บทที่ 15 – อนาสตาเซียกับพุดดิ้งที่หายไป
มหาโรงเรียนเวทมนตร์ทั้งห้า
คือหนึ่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากประวัติศาสตร์ของเหล่าผู้กล้าหรือประวัติศาสตร์ของเหล่าจอมมาร
เนื่องจากโรงเรียนทั้งห้ามีจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อย่างจอมเวทระดับพาลาดิน
หากถามว่าจอมเวทระดับพาลาดินนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน ตรงบอกว่าเมื่อครั้งอดีตกาลนานกว่าหลายร้อยปีก่อนนั้น
พาลาดินทั้งห้าได้ร่วมมือกันร่าง ‘บัญญัติ’ แห่งพาลาดินขึ้นมา.. และบัญญัติเหล่านั้นก็กลายเป็นความเป็นจริงรูปแบบหนึ่งขึ้นมา
ซึ่งฉันจะยังไม่พูดถึงว่าไอ้บัญญัติที่สร้างขึ้นมานั้นมันคืออะไรในตอนนี้
แต่การร่างบัญญัติในครานั้น เวลาต่อสู้ทำให้กฎของโลกทั้งใบเปลี่ยนไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้
เวทมนตร์มนุษย์นั้นสามารถแทรกแซงได้เพียงกฎของโลกแต่ไม่อาจจะเปลี่ยนมันได้.. ทว่าเหล่าพาลาดินนั้นสามารถเปลี่ยนกฎโลกหรือสร้างกฎใหม่ขึ้นมาได้เลย
ว่ากันว่าหากพวกเขาต้องการที่จะเนรเทศใครสักคนออกจากนอกผืนทวีป โดยใช้การร่างบัญญัติ บุคคลนั้นจะไม่อาจกลับเข้ามาในผืนทวีปได้อีกเลย
นอกซะจากมันจะแข็งแกร่งพอที่จะทำลายกฎของโลกน่ะ..
แน่นอนว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกับพาลาดินได้มีเพียงจอมมารกับผู้กล้าที่ยังไม่ถูกผนึกพลังเท่านั้น..
“เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เจ้าบอกว่าที่ยังไม่ถูกผนึกพลัง.. เจ้าจะบอกว่าผู้กล้ากับจอมมารบางส่วนถูกผนึกพลังเหรอ?”
ฉันที่กำลังเล่าเรื่องของโลกนี้ให้สกาเล็ตฟัง จู่ๆ เธอก็ขัดขึ้นมาแล้วก็ถามด้วยความสงสัย ฉันก็พยักหน้าตอบเบาๆ
“ใช่ จะพูดให้ถูกคือผู้กล้าและจอมมารทั้งหมดในปัจจุบันล้วนถูกผนึกพลังโดยฝีมือของมหาปราชญ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน ทำให้ตอนนี้นั้น.. ฉันไม่ต้องบอกเธอก็คงรู้”
“พาลาดินหรือมหาโรงเรียนเวทมนตร์ทั้งห้าคือขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก”
“ถูกต้อง เพราะแบบนั้นแหละเลยทำให้ทวีปนี้ไร้สงครามเพราะมีโรงเรียนทั้งห้าที่เป็นกลางระหว่างปีศาจ มนุษย์และกึ่งมนุษย์อยู่”
“แต่เดี๋ยวก่อนนะ.. ในทางกลับกันหมายความว่าโรงเรียนทั้งห้าสามารถบุกไปหาคนอื่นได้ตลอดเลยน่ะสิ”
สกาเล็ตถามฉันด้วยความสงสัย แน่นอนเป็นคำถามที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องถาม เพราะฉันตอนอ่านเจอก็งงอยู่เหมือนกัน
มันจะเป็นสมดุลได้ยังไงในเมื่อมีพลังเปลี่ยนกฎแห่งความเป็นจริงได้ขนาดนั้นล่ะ.. ฉันจึงตอบเธอออกไปว่า
“นั่นก็ถูก.. แต่จะบอกว่าโรงเรียนเป็นมหาอำนาจก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะว่าพวกเขาไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘กองกำลัง’ มีเพียงแค่นักเรียน”
“แบบนี้เองสินะ.. แต่ถ้าพูดถึงพลังระดับนั้นละก็กองกำลังก็ไม่จำเป็นแล้วมั้ง”
“พูดอีกก็ถูกอีกตามที่เธอว่า แต่เพราะไม่มีกองกำลังโรงเรียนทั้งห้าจึงไม่นับว่าเป็นอาณาจักร จึงไม่จำเป็นต้องเปิดสงครามกับใครด้วยเช่นกัน”
ฉันพูดถึงจุดนี้ก็คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะแอบกระซิบเบาๆ ว่า
“อันที่จริงเหมือนโรงเรียนทั้งหาจะรู้จักมหาปราชญ์ในอดีต.. และเซ็นสนธิสัญญาเป็นกลางไว้น่ะ ทำให้โรงเรียนทั้งห้านั้นถือเป็นกลางที่สุด”
“ข้าเข้าใจแล้ว เพราะแบบนี้ทั้งมนุษย์หรือจอมมารเลยไม่หาทางที่จะจัดการพาลาดินสินะ..”
