“พูดตามตรงนะ ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย” เจี๋ยจื้อจายยกมือขึ้นเกาศีรษะตัวเอง “ฉันไม่ได้สนใจว่านายจะรู้เรื่องอะไรมากแค่ไหน ฉันสนใจว่านายฆ่าเจ้านั่นได้ยังไงมากกว่า”
อยู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“มีแขกของนายมาหารึเปล่า?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“รอเดี๋ยวนะ” จงหลิวชวนพูดทั้งที่ยังคงมองหน้าของเจี๋ยจื้อจายอยู่
แม้แต่ตอนที่เดินไปเปิดประตู จงหลิวชวนก็ยังเดินถอยหลังไป เขาไม่เคยสู้กับชายคนนี้ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของเขามามาก การระวังตัวเอาไว้ก่อนถือเป็นเรื่องดี
“ดูนายทำเข้าสิ” เจี๋ยจื้อจายพูดกลั้วหัวเราะ “นายระแวดระวังเกินไปแล้ว!”
“ใครน่ะ?” จงหลิวชวนตะโกนออกไป
“ผมเอง” เสียงของหวังเย้าดังมาจากด้านนอก
“หมอหวัง?” ทันทีที่ได้ยินเสียง จงหลิวชวนก็รีบเปิดประตูทันที ในเวลาเดียวกัน ความกดดันที่ต้องพบเจอกับศัตรูร้ายกาจก็จางหายไป
“มีอะไรงั้นเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายที่นั่งดื่มชาอยู่รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
การเปลี่ยนแปลงของจงหลิวชวนไม่สามารถหลุดรอดสายตาของเขาไปได้ อารมณ์ที่เปลี่ยนไปส่งผลกับร่างกาย บางคนก็ไม่ทันรู้ตัวถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
“เชียนเชิงมาที่นี่คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ!”
เมื่อบานประตูเปิดออก เจี๋ยจื้อจายก็ต้องประหลาดใจ “นายนั่นเอง?”
“ใช่น่ะสิ ผมตั้งใจมาที่นี่” หวังเย้าพูดพร้อมกับมองไปที่ชายที่นั่งอยู่ด้านใน
“เขาชื่อคุณหวังเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายรู้สึกสับสันเล็กน้อย
“ใช่ มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“คุณหวัง คุณเป็นอาจารย์ของเขางั้นเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“ใช่ ถูกต้องแล้ว” หวังเย้าพูด
“คุณสอนอะไรเขาเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“แล้วทำไมผมจะต้องบอกคุณด้วย?” หวังเย้าถามพร้อมทั้งนั่งลงที่เก้าอี้
จงหลิวชวนเทชาให้เขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ผ่อนคลายเสียทีเดียว แต่ร่างกายของเขาก็หายเกร็งไปมากกว่าก่อนหน้านี้
“มาพูดเรื่องของคุณกันดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด “คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
“ฉันก็แค่แวะมาหาเพื่อนเก่าก็เท่านั้น” เจี๋ยจื้อจายพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้จงหลิวชวน
“ให้ผมเรียกคุณว่าอะไรดีครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันแซ่เจี๋ย เจี๋ยจื้อจาย” เจี๋ยจื้อจายพูด
“อ้อ คุณเจี๋ย กลิ่นบนตัวคุณมันเข้มข้นมาก” หวังเย้าพูด “มันไม่เหมาะกับหมู่บ้านนี้ คุณควรจะกลับไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะ”
“กลิ่นบนตัวฉันเข้มข้นก็จริง แต่กลิ่นบนตัวเขาแย่กว่าฉันซะอีกนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด แล้วชี้ไปที่จงหลิวชวน
เขาคิดกับตัวเอง ชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถอะไรกันแน่ ถึงขนาดทำให้จงหลิวชวนเชื่อใจเขาได้มากขนาดนี้? หรือมันจะเกี่ยวข้องกับการตายของไอ้บ้านั่น?
ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเข้าเค้ามากเท่านั้น
“กลิ่นบนตัวเขาจางลงมาก แลถมเขายังหยุดทำเรื่องพวกนั้นแล้วด้วย” หวังเย้าพูดพร้อมกับยื่นถ้วยชาให้กับเจี๋ยจื้อจายอย่างใจเย็น “เชิญดื่มชาครับ”
“ขอบใจนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด
“ดื่มชาถ้วยนี้หมอ ก็ไปจากที่นี่ซะ แล้วก็อย่าได้กลับมาอีก” หวังเย้าพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“เฮ้ ฉันออกจะชอบที่นี่มากอยู่นะ” เจี๋ยจื้อจายพูด “ฉันเพิ่งจะถามเขาไปเอง ว่ามีบ้านปล่อยขายไหม ฉันอยากจะซื้อเอาไว้สักหลังน่ะ”
เขายังคงไม่ค่อยเข้าใจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขามากนัก เจี๋ยจื้อจายคิด เขาจะรู้ได้ยังไง ถ้าหากว่าฉันแกล้งทำ? เขาอายุยังน้อย อายุแค่นี้จะมีความสามารถอะไรได้?
