้าในการจัดการเรื่องต่างๆ
“เราจะทำยังไงกับร่างของผู้ชายคนนั้นดี?” พันจวินถาม พวกเขาไม่สามารถทิ้งร่างเอาไว้ในคลินิกแบบนั้นได้ “ทิ้งไว้แบบนั้นมันไม่ดีนะ!”
“ภาพกล้องวงจรปิดอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันเซฟเอาไว้ในคอมแล้วล่ะ แล้วก็เก็บตัวอย่างเลือดของคนตายเรียบร้อยแล้วด้วย” พันจวินพูด
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
เขาขอให้พันจวินไปจัดการให้เขาสองอย่าง หนึ่งคือเก็บตัวอย่างเลือดของชายชราเพื่อนำไปทำการทดสอบ อีกอย่างคือ ให้เขาก๊อปปี้ภาพจากกล้องวงจรปิดเอาไว้ เขาไม่คิดว่า เรื่องทุกอย่างจะจบง่ายๆ
“แล้วศพล่ะ?” พันจวินถาม
“เอาไปไว้ที่ห้องเก็บศพทีนะครับ” หวังเย้าพูด
“เวลานี้คงจะไม่ได้แล้วล่ะ” พันจวินพูด
หลังจากเข้าๆออกๆสถานีตำรวจทั้งวัน ตอนนี้ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว และห้องเก็บศพก็ปิดทำการแล้วในตอนนี้
ไม่มีใครกล้าพอที่จะไปเอาร่างคนตายในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงที่พลังหยินเข้มข้นที่สุด นอกจากว่า คนนั้นจะไม่กลัวตาย
“ให้ฉันจะจัดการให้พรุ่งนี้แล้วกันนะ” พันจวินพูด
เขาทำงานอยู่ในโรงพยาบาล จึงทำให้เขารู้จักคนที่ทำงานอยู่ในห้องเก็บศพด้วย
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในวันนี้นะครับ”
“ไม่เป็นไร ในฐานะที่เป็นนักเรียนของนาย มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยนายอยู่แล้ว” พันจวินพูด
“เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ล่ะ ขอบคุณที่ชวนนะ ฉันสัญญากับลูกชายเอาไว้แล้วน่ะสิ ว่าจะไปเดินเล่นกับเขาตอนกินข้าวเย็นเสร็จ” พันจวินพูด
“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถกลับดีดีนะครับ” หวังเย้าพูด
“อื้ม ถ้าต้องการอะไรก็โทรหาฉันได้เลยนะ” พันจวินพูด “แล้วนายจะทิ้งศพเอาไว้ในคลินิกทั้งคืนจริงๆน่ะเหรอ? นั่นมันศพคนตายนะ!”
“ฮาฮา จะต้องกลัวอะไรล่ะครับ? เขาก็ตายไปแล้วนี่นา” หวังเย้าตอบ
“มันไม่เป็นมงคลน่ะสิ” พันจวินพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับโบกมือ
หวังเย้าคิดว่า คนตายก็ควรจำได้รับความเคารพเหมือนคนปกติ เขาจะปล่อยให้ชายชราได้นอนอย่างสงบอยู่ภายในคลินิกของเขาหนึ่งคืน แล้วลูกชายของเขาก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนอยู่ที่สถานีตำรวจอยู่ด้วย
หวังเย้าปิดประตูคลินิกและกลับบ้าน เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน เขาก็เห็นความกังวลฉายชัดอยู่บนใบหน้าพ่อแม่ของเขา
“แม่ พ่อ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะครับ มันก็แค่เรื่องที่ผ่านเข้ามา แล้วเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป” หวังเย้าพูด
“จ๊ะ ขอแค่ลูกไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรมาก และพ่อแม่ของเขาก็ไม่ได้ถามอะไรมากเช่นกัน
คืนนั้น หวังเย้าที่อยู่บนเนินเขาหนานชานกำลังคิดไปหลายเรื่อง
ร่างของชายชรานอนสงบนิ่งอยู่ภายในคลินิกของเขา เขาอายุแค่ 53 ปีเท่านั้น เขาอาจจะไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะต้องทำงานหาเงินเลี้ยงดูคนในครอบครัว โดยเฉพาะลูกชายของเขา เขาอาจจะคิดไม่ถึงว่า ตัวเองจะต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้ ความผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการมีลูกชายแบบนี้ และล้มเหลวในการสั่งสอนเขาให้ไปในทางที่ถูกที่ควร
เขาล้มเหลวในฐานะพ่อคนหนึ่ง เขาไม่สามารถสอนลูกชายให้เคารพในตัวเขาได้ และมันก็สายเกินกว่าที่จะมานึกเสียใจทีหลัง
