บทที่ 24 – ยอมแพ้ค่ะ
ถึงจะบอกว่าสอบภาคปฏิบัติก็ตาม แต่ก็คือการสู้เพื่อชนะอีกฝ่ายนั่นแหละ แต่ไม่ใช่สู้แบบทัวร์นาเม้นแต่อย่างใด
แต่ในห้องห้องหนึ่งจะมีคนสอบผ่านประมาณยี่สิบคนเห็นจะได้ ก็เอาทั้งยี่สิบคนมาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่ม อัลฟ่าและเบต้า
โดยกลุ่มอัลฟ่าจะยืนอยู่บนสนาม ส่วนกลุ่มเบต้าจะลงไปต่อสู้กับกลุ่มอัลฟ่ารายคน โดยไม่สนว่าใครจะแพ้หรือชนะ แต่จะสู้วนต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบทุกคน
เมื่อสู้จบกลุ่มอัลฟ่าก็จะเป็นฝ่ายเลือกคู่ต่อสู้ต่อไป และทำแบบนี้จนให้ทุกคนได้สู้กันจนครบทุกคู่และกลุ่มไหนที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะชนะไป
และหลังจากนั้นก็จะให้กลุ่มที่ชนะสู้กันเองจนเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย และคนคนนั้นก็จะชนะ
การแข่งขันที่ต้องใช้ทั้งความอดทน และถ้าหากปิดไพ่ตายไว้ได้ก็ปิดซะ อะไรประมาณนั้นแหละนะ ก็นะเป็นตัวแทนโรงเรียนทั้งที
แถมที่จัดการสอบแบบนี้ขึ้นมาคงเป็นเพราะเรื่องที่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา งานแข่งขันนักเรียนดีเด่นทั้งห้า โรงเรียนลิเบอร์นั้นแพ้มาตลอด
และการแข่งขันแบบเดิมก่อนที่จะเปลี่ยนกฎปีนี้คือ โรงเรียนไหนแพ้โรงเรียนนั้นจะได้ให้นักเรียนเป็นตัวแทนได้น้อยลง ซึ่งโรงเรียนลิเบอร์ปีล่าสุดคือส่งนักเรียนได้แค่คนเดียว
ดังนั้นพอเปลี่ยนกฎพวกเขาจึงจะใช้โอกาสนี้เพื่อชนะอีกสี่โรงเรียนที่เหลืออะไรประมาณนั้นล่ะนะ
“แต่จะว่าไป โรงเรียนนี้มันจะใหญ่ไปไหมเนี่ย?”
ฉันบ่นออกมาพร้อมกับมองไปรอบๆ สถานที่แถวนี้คือโซนฝึกของโรงเรียนลิเบอร์ โดยจะมีภูมิภาคและภัยพิบัติหรืออุทกภัยให้นักเรียนสามารถฝึกซ้อมได้
เช่น ภูเขาน้ำแข็งที่สูงหลายเมตร ซึ่งมีพายุหิมะเกิดขึ้นตลอดเวลา และเหมือนบนท้องฟ้าของส่วนที่เป็นภูเขาหิมะฟ้าจะมืดครึ้มตลอดเวลา
ด้านข้างภูเขาหิมะก็มีภูเขาไฟที่กำลังมีลาวาระเบิดปะทุออกมา เห็นได้ลางๆ ว่าตรงนั้นมีมังกรนอนหลับอยู่ด้วย
แน่นอนว่ามังกรแท้จ๊ะ
และนอกจากนี้ยังมีอื่นๆ อีก มองไปสุดลูกหูลูกตาล่ะ ป่าชื้น ป่าดงดิบ พายุหิมะ ป่าร้อน ทะเลทราย มีหมดทุกอย่างในเขตนี้
เขตนี้กินพื้นที่ไปเท่าไหร่ฉันก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ใหญ่กว่าเมืองทั้งเมืองอย่างแน่นอน ส่วนสถานที่ทดสอบของพวกเราคือในภูเขาน้ำแข้งที่ซึ่งมีพายุหิมะ
ฉันรีบเข้าไปในภูเขาหิมะ และเหมือนคนอื่นก็เริ่มทยอยเข้ามาถึงกันพร้อมๆ กับฉัน….