ปกติแล้วมหาอำนาจใหญ่หากรู้ว่ามีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งกว่าพอเป็นอันตรายกับตัวเองพวกเขาจะต้องหาทางกำจัดไม่ก็ผูกมิตรละนะ
ไอ้เรื่องแบบนี้มีให้เห็นในหนังบ่อยจะตาย แต่เพราะว่ามีสนธิสัญญาเป็นกลางอยู่จึงทำให้ไม่มีคนไปหาเรื่องและเชื่อใจโรงเรียนทั้งห้า
จนกว่าจะมีใครสักคนฉีกสนธิสัญญาละนะ
“ว่าแต่อนาสตาเซีย เมื่อกี้ เจ้าบอกว่าเป็นกลางสินะ.. หมายความว่า..”
“ใช่แล้ว โรงเรียนทั้งห้านั้นมีทั้งนักเรียนที่เป็นปีศาจและกึ่งมนุษย์อยู่ด้วยไงล่ะ และโรงเรียนลิเบอร์ก็เช่นกัน..”
“แบบนี้นี่เอง”
“ว่าแต่เธอไม่ได้ดูการแข่งขันของห้าโรงเรียนที่เผยแพร่ผ่านอุปกรณ์เวทมนตร์ไปทั่วทวีปก่อนหน้านี้เหรอ? ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติระดับประเทศหนึ่งวันน่ะ”
จะว่าไปฉันก็นึกได้ว่าก่อนหน้านี้มีการถ่ายทอดสดอยู่… พวกนายอาจจะงงว่าทำไมมีเครื่องถ่ายทอดสดในโลกนี้
อย่างที่ฉันเคยบอกว่าโลกนี้ไม่ใช่แค่เวทมนตร์ที่พัฒนาไปไกล แต่รวมไปถึงวิทยาการด้วย.. หากให้พูดโลกเดิมฉันใช้พลังงานต่างๆ ผ่าอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคด้วยไฟฟ้า
โลกนี้ก็ใช้เวทมนตร์แทนไฟฟ้านั่นแหละ แม้ยังมีบางอย่างที่ล้าหลังอยู่เยอะไม่ว่าจะเป็นบ้านเมืองการปกครอง
แต่วิทยาการหลายๆ อย่างก้าวหน้าไปไกลมาก แค่คนในโลกนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับเลยทำให้วิทยาการล้ำหน้าบางอย่างไปกองทับถมกันอยู่ที่เดียว
ซึ่งที่ที่ว่าก็คืออาณาจักรเวทมนตร์มิราลิสนั่นแหละ
เอาเป็นว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน อย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละว่าวิทยาการโลกนี้ค่อนข้างไปไกลมากเพราะงั้นอุปกรณ์ถ่ายทอดสดก็มีนะเออ
เอาเข้าจริงวิทยาการบางอย่างมันก้าวหน้าเกินไปจนฉันแอบคิดนะเนี่ยว่า.. ไม่ใช่ว่าโลกนี้นอกจากฉันแล้วมีคนมาเกิดใหม่คนอื่น..
ถ้าโลกนี้ไม่ใช่โลกในเกมอะนะ.. ก็เพราะคนสร้างโลกนี้ขึ้นมาคือผู้พัฒนาเกมจากโลกเดิมเลยทำให้โลกนี้มีวิทยาการขึ้นมาไงล่ะ!
แต่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าโลกนี้มันคืออะไรยังไงกันแน่ ทำไมถึงกลายเป็นจริงขึ้นมาแบบในเกมทุกอย่างเลย
“เอ่อ.. วันนั้นพอดีข้าไม่ว่างน่ะ..”