ค่ำคืนผ่านพ้นไปโดยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เช้าของวันถัดมา พันจวินเดินทางมาถึงที่คลินิกแต่เช้าตรู่ และตามมาด้วยรถของห้องเก็บศพ คนของห้องเก็บศพเข้ามานำร่างของชายชราออกไปอย่างชำนาญ
พันจวินได้ขอให้คนของห้องเก็บศพมานำร่างผู้เสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะเข้างาน แต่ก็ยังมีชาวบ้านบางคนที่เห็นรถของพวกเขาที่ขับเข้ามาในหมู่บ้าน เมื่อรวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้ว จึงทำให้เกิดเรื่องซุบซิบขึ้นในหมู่บ้าน โชคยังดีที่กลุ่มที่ชื่นชอบการนินทาได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกันเกือบหมด ดังนั้น หวังเย้าและคนในครอบครัวของเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก
“หมอหวัง ถ้ามีอะไรที่เราพอจะช่วยได้ก็บอกนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินและซุนหยุนเชิงพากันมาหาหวังเย้าแต่เช้า
“ได้ ขอบคุณมากนะ” หวังเย้าพูด
พวกเขาไม่ได้อยู่นานนัก หลังจากที่คุยกับหวังเย้าไม่กี่ประโยคก็ขอตัวกลับ
หวังเย้าไม่ได้ตรวจคนไข้ในช่วงเช้า เพราะเขายังมีเรื่องอื่นให้ต้องจัดการ
ไม่นาน เขาก็ได้รับสายจากทาวสถานีตำรวจ คนที่พยายามจะเบลคเมลล์หวังเย้าถูกปล่อยตัวในเช้านี้ เพราะมีพยานหลักฐานไม่เพียงพอ และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเรื่องแบบนี้ด้วย คนพวกนี้ไม่ยอมเปิดปากบอกข้อมูลใดๆ และดูเหมือนว่า พวกเขาจะไม่กลัวอะไรสักอย่าง
“ในที่สุด เราก็ออกมาได้” หนึ่งในพวกเขาพูด “เอิ๊ก!”
“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรากันแน่?” อีกคนถามขึ้นมา “เอิ๊ก!”
ตั้งแต่ที่เข้าไปในสถานีตำรวจ พวกเขาก็เริ่มสะอึกไม่หยุด ไม่ว่าจะนั่ง, ยืน, หรือเข้าห้องน้ำ พวกเขาก็ไม่หยุดสะอึกเลย แม้แต่ตอนกิน, ดื่ม, และนอนหลับ พวกเขาก็ยังคงสะอึก ทำให้พวกเขานอนไม่ได้ไปตลอดทั้งคืน และตอนนี้ แต่ละคนก็มีสภาพเหนื่อยล้าและง่วงนอน
“หัวหน้าว่า ไอ้หมอนั่นจะทำอะไรพวกเรารึเปล่า?” หนึ่งในพวกเขาถาม
“จะทำอะไรกัน? เขาไม่ได้แตะตัวเราสักนิด” ชายที่เป็นหัวหน้าพูด
“อาเหมิง! อาเหมิง!” ชายหนุ่มแต่งตัวดีร้องเรียกหาชายผู้เป็นหัวหน้า ซึ่งเขาก็คือเฉาจื่อเจิน
“นายเป็นอะไร?” เฉาเหมิงถาม
“พาฉันไปโรงพยาบาลที! เร็วเข้า!” ในตอนที่เฉาจื่อเจินพูด ก็เริ่มมีเลือดไหลออกจากจมูกและหูของเขา
“แกเป็นอะไรกันแน่เนี่ย?” เฉาเหมิงถาม
“ฉันไม่รู้! เร็วเข้าเถอะ! พาฉันไปโรงพยาบาล! เมื่อวาน ฉันไม่ได้บอกอะไรกับตำรวจทั้งนั้นเลยด้วย!” เฉาจื่อเจินพูด
“แล้วลุงอ้ายกั๋วล่ะ?” ชายอีกคนถาม “เขายังนอนตายอยู่ที่คลินิกนั่นนะ”
“ปล่อยเขาเอาไว้ที่นั่นไปก่อน เรื่องมันยังไม่จบ ไปได้แล้ว” เฉาเหมิงพูด
หลังจากที่พวกเขาเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว มีพบว่ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา คนคนนั้นส่งสายตาเย็นชามาที่พวกเขา
“แก!” เฉาจื่อเจินตะโกน
“แกวางยาให้เขาตายใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“อะไร?” เฉาเหมิงถาม “มันเป็นแกต่างหากที่ทำให้เขาตายน่ะ! แก…”
“เงียบ!” หวังเย้าชี้ไปที่เฉาเหมิง ที่อยู่ๆก็ไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้
มันราวกับว่า ลำคอของเขาถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเอาไว้ เขาอยากจะพูด แต่ก็พูดไม่ได้ เขารู้สึกสิ้นหวังและเริ่มเอามือครูดลำคอของตัวเอง
“แกเป็นอะไรไปน่ะ?” เฉาจื่อเจินถาม แล้วหันไปหาหวังเย้า “แกทำอะไรเขา?”