หลังจากที่มากันครบแล้วคุณครูก็แบ่งทีมให้พวกเราน่าเสียดายที่ฉันอยู่ทีมเดียวกันกับไอ้อเล็กซานแล้วก็ยัยนางเอก
แต่ไอน์สไตน์อยู่คนละทีมกับฉัน.. และพวกเราไม่มีเวลามายินดีปรีดากับทีม อาจารย์หยิบอุปกรณ์นำทางอะไรสักอย่างแล้วพูดขึ้น
“นี่คือการทดสอบความอดทน พวกเจ้าทุกคนจะถูกส่งไปพร้อมกับคู่ต่อสู้ในสถานที่ต่างๆ ตามภูเขา อย่าลืมว่าที่พวกเจ้าต้องสู้ไม่ใช่แค่ศัตรู แต่ต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมรอบด้านอีกด้วย สำหรับการต่อสู้ที่จบไวจะได้รับคะแนนพิเศษ”
“และหากพวกเจ้าจบการต่อสู้แล้วจะได้รับอนุญาตให้ไปดูการแข่งขันคนอื่นได้.. แต่ก็นะ ถ้าเจ้าหาสถานที่ที่คู่อื่นสู้อยู่ได้น่ะนะ”
แบบนี้นี่เอง ถึงจะจบการต่อสู้ไวก็ไม่ได้แปลว่าจะลงจากเขาได้สินะหมายความว่าถ้าสู้กันจนหมดเนื้อหมดตัวได้ตายเพราะความหนาวแทนแน่
สมกับเป็นโรงเรียนระดับนานาชาติจริงๆ เคร่งมาก
แต่ขอบอกอะไรไว้ให้ ฉันมีพลังเวทมนตร์เยอะจากการดูดมาจากเจ้าอเล็กซานไม่พอยังมีอัญมณีอเมทิสที่มีระบบฟื้นฟูพลังเวทได้ในระยะเวลาไม่กี่นาที
บอกเลยว่าแค่นี้ไม่เป็นปัญหา!
สงสัยการแข่งขันรอบแรกคงจะชนะได้โดยไม่มีปัญหาเลยมั้งนิ..
ถ้าผ่านเข้ารอบฉันก็ยังมีโอกาสได้ต่อยหน้าเจ้าอเล็กซานนั่นสักเปรี้ยง แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว พออาจารย์คนนั้นพูดเสร็จเธอก็กดอุปกรณ์นำส่ง
“ไม่ต้องห่วงหากพวกเจ้ายอมแพ้หรือสู้ต่อไม่ได้จริงๆ แล้วเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งอุปกรณ์นำส่งพวกนี้จะพาเจ้าไปส่งถึงห้องพยาบาลภายในไม่กี่วินาที”
พอพูดแบบนั้นเสร็จร่างกายฉันก็ถูกห่อหุ้มด้วยพลังลึกลับ พอรู้สึกตัวอีกทีก็สัมผัสถึงความหนาวเย็นอย่างไม่คาดฝันจนตัวสั่น
แต่เพราะฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องเวทมนตร์มาก่อนเลย ทำให้ไม่รู้จะป้องกันอากาศหนาวเย็นแบบนี้ยังไง
ฉันเลยใช้พลังเวทที่มีมากพอสมควรของฉันมาห่อหุ้มร่างกายของตัวฉันเองจนป้องกันความหนาวเย็นได้สมบูรณ์แบบ
ที่ฉันใช้ไม่ใช่เวทมนตร์มนุษย์แต่อย่างใด แต่เป็นการใช้พลังเวทโดยตรงจากภายในร่างซึ่งไม่มีใครคิดจะทำแบบนี้หรอก
เพราะมนุษย์นั้นมีพลังเวทน้อย ส่วนปีศาจที่มีพลังเวทเยอะเขาก็ใช้เวทมนตร์ปีศาจได้ แน่นอนว่าฉันที่เป็นมนุษย์ก็ต้องใช้เวทมนตร์ปีศาจไม่ได้
จึงใช้ด้วยวิธีที่สิ้นเปลืองพลังมากที่สุด แต่ก็เพราะมีอัญมณีอเมทิสอยู่เลยทำให้พลังเวทที่ถูกดูดหายไปเรื่อยๆ เพราะใช้เกราะพลังเวท
แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาทันที อัตราการลดของพลังเวทจึงแทบไม่มีนั่นเอง..