อยู่ๆหวังเย้าก็ยกมือขึ้น จากนั้นก็ผลักออกไปกลางอากาศ ทำให้เก้าอี้ที่เจี๋ยจื้อจายนั่งอยู่พังลง และเขาก็หล่นลงไปนั่งตัวเกร็งอยู่ที่พื้น
เจี๋ยจื้อจายรู้สึกได้ถึงพลังที่บีบคั้นรอบด้าน โดยเฉพาะเหนือศีรษะของเขา เขาไม่สามารถต้านทานมันได้ และไม่รู้ว่าควรจะต่อต้านมันได้ยังไง ร่างทั้งร่างของเขาบีบรัดเข้าหากัน เขาไม่สามารขยับเขยื้อนได้เลย แม้แต่จะหายใจก็ยังลำบาก
“เขาทำได้ยังไงกัน? หรือว่าจะเป็นพลังเหนือธรรมชาติ?” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “ไม่แปลกใจเลยที่เขากล้าพูดแบบนั้นออกมา และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไอ้บ้านั่นจะต้องมาตายอยู่ที่นี่ มิน่า จงหลิวชวนถึงได้เลือกอยู่ที่แห่งนี้ นายรู้ว่ามีอันตรายอยู่รอบด้าน และรู้ทั้งรู้ว่าบริษัทจะสั่งให้คนอื่นมาหานาย แต่นายก็ไม่คิดจะหนีไปไหน ทั้งหมดเป็นเพราะคนคนนี้ใช่ไหม? นายกำลังเรียนทักษะแบบนี้จากเขาอยู่งั้นเหรอ?”
“ถ้าคุณอยากจะอยู่ที่นี่ต่อก็ตามสบาย” หวังเย้าพูด
เขาตบไปตามจุดต่างๆบนร่างกายของเจี๋ยจื้อจาย ทำให้พลังกายของเขาหดหายไปจนไม่มีเหลือ
“หลิวชวน ผมจะปล่อยให้คุณเป็นคนจัดการเขาเองนะ” หวังเย้าพูด “มีบ้านข้างๆที่ไม่มีคนอยู่”
“เข้าใจแล้วครับ หมอ” จงหลิวชวนพูด
หลังจากจบการสนทนา จงหลิวชวนก็แบกเจี๋ยจื้อจายไปที่บ้านอีกหลัง และจับเขามัดเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน เขาก็จัดการถอดทุกอย่างออกจากร่างกายของเจี๋ยจื้อจาย
“บริษัทรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่” เจี๋ยจื้อจายพูด
จงหลิวชวนหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้น เขาก็ลงมือต่อ
“หมู่บ้านกลางเขาแบบนี้ก็ดีไม่น้อยเลยนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด “ครูของนายคนนี้ฝีมือไม่เบาเลย แต่ถึงเขาจะเก่งยังไง เขาก็แค่คนคนเดียว มดฝูงใหญ่ก็สามารถกัดช้างตายทั้งตัวได้ นายก็รู้นี่”
“นายอยากจะพูดอะไร?” จงหลิวชวนถาม
“ปล่อยฉันไป” เจี๋ยจื้อจายพูด “บริษัทจะไม่ส่งคนมาที่นี่อีก”
“นายคิดว่า ฉันจะเชื่อนายงั้นเหรอ?” จงหลิวชวนมัดเขาเอาไว้แน่น
“ฉันรู้สึกแย่นะ ที่เห็นว่านายต้องมาอยู่ที่นี่น่ะ” เจี๋ยจื้อจายพูด
มันเป็นค่ำคืนที่ยาวนานสำหรับเจี๋ยจื้อจาย
“เฮ้อ หมู่บ้านนี้เงียบจริงๆ” เจี๋ยจื้อจายพึมพำอยู่บนเตียง
เขาพยายามทำทุกทางแล้ว แต่เขาก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง และถึงจงหลิวชวนจะไม่มัดมือมัดเท้าเขาเอาไว้ เขาก็คงจะหนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าค้นพบยาใหม่ๆมากมาย ช่วงหลังมานี้ เขารู้สึกว่า เขาไม่ควรผลิตยาเพียงเพื่อรักษาคนเท่านั้น แต่ควรจะทำยาที่ช่วยให้สุขภาพของคนดีขึ้นด้วย เขายังอยากทำยาที่มีผลลัพธ์พิเศษออกมาด้วย อย่างเช่น ยาพิษ เป็นต้น
มันก็แค่การทดลองเท่านั้น หวังเย้ายิ้มกับความคิดของเขาในตอนกลางดึก ก่อนที่แสงไฟภายในกระท่อมจะดับลง
เช้าวันถัดมา พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงแต่เช้าตรู่ มันเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวอีกวันหนึ่ง
“เรามาคุยกันดีกว่านะ” เจี๋ยจื้อจายพูดกับจงหลิวชวนที่กำลังเอาน้ำให้เขาดื่ม
“นายอยากจะคุยอะไร?” จงหลิวชวนถาม
“นายไปถามครูของนายให้ทีสิ ว่าฉันต้องทำยังไงเขาถึงจะยอมปล่อยฉันไป” เจี๋ยจื้อจายพูด
“อืม เดี๋ยวเช้านี้ฉันจะลองไปถามเขาให้” จงหลิวชวนพูด “ตอนนี้ก็กินข้าวได้แล้ว”
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน ร่างกายของเขาก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง รางกับว่านี่ไม่ใช่ร่างกายของเขา เพราะเขาไม่สามารถควบคุมส่วนไหนได้เลย
“ขอบคุณ” เจี๋ยจื้อจายพูด
“นายถือว่ามองโลกในแง่ดีมากเลยนะ” จงหลิวชวนพูด
“แล้วจะให้ฉันทำอะไรได้ล่ะ?” เจี๋ยจื้อจายพูด “ที่ครูของนายทำกับฉันมันคืออะไรเหรอ? มันคือพลังเหนือธรรมชาติหรือพลังอะไรกันแน่?”
“กังฟู” จงหลิวชวนตอบ
“อะไรนะ? กังฟูทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?” เจี๋ยจื้อจายเชื่อไม่ลง
“ฉันพูดเรื่องจริง” จงหลิวชวนพูด
ตอนสาย เขาก็ไปหาหวังเย้าและถามถึงเรื่องของเจี๋ยจื้อจาย
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมยังต้องการตัวเขาอยู่!”
“โอเค” ในเมื่อหวังเย้าต้องการตัวเจี๋ยจื้อจาย จงหลิวชวนก็มีหน้าที่ที่จะต้องคอยเฝ้าเขาเอาไว้
เมื่อไม่มีคนไข้แล้ว หวังเย้าก็ใช้เวลาไปกับการคิดเรื่องการผลิตยาตัวใหม่ ต้นเซียนชิวหลัวน่าจะใช้ได้
ดอกของมันมีพิษร้าย หลังจากที่สูดดมเข้าไป ก็จะมีอาการอ่อนแรงและอาจจะถึงขั้นเห็นภาพหลอน มันสามารถนำมาทำยาได้หลายชนิดและถูกนำมาใช้ในการทดลองอย่างแพร่หลาย
เมื่อมีคนไข้เดินเข้ามาในคลินิก เขาก็วางความคิดนั้นลงและจดจ่อกับการรักษา
…
ไกลออกไปหลายพันไมล์…
“ยังมีทางอื่นอีกไหมคะ คุณอา?” เธอมองไปสภาพของลูกชาย ที่ผ่ายผอมลงไปทุกวันที่ใจที่เจ็บปวด
เธอเดินทางไปตามโรงพยาบาลต่างๆในปักกิ่ง รวมทั้งเชิญหมอมาจากทั่วสารทิศ พวกเขาล้วนแล้วแต่พูดว่าไม่มีทางรักษาได้
“อาขอคิดดูก่อนนะ” หลี่เชิงหรงพูด
เขารู้ว่า ทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือหมอหนุ่มที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางเขา ได้ถูกสองแม่ลูกคู่นี้ทำลายโอกาสลงไปแล้ว
“ทั้งหมดเป็นความผิดของตระกูลซุน!” อาการป่วยของโฮ่วชื่อต๋า ทำให้แม่ของเขาโมโหคนตระกูลซุนที่อยู่เมืองเต๋าอย่างมาก
เธอไม่สนว่าอาการป่วยของลูกชายเธอเป็นฝีมือของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม เธอก็เกลียดพวกเขาอยู่ดี ความเกลียดชังนี้ไม่มีทางลดลง เพราะสำหรับเธอ มันคือสิ่งที่มีไว้สำหรับการขับเคลื่อน
“ลูกของฉันป่วยอยู่แท้ๆ แต่ฉันกลับทำให้เขาดีขึ้นไม่ได้เลยสักนิด!” เมื่อเห็นสภาพของลูกชายเธอ เธอก็แทบจะเสียสติ
“แม่แน่ใจเหรอครับ?” ลูกชายคนโตถาม
เขามีความหนักแน่นมากกว่า ซึ่งล้วนมาจากการที่เขาได้ทำงานอยู่ในกระทรวงหลายปี อำนาจชื่อเสียงที่สั่งสมมาของครอบครัวก็เป็นส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็คือความพยายามของเขาเอง ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะกลายเป็นพวกไม่เอาไหนไปนานแล้ว