“แกฆ่าพ่อของตัวเอง! ระยำจริงๆ” หวังเย้าพูด
เขาชกไปทางเฉาจื่อเจิน ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่เฉาจื่อเจินกลับไม่รู้สึกเจ็บหรืออะไรสักอย่างเลย
“อะไร…แกต้องการอะไรจากเรา?” เฉาจื่อเจินถาม
คนพวกนี้ไปโกงเงิน, เบลคเมลล์คนอื่น, ขโมยเด็ก, และต้มตุ๋นไปทั่วประเทศ ทั้งหมดเรียกได้ว่าเป็น เศษสวะของสังคม อย่างแท้จริง พวกเขาทำแต่เรื่องเลวทราม แต่พวกเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะหวังเย้า ชายหนุ่มที่ดูไร้พิษภัยคนนี้ บางทีอาจจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้พวกเขาต้องมาเจอกับหวังเย้า
หวังเย้ากระโดดและเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลม ชายเหล่านั้นรู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนตบตัวพวกเขา และมีบางอย่างถูกส่งเข้าไปภายในร่างกายของแต่ละคน
“แกทำอะไรพวกเราน่ะ?” เฉาจื่อเจินถาม
“ฉันว่า พวกเราควรจะเริ่มสำนึกผิดได้แล้วนะ” หวังเย้าพูด จากนั้น เขาก็หมุนตัวและเดินจากไป ปล่อยให้ชายทั้งสี่ยืนงงเหมือนคนโง่อยู่ตรงนั้น
สายลมพัดผ่าน อยู่ๆพวกเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย
“หัวหน้า มันทำอะไรกับพวกเราเหรอ?” หนึ่งในพวกเขาถาม
“เชี่ย” เฉาเหมิงพูด “แล้วแกคิดว่ามันทำอะไรล่ะ? อย่าตื่นตระหนกไปหน่อยเลยน่า”
“ใช่ มันจะไปทำอะไรเราได้ล่ะ” ชายอีกคนพูด “เราจะให้มันจ่ายจนหมดตัวแน่”
พวกเขาเดินทางไปมาทั่วประเทศและเจอปัญหามาแล้วมากมายหลายอย่าง พวกเขาทั้งถูกต่อย,ถูกแทง แต่ก็ยังรอดมาจนถึงตอนนี้ได้
“ไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า” เฉาเหมิงพูด
“ไปกันเถอะ” ชายอีกคนพูด
“หัวหน้า พาฉันไปโรงพยาบาลก่อนได้ไหม?” เฉาจื่อเจินอ้อนวอน
“อย่ากลัวไปหน่อยเลย พอดื่มเสร็จ แล้วฉันจะพาแกไปเอง แกไม่ตายหรอกน่า” เฉาเหมิงพูด
“เอ่อ…” เฉาจื่อเจินมีท่าทีลังเล
“ไปได้แล้ว เลิกคร่ำครวญ แกยังต้องพิสูจน์ตัวเองให้พวกเราเห็นอยู่นะ” เฉาเหมิงพูด