“นี่ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองโกงอยู่เลยแฮะ”
ในขณะที่ฉันพึมพำอยู่คนเดียวนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“เป็นการใช้พลังเวทที่สิ้นเปลืองน่าดูเลยนะนั่นน่ะ?”
แน่นอนว่าทันทีที่เสียงดังขึ้นฉันก็เลยหันกลับไปดูทิศทางของต้นเสียงแทบจะทันทีตามสัญชาตญาณ และบางทีนั่นคงเป็นเสียงของศัตรูที่ฉันต้องสู้ด้วย
และคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ผมของเธอไม่โบกสะบัดตามแรงลมเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าสภาพแวดล้อมรอบด้านล้วนไม่เป็นผลใดต่อเธอ
ผมสีดำที่ดูโดดเด่นในโลกที่เต็มไปด้วยสีขาว
วินาทีแรกที่ฉันเห็นบุคคลตรงหน้าเหงื่อก็เริ่มตกทันที… เฮ้ย…
ศัตรูฉัน…. เป็นตัวประกอบที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างท่านเลทิเซียเนี่ย…
บ้าหรือเปล่า!แพ้ขาดสิเฮ้ย!
ฉันยกมือขึ้น
“ยอมแพ้ค่ะ”
แล้วก็รีบพูดขึ้นทันที ก็แหม ใครจะไปอยากสู้กับคนที่จะฆ่าตัวเองในอนาคตที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าตอนนี้ได้แบบง่ายดายกันล่ะ
สู้ไปยังไงก็แพ้ อันที่จริงฉันพูดคำว่ายอมแพ้ได้ก่อนก็ถือว่าฉันชนะแล้วล่ะ เพราะความเร็วของเธอนั้นเพียงพอที่จะข้ามทวีปได้ในช่วงเวลาพริบตาเดียวด้วยซ้ำมั้ง
ว่าแต่ไอ้ความแข็งแกร่งแบบนั้นของเธอมันหมายความว่าไงกันนะ ฉันมั่นใจว่าเธอต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
แม้เกมจะไม่เคยอธิบายหรือกล่าวถึงมาก่อน แต่ฉันมั่นใจว่าพอเกมกลายเป็นความจริงเธอจะต้องมีประวัติเป็นของตัวเองแน่ๆ
ฉันละสงสัยจริงๆ ว่าเธอเป็นใครกันแน่.. ในขณะที่คิดแบบนั้นก็มีเสียงของผู้ประกาศดังขึ้นใกล้ๆ หูของฉัน
“คู่ที่สามจบ.. ผู้ที่ชนะคือ.. อนาสตาเซีย ผ่านเข้ารอบ”
“ห้ะ..?”
ฉันที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับงงแล้วคนที่ชนะทำไมกลายเป็นฉันไปได้ละเนี่ย ฉันที่คิดว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม
จู่ๆ ท่านเลทิเซียก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เธอนี่แปลกนะ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว.. ดูจากสายตาเหมือนว่าเธอจะรู้จักฉัน? และเหมือนมีความกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจต่อฉัน.. เธอรู้จักฉันมาก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?”
“อ้อ ส่วนเรื่องทำไมเธอถึงชนะ เพราะฉันยอมแพ้ไปก่อนเธอแล้วล่ะ เพราะฉันพอจะเดาออกตั้งแต่ที่เห็นเธอกลัวฉันแล้วล่ะ”
เดี๋ยวสิ ตอนที่ฉันกลัวท่านเลทิเซียฉันก็ยกมือขอยอมแพ้ทันทีเลยนะ ดูเหมือนว่าเธอจะเร็วกว่าฉันอีกเหรอเนี่ย
เร็วกว่าในการพูดว่ายอมแพ้น่ะนะ..