ในขณะที่ฉันคิดเรื่อยเปื่อยก็ถูกเสียงสกาเล็ตดึงกลับมาจากโลกของความคิด เสียงของเธอดูกังวลบางอย่างอยู่เล็กน้อย
แถมไม่กล้ามองหน้าฉันตรงๆ ตาเธอกลิ้งกลอกไปมา.. ไม่ใช่ว่าตอนนั้นยัยนี่บอกว่าตัวเองจะไปดูการถ่ายทอดสดตอนที่ฉันเรียนอยู่เหรอ
แล้วทำไม.. จู่ๆ ฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“อ้ะ.. จะว่าไปฉันจำได้ว่าพุดดิ้งของฉันหายไปตอนนั้นพอดีนี่”
พอฉันพูดแบบนั้นก็แอบหันไปมองเธอ พอฉันพูดแบบนั้นเธอก็สะดุ้งเล็กน้อย ฉันรู้แล้วว่าคนร้ายคือใคร
“เธอสินะที่เอามันไปนะ ยัยผีไม่มีขานี่!”
“มะ.. ไม่ใช่สักหน่อย จะ.. จะ เจ้าอย่ามาโทษคนอื่นโดยไม่มีหลักฐานได้ไหม!อีกอย่างข้าเป็นวิญญาณนะ.!”
ยัยคนนี้โกหกไม่เนียนเอาซะเลยนะ.. เหมือนใครก็ไม่รู้.. เอ่อไม่ใช่ฉันนะบอกไว้ก่อนฉันโกหกเนียนสุดๆ นะจะบอกให้!
แค่ตอนเด็กๆ ฉันโกหกใครทุกคนก็จับได้หมดเพราะพวกเขาฉลาดเอง!แต่พอฉันพูดความจริงพวกเขาดันคิดว่าฉันโกหก
หึ!เห็นหรือยังฉันโกหกเก่งโดยกำเนิด!
“เหรอ.. เธอเป็นวิญญาณสินะ.. งั้นตลอดการเดินทางเธอไม่ต้องทานอะไรเลยนะ”
พอฉันพูดแบบนั้นสกาเล็ตก็เหงื่อไหลพราก หนังคิ้วกระตุกก่อนจะพูดด้วยเสียงกลัวๆ ..
“จะ.. เจ้าล้อเล่นใช้ไหม อนาสตาเซีย”
“ก็เธอบอกว่าไม่ต้องทานอาหารนิ เป็นวิญญาณนิ”
“ไม่เอา!!!ข้าผิดไปแล้ว ข้าทานพุดดิ้งของเจ้าเองแหละ ข้าขอโทษ!! ฮรืออ.. ต้องโทษพุดดิ้งต่างหากมันล่อลวงข้าด้วยรูปร่างดึ๋งๆ ของมันน่ะ”
“ดึ๋งๆ .. เหรอ ไอ้การดึ๋งๆ ฉันว่ามันไม่ใช่การล่อลวงนะ”
สกาเล็ตแม้จะมีรูปร่างที่เป็นวิญญาณและไม่ต้องการสารอาหารเพื่อล่อเลี้ยง แต่เธอสามารถสัมผัสสิ่งใดที่เธอต้องการได้
โดยอาศัยพลังเวทของฉันอะนะ.. เพราะแบบนั้นแหละเธอเลยชอบกินอาหารเพื่อรับรสของมันล่ะนะ
แน่นอนว่าถึงจะไม่สามารถกลืนลงท้องแต่เธอต้องใช้เวทมนตร์ใส่อาหารและย่อยสลายมันเพื่อรับรสของอาหาร
ดังนั้นแม้เธอจะไม่ต้องทานต้องกินก็อยู่ได้ แต่เธอก็อยากกินเพราะอร่อยอยู่ดี.. แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นขโมยของว่างที่ได้มาจากความพยายามในการเรียนมารยาทของฉัน
อาจารย์สอนมารยาทอุตส่าห์ซื้อมาให้เพื่อเป็นรางวัลหลังเรียนเสร็จ.. ผลลัพธ์จากความพยายามมันมีคุณร่ากว่าขอเงินเจ้าพ่อบ้านั่นไปซื้อกินตั้งเยอะ
ฉันชักรู้สึกผิดที่สอนให้ยัยคนนี้รับรสอาหารเป็นแล้วสิ..
แน่นอนคนที่สอนการรับรสให้เธอคือฉันคนนี้แหละ
ตอนแรกก็นึกว่าโดนเมดแอบเอาไปทานเพราะวางไว้ในที่ทานอาหารของเมด.. อาจารย์สอนมารยาทเอาไปวางไว้น่ะนะ
แต่พอมาคิดๆ ดู คุณเมดส่วนใหญ่ไม่น่าจะหยิบอาหารของคนที่ไม่ใช่ของตัวเองกินแบบไม่ถามหรอก
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ..
“ไม่รู้แล้ว เธอไม่ต้องทานอาหารตลอดการเดินทาง”
“เจ้าอย่าใจร้ายกับข้าแบบนั้นสิ ข้าผิดไปแล้วจริงๆ นะ ฮรือ”
และฉันก็ให้เธออดอาหารจนในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงโรงเรียนลิเบอร์