685 ขออุทธรณ์กับศาล
“แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร หรือเขามีเบื้องหลังความเป็นมายังไงนะครับ” เฉาเหอพูด เขาเพียงแค่พูดตามความเป็นจริงเท่านั้น “พี่เคยเจอเขามาก่อนเหรอครับ?”
“ไม่เคยเลย” เฉาเหมิงส่ายหน้า
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากโทรศัพท์สายหนึ่งและเงินอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทำให้พวกเขาเห็นความหวังที่จะหาเงินก้อนใหญ่ได้ พวกเขาจึงเดินทางมาที่เหลียนชานในทันที แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับไม่ได้ดีดังที่คาด พวกเขาไม่ได้เงิน แล้วยังต้องมาจบอยู่ที่โรงพยาบาลอีกด้วย
“ถ้าพี่ทำสำเร็จ เงินที่จะได้ก็คงจะเยอะมาก” เฉาเหอพูด “แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว แม้แต่โอกาสที่จะทำให้งานี้สำเร็จก็ยังมองไม่เห็นเลยนะครับ รางวัลที่ควรจะได้ก็กลายเป็นแค่ดอกไม้ในกระจกหรือไม่ก็เป็นเงาพระจันทร์ในน้ำเท่านั้น ผมแนะนำให้พี่ล้มเลิกความคิดที่จะทำต่อดีกว่านะครับ”
“เสี่ยวฮุย เธอคิดว่ายังไง?” เฉาเหมิงยังคงอยากจะลองเพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลก้อนใหญ่ ถ้าเขาสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ เขาก็อาจจะไม่ต้องทำเรื่องแบบนี้ไปอีกหลายปีต่อจากนี้
“พี่ไม่อยากยอมแพ้ใช่ไหมคะ?” เฉาฮุยถามกลับโดยไม่ได้ตอบคำถามของเฉาเหมิง
“ฉันยังอยากจะลองดูอีกสักตั้ง แต่ฉันจะฟังสิ่งที่เธอพูดดูก่อน” เฉาเหมิงพูด
“พี่น่าจะลองคุยกับคนคนนั้นอีกครั้ง เพื่อทดสอบคลื่นลมของทางนั้น หลังจากนั้น เราก็ค่อยมาตัดสินใจว่าจะทำยังไงกันต่ออีกทีน่าจะดีกว่านะคะ” เฉาฮุยพูด
“ได้ ฉันจะโทรหาเขา” เฉาเหมิงพูด
พวกเขาวางแผนเอาไว้คร่าวๆตามที่ได้ตกลงกัน ครู่ต่อมา สี่คนในแก็งค์ก็กลับมาอีกครั้ง
“หัวหน้า เราตัดสินใจแล้ว ผมว่า ตอนนี้เรายังไม่ควรจะกลับไป และอยู่ช่วยหัวหน้าก่อน” หนึ่งในพวกเขาพูด
“ใช่ๆ” อีกคนพูด
“แล้วพวกแกไม่เป็นห่วงคนที่บ้านแล้วเหรอ?” เฉาเหมิงถาม
“พ่อผมตายไปแล้ว แล้วก็คงจะเอาเขากลับมาไม่ได้แล้วด้วย ผมว่าตอนนี้ ผมควรจะสนใจเรื่องงานก่อนดีกว่า” หนึ่งในนั้นพูด
“แล้วเรื่องของแกกับลูกชายล่ะ?” เฉาเหมิงถามชายอีกคนในแก็งค์
“ลูกผมมันดูแลตัวเองได้แล้ว ตอนนี้ผมไม่จำเป็นต้องไปห่วงเขาหรอก ที่เขาพูดนั้นถูกแล้วล่ะ ตอนนี้ เราควรมาใส่ใจปัญหาที่อยู่ตรงหน้าของเราก่อนดีกว่า” ชายอีกคนพูด
“ก็ดี ฉันดีใจนะ ที่พวกแกสนใจเรื่องงานน่ะ” เฉาเหมิงพูด
ชายทั้งสี่สังเกตเห็นเฉาเหอและเฉาฮุยที่ยืนอยู่ข้างเตียงของเฉาเหมิง “พวกเขาเป็นใครเหรอ?”
“พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ฉันขอให้มาช่วยงานของพวกเรายังไงล่ะ พวกแกต้องให้ความร่วมมือกับพวกเขาด้วยล่ะ” เฉาเหมิงแนะนำเฉาเหอกับเฉาฮุยให้คนทั้งสี่ได้รู้จัก
เฉาเหมิงได้แอบเลี้ยงดูให้การศึกษาคนทั้งสองแบบลับๆมาเป็นเวลานานมากแล้ว พวกเขาทั้งสองคือลูกน้องที่เขาไว้ใจจริงๆ และมักจะให้ทำงานด้วยตัวพวกเขาเอง คนอื่นๆในแก็งค์ไม่เคยได้เจอคนทั้งสองหรือรู้การมีตัวตนอยู่ของคนทั้งสองแม้แต่น้อย
“เฉาเหอจะเป็นคนบอกเอง ว่าต่อไปพวกแกจะต้องทำอะไร” เฉาเหมิงพูด
“ไม่มีปัญหา หัวหน้าแค่ต้องรักษาตัวเองให้หายเร็วๆก็พอ แล้วปล่อยเรื่องที่เหลือให้พวกเราจัดการเอง” ชายร่างสูงพูด
“โอเค” เฉาเหมิงพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา
เขาอยากจะเอารองเท้าของเขาฟาดคนทั้งสี่จนตายสักที เขารู้สึกเสียใจที่เอาคนไร้ประโยชน์พวกนี้มาทำงานสำคัญให้กับเขา
“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องพักผ่อนแล้ง” เฉาเหมิงพูด
“ได้ หัวหน้า ดูแลตัวเองดีดีนะ” หนึ่งในพวกเขาพูด
พวกเขาเดินออกไปพร้อมกับเฉาเหอ
“นี่ แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อเหรอ?” หนึ่งในคนทั้งสี่ถาม
“พวกนายรออยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วกัน” เฉาเหอพูด
“จะรออะไรอีกล่ะ?” หนึ่งในสี่คนถาม
“พวกนายอยู่ดูแลหัวหน้าของพวกเราที่นี่ แล้วก็ปล่อยให้พวกเราจัดการเรื่องที่เหลือเอง” เฉาเหอพูดเสร็จก็จากไปพร้อมกับเฉาฮุย
“เฮ้ย อย่าเพิ่งไปสิ” หนึ่งในสี่มีท่าทีตื่นตระหนก “แล้วจะทำยังไงกับบัตรดีล่ะ?”
…
ภายในเมืองเล็กแห่งหนึ่งในยูนนาน ซึ่งไม่ใช่เมืองที่มีเศรษฐกิจที่ดีนัก แต่กลับเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงให้เรื่องของทิวทัศน์ที่งดงาม คนสองคนกำลังเล่นหมากรุกจีนอยู่ภายในสำนักงานแห่งหนึ่ง คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ส่วนอีกคนเป็นชายวัยประมาณ 40 ที่ผมกำลังเริ่มร่วงไปส่วนหนึ่งแล้ว
ชายหนุ่มดูเหมือนจะเป็นฝ่ายชนะ เขารุก โดยการใช้อัศวินกับปืนใหญ่ต้อนให้คิงของอีกฝ่ายต้องจนมุม ชายวัยกลางคนดิ้นรนต่อได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
“เธอเล่นหมากรุกเก่งมากเลยนะ ฉันยอมแพ้” ชายวัยกลางคนพูด
“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนมองไปที่กั๋วเจิ้งเหอ ที่เด็กกว่าเขาถึง 15 ปี และคิดว่า เขากำลังทำอะไรอยู่ในตอนที่ตัวเองอายุได้ยี่สิบต้นๆ เขามีโรงงานในมืออยู่หนึ่งแห่ง เขาต้องทำงานหนักเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด เขาไม่ได้ถือว่าจนซะทีเดียว แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ง่ายเช่นเดียวกัน
กั๋วเจิ้งเหอมีตำแหน่งเป็นถึงผู้ว่าเขตตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบเลยด้วยซ้ำ เขาเป็นคนฉลาด, หนักแน่น, รอบคอบ, และมีความสามารถ เขาปฏิบัติตัวดีต่อเพื่อนร่วมงาน ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมาจากตระกูลใหญ่ก็ตาม คนแบบเขานั้นเกิดมาเพื่อขึ้นไปอยู่เหนือคนอื่น
ชายวัยกลางคนรู้สึกยอมรับและชื่นชมในตัวกั๋วเจิ้งเหออย่างมาก
ปี๊บ! ตื๊ด! มือถือของกั๋วเจิ้งเหอส่งเสียงดังขึ้น “ขอโทษนะครับ ผมคงต้องรับสายนี้”
เขาลุกขึ้นและเดินไปที่มุมหนึ่ง “ฮัลโหล กั๋วเจิ้งเหอพูด…ได้…ผมให้คุณเป็นคนตัดสินใจได้เลย”
หลังจากวางสายเสร็จแล้ว เขาก็กลับไปคุยกับชายวับกลางคนเกี่ยวกับเรื่องงานต่ออีกสักพัก นาน ชายวัยกลางคนก็ออกไปจากห้องทำงานของเขา
กั๋วเจิ้งเหอมองไปยังเมืองเล็กที่นอกหน้าต่าง เขาทำงานอยู่ที่นี่มาได้สองปีกว่าแล้ว และได้รับการเลื่อนขั้นจากนายกเทศมนตรีมาเป็นผู้ว่าเขตอย่างรวดเร็วราวกับจรวด ทั้งหมดเป็นเพราะชาติตระกูลและความสามารถของตัวเขาเองรวมกัน
“คราวนี้ผมแพ้ให้คุณ แต่เกมส์ของเราเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น” กั๋วเจิ้งเหอพึมพำออกมา
หวังเย้าคิดว่า เรื่องการตายของชายชราได้จบลงแล้ว แต่แล้วเขาก็ได้รับข้อความจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันต่อมาว่า มีคนแจ้งความเขาในข้อหาปฏิบัติหน้าที่ในทางมิชอบ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต
“อะไรนะ?” หวังเย้าไม่คิดว่าเขาจะได้ยินเรื่องแบบนี้
จางเผิง ทนายความของเขามีเอกสารครบทุกอย่างแล้ว “คุณจะไม่เป็นไรแน่นอนครับ”
มันเป็นครั้งแรกที่หวังเย้าถูกพาตัวไปขึ้นศาล ทางโจทก์ได้ยื่นฟ้องว่า พบพิษอยู่ในเลือดของชายชรา นอกจากนี้ ชายชรายังเสียชีวิตตอนที่อยู่ในคลินิกของหวังเย้าด้วย
โชคดีที่หวังเย้ามีหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาได้ส่งตัวอย่างเลือดของชายชราไปทำการทดสอบที่ปักกิ่ง มันเป็นความจริงที่ชายชราเสียชีวิตจากพิษ แต่เขาถูกพิษก่อนที่จะมาคลินิกของหวังเย้านานแล้ว
หวังเย้ายังได้นำตัวอย่างเลือดไปทดสอบในแล็ปที่มีชื่อเสียงในระดับชาติและในโรงพยาบาลดังของปักกิ่ง ดังนั้น ผลเลือดที่ออกมาจึงน่าเชื่อถือ ความน่าเชื่อถือของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีวิดีโอจากกล้องวงจรปิดในหมู่บ้าน ที่แสดงภาพในตอนที่ชายชรามาที่คลินิก ซึ่งในภาพนั้นเขาได้แสดงอาการของคนที่ถูกพิษออกมาให้เห็นก่อนแล้ว หวังเย้ายังได้บันทึกบทสนทนาเอาไว้ด้วย