เธอพูดแบบนั้นพร้อมกับเดินมาหาฉันดวงตาที่มืดมัวสีดำสนิทของเธอจ้องลึกเข้ามาที่ดวงตาฉัน สำหรับฉันแล้วเธอคนนี้เป็นคนที่งดงาม
งดงามมาก แต่เมื่อได้มายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วมันกลับให้ความรู้สึกหนักอึ้ง เป็นความรู้สึกหนักอึ้งราวกับมีบางอย่างมากดทับเอาไว้
“นี่ฉันขอถามหน่อยสิ.. เธอรู้จักฉันได้ยังไง?”
“เธอ.. เป็นศัตรูกับฉันหรือเปล่า?”
ดวงตาของท่านเลทิเซียที่จ้องมองมาที่ฉันตอนที่พูดคำนั้นมันรู้สึกเหมือนกับมีความรู้สึกปฏิปักษ์บางอย่างที่เธอมีต่อฉัน
ฉันรีบใช้พลังของอัญมณีอเมทิสด้วยความตกใจทันที ขืนปล่อยไว้แบบนี้แย่แน่ๆ ต้องดูความรู้สึกเธอที่มีต่อฉันผ่านดวงตาอเมทิส
‘ค่าความมึนเมา ไม่สามารถแสดงผล’
‘ค่าความต้านทานการควบคุมจิตใจ ไม่สามารถแสดงผล’
‘ค่าความงดงาม ไม่สามารถแสดงผล’
‘ค่าความสัมพันธ์ 0/100’ (รู้สึกสงสัยต่อตัวตน)
ฉิบแล้วค่า.. ค่าความสัมพันธ์เป็น 0 เลย ซึ่งหมายความว่าเธอยังไม่เกลียดหรือชอบแต่เพราะฉันแสดงออกว่ากลัวเธอมากเกินไป
จนทำให้เธอคิดว่าตัวตนของฉันน่าสงสัยสินะ … นั่นหมายความว่าหากฉันตอบอะไรที่ลดค่าความสัมพันธ์เป็นติดลบละก็..
โอกาสที่ฉันจะโดนเธอฆ่าในรูทห้าก็น่าจะสูงตามไปด้วยสินะ.. ตอนนี้ต้องเพิ่มค่าความสัมพันธ์ไว้สินะ
ไอ้ฉันก็นึกว่าความสัมพันธ์เป็นบวกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!
แล้วฉันจะตอบออกไปยังไงดีละเนี่ย…
“เอ่อ คือว่า.. ฉันดูถ่ายทอดสดที่คุณแข่งขันแล้วน่ะ.. เลยรู้ว่าคุณแข็งแกร่งมาก… เลยค่อนข้างกลัวว่าคุณจะเป็นคนน่ากลัวหรือเปล่า”
เอาแบบนี้ไปเลยละกัน เธอไม่ชอบโดนเรียกว่าท่านงั้นฉันเรียกคำว่า คุณ แทนคงจะไม่ทำให้เธอโกรธหรอกนะ
“หืม.. เป็นงั้นเองหรอกเหรอ”
เธอพูดแบบนั้นแต่สายตายังจ้องมาที่ฉัน เหมือนกับตรวจว่าฉันฟโกหกหรือเปล่าแต่ในตอนนั้นเองตัวเลขค่าความสัมพันธ์ก็เพิ่มขึ้นมา +1
“อืม เข้าใจแล้ว แต่ฉันไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอก”
เธอพูดแบบนั้นออกมาฉันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ว่าแต่คนที่กำหนดรูทมันยัยนางเอกไม่ใช่เหรอ ฉันทำได้แค่แทรกแซงนะ แล้วไหงถึงมีปรนัยมาให้ฉันเลือกรูทได้ล่ะเนี่ย
เกือบได้ไปทัวร์ยมโลกแล้วไหมล่ะ
……….
[วันนี้สุขภาพจิตผมย่ำแย่อีกแล้ว เพราะงั้นมีแค่ตอนเดียวนะ – ผู้เขียน]