แต่คำตัดสินของศาลนั้นน่าสนใจมาก ศาลได้สั่งให้หวังเย้ารับผิดชอบการเสียชีวิตของชายชรา โดยการที่หวังเย้าต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวของชายชราทั้งหมด 640,000 หยวน
“ผมไม่ยอมรับคำตัดสินนี้” หวังเย้าพูดในชั้นศาล เขายื่นคำอุทธรณ์ต่อศาล
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” จางเผิงก็ตกใจกับคำตัดสินของศาลเช่นเดียวกัน เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำตัดสินแบบนี้จากผู้พิพากษา
“ผมต้องขอทาด้วยนะครับ ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้” จางเผิงพูด
“ผมเข้าใจครับ” หวังเย้าพูด “แต่ผมอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงมากกว่า”
เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน เขาก็พบว่ามีแขกอยู่หนึ่งคน หญิงสาวน่าตางดงามกำลังพูดคุยอยู่กับแม่ของเขา
“สวัสดี เสี่ยวซวี ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ? ทำไมไม่บอกผมว่าเธอจะมาน่ะ?” หวังเย้าแปลกใจที่ได้เห็นซูเสี่ยวซวีในบ้านของเขาเอง
“แม่ไปเตรียมอาหารเย็นก่อนนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเห็นข่าวของคลินิกคุณในอินเตอร์เนตน่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด หวังเย้าต้องปิดคลินิกของเขาเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีปัญหาเกิดขึ้น “ฉันก็เลยมาหาคุณยังไงล่ะคะ”
เพราะหวังเย้าคิดถึงซูเสี่ยวซวี เขาจึงปิดคลินิกและเดินทางไปหาเธอที่ปักกิ่ง และเพราะซูเสี่ยวซวีกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังเย้า เธอจึงขอหยุดเรียนและเดินทางมาที่เหลียนชาน พวกเขาเดินทางไกลมาเพราะความรู้สึกที่ทั้งสองมีต่อกัน
“ขอบคุณนะ” หวังเย้าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“แล้วทุกอย่างโอเคไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ก็ไม่เชิงหรอก” หวังเย้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในศาลให้ซูเสี่ยวซวีฟัง
“นี่มันบ้าไปแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด “ใครเป็นผู้พิพากษาคะ? เขาควรจะตัดสินอย่างยุติธรรมสิ”
“ผมยื่นเรื่องขออุทธรณ์ไปแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
“คุณทำถูกแล้วค่ะ เราไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอยู่แล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด
เธอไม่เชื่ออยู่แล้วว่า หวังเย้าจะเป็นคนฆ่าชายชรา การเสียชีวิตของชายชราเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่ถูกวางเอาไว้ก่อนแล้ว
“คนพวกนั้นมาจากจังหวัดจงหยวนเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ใช่” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ถามอะไรมาก เธอได้คิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ที่เธอเดินทางมาที่นี่แล้ว และยังได้ข้อมูลบางส่วนจากจางซิวหยิงมาบ้าง
คนพวกนั้นจงใจโยนโทษไปให้หวังเย้าและต้องการจะเบลคเมลล์เขา พวกเขาทำเรื่องน่ารังเกียจมาก ในเมื่อคนพวกนี้ไม่ใช่คนจากจังหวัดฉี แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องมาสร้างปัญหาให้กับหวังเย้า ที่อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆกลางเขาแบบนี้ด้วยล่ะ? ซูเสี่ยวซวีไม่คิดว่า นี่จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น แล้วเธอก็คิดถึงกั๋วเจิ้งเหอขึ้นมาในทันที