สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 66 จะต้องมีของแลกเปลี่ยน

        เยี่ยโยวเหยาหันกลับมา สายตาเย็นชาเฝ้ามองซูจิ่นซีเดินกลับเข้าไปในเรือนอวิ๋นไคอย่างเงียบงัน ก่อนที่ตนเองจะหันหลังกลับไปยังตำหนักฝูอวิ๋น

        เมื่อใกล้ถึงหน้าประตูตำหนักก็พูดกับหลินเฟิงว่า “ให้ฉินเทียนไปสืบ! ”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ในใจหลินเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัย

        เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องใส่ใจพระชายา ทว่าเหตุใดจึงไม่ยอมรับคำขอของพระชายาต่อหน้าเล่า?

        เมื่อครู่พระชายาจะต้องเข้าใจผิด คิดว่าท่านอ๋องไม่ยอมช่วยนางเป็นแน่  ท่านอ๋อง…เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้เล่า?

        ซูจิ่นซีกลับเข้ามาในเรือนอวิ๋นไค

        ตอนนี้ไม่มีเรื่องให้นางทำ เรื่องคดีของฮองเฮา แม้นางต้องการรีบร้อนสืบหาแต่ก็ไม่สามารถรีบร้อนได้ ดังนั้นซูจิ่นซีจึงทำได้เพียงย้ายดอกไม้สองสามกระถางที่ปลูกไว้ไปมา

        “พระชายา พ่อบ้านมาแล้วเพคะ! ”

        แม่นมฮวาตะโกนมาจากหน้าเรือน

        “เชิญเข้ามา! ”

        “พ่อบ้าน มีเรื่องอันใดหรือ? ” หลังจากที่พ่อบ้านเข้ามา ซูจิ่นซีก็เอ่ยถาม

        “เรียนพระชายา มีคนจากจวนแม่ทัพฮั่วมาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าแม่ทัพฮั่ว…ขุนพลหนุ่มถูกพิษ ต้องการเชิญพระชายาไปดูเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

        “เรื่องนี้ท่านอ๋องทรงทราบหรือไม่? ”

        “กระหม่อมได้รายงานให้ท่านอ๋องทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องบอกว่ารับฟังความคิดเห็นของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

        ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางตำหนักฝูอวิ๋นผ่านหน้าต่าง ภายในใจของนางอุ่นวาบขึ้นมา

        ดูเหมือนว่าเรื่องบางอย่าง เยี่ยโยวเหยายังคงเคารพสิทธิของนางอยู่!

        เยี่ยโยวเหยายอมให้เกียรติอาชีพแพทย์ของนาง เมื่อได้ยินว่ามีผู้ป่วยถูกพิษ แน่นอนว่านางจะต้องเป็นคนแรกที่ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธทันทีหรือควบคุมการกระทำของนาง

        “ได้ เจ้าให้คนของจวนสกุลฮั่วรอหน่อย ข้าเตรียมตัวเสร็จแล้วจะออกไป”

        “พ่ะย่ะค่ะพระชายา”

        ซูจิ่นซีเก็บกระเป๋ารักษาพยาบาลของตนอย่างรวดเร็ว และพาลวี่หลีไปด้วย

        ก่อนออกจากประตู ซูจิ่นซีก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหัน เยี่ยโยวเหยามิใช่ว่ายังไม่ตอบรับนางเรื่องจะช่วยสืบเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของฮองเฮาหรอกหรือ? ซูจิ่นซีไม่ทราบว่าเยี่ยโยวเหยาชอบสิ่งใด เมื่อออกไปข้างนอกแล้ว นางจะได้หาซื้อของที่เขาชอบนำมาถวายให้กับเขาเพื่อเอาใจเสียหน่อย ถือโอกาสกระชับความสัมพันธ์ ไม่แน่ว่าอาจจะพอมีความหวังให้เขาช่วยสืบเรื่องให้

        “แม่นมฮวา ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านอ๋องชอบสิ่งใด? ”

        “ชอบสิ่งใดอย่างนั้นหรือเพคะ… ”

        แม้แม่นมฮวาจะเห็นเยี่ยโยวเหยามาตั้งแต่เล็กจนโต ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามเช่นนี้ เหมือนกับว่าหลายปีมานี้ทุกคนล้วนทราบดีว่าท่านอ๋องไม่ชอบสิ่งใด ทว่ากลับไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านอ๋องโปรดปรานสิ่งใด

        แม่นมฮวามองรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของซูจิ่นซี ดูเหมือนว่าซูจิ่นซีต้องการจะซื้อของบางอย่างที่ท่านอ๋องชอบเพื่อเอาใจเขา! แม่นมฮวาไม่อยากพลาดโอกาสที่พวกเขาจะได้กระชับความสัมพันธ์ ด้วยเหตุนี้จึงครุ่นคิดอยู่นาน

        “เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในวังมีคนส่งสุราดอกเหมยจากหอสุราตู้คัง [1] นอกเมืองมาให้ท่านอ๋องราวสองถึงสามไห หลังจากท่านอ๋องเสวยหมดก็สั่งให้ฉินเทียนไปซื้อมาอีกสองสามไห หลายปีนี้ข้าน้อยเห็นท่านอ๋องพบเจอสุราดอกเหมยจากหอสุราตู้คังทีไรก็จะเสวยเสียหลายจอกหน่อยเพคะ พระชายา… มิเช่นนั้นท่านลองถวายสุราดอกเหมยให้ท่านอ๋องดูดีหรือไม่เพคะ? ”

        “ตกลงตามนั้น! ”

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างงดงามสดใสเป็นพิเศษ

        จวนสกุลฮั่วส่งคนมารับซูจิ่นซีโดยเฉพาะ ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงจวนสกุลฮั่ว

        พอเดินเข้าประตูมา ซูจิ่นซีก็เจอบุคคลสองคนที่ไม่อยากจะพบมากที่สุด

        ฮั่วอวี้เจียวและหวาหรงจวิ้นจู่

        โลกนี้ช่างกลมเสียจริง วันเดียวได้พบพวกนางถึงสองครั้ง

        “ซูจิ่นซี เจ้ามาทำกระไรที่นี่? ”

        เมื่อหวาหรงจวิ้นจู่เห็นซูจิ่นซีก็พลันไม่สบอารมณ์

        “ข้ามาตามคำเชิญของท่านแม่ทัพฮั่ว มาเพื่อถอนพิษให้กับหัวหน้าขุนพลฮั่ว ไม่ได้มาเป็นปรปักษ์กับพวกเจ้า”

        “เหอะ ข้าไม่ได้ฟังผิดกระมัง? ซูจิ่นซี เจ้าบอกว่าเจ้ามาถอนพิษให้ท่านพี่ซืออวี่? พวกเราต้องพึ่งเจ้าหรือ? ”

        ซูจิ่นซีจ้องไปยังดวงตาของหวาหรงจวิ้นจู่อย่างไม่แสดงความอ่อนแอ แววตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่มั่นใจ ก็ต้องพึ่งนางอย่างไรเล่า

        “เหอะ! ”

        หวาหรงจวิ้นจู่หัวเราะเยาะเย้ย

        “ซูจิ่นซี มีผู้ใดบ้างไม่ทราบว่าเมื่อก่อนเจ้าเป็นเพียงคนโง่ผู้หนึ่ง เดิมทีซูจ้งไม่ได้สอนทักษะอันใดเกี่ยวกับการแพทย์ให้เจ้าเลย คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะคุยโวโอ้อวดว่าเจ้าสามารถถอนพิษได้ ช่าง… หน้าไม่อายเสียจริง หน้าไม่อายเสียจนแม้แต่ผียังกลัวเลย”

        หวาหรงจวิ้นจู่จงใจเน้นน้ำหนักเพียงคำหลังไม่กี่คำ

        ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงเรื่องไร้สาระกับพวกนางให้มากความ ซูจิ่นซีเดินอ้อมผ่านหวาหรงจวิ้นจู่และเดินตรงเข้าไปพร้อมกับผู้นำทางในทันที

        “หยุดนะ! ”

        คราก่อนในร้านจวีเซียงฟางที่พบกับซูจิ่นซีนั้น ฮั่วอวี้เจียวยังคงรักษาภาพลักษณ์ของสตรีผู้สูงศักดิ์และสุภาพให้เกียรติต่อซูจิ่นซี ทัศนคติเช่นนั้น ทว่าในครานี้กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

        ฮั่วอวี้เจียวก้าวเดินไปข้างหน้าซูจิ่นซีทีละก้าวๆ อย่างไม่เกรงใจ

        “พระชายาโยวอ๋อง ไม่ว่าเจ้าจะถอนพิษได้หรือไม่ แต่ที่นี่เป็นสกุลฮั่ว ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า เชิญเจ้าออกไป”

        ซูจิ่นซีหรี่ตาเล็กน้อย มองไปที่ฮั่วอวี้เจียว

        ใช่ว่านางจะเดินออกไปไม่ได้ เรื่องเช่นนี้นางเองไม่รีบร้อนอยู่แล้ว นางจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับธุระกงการของชาวบ้านให้มากเรื่องอย่างเด็ดขาด

        ทว่าซูจิ่นซีรับรองได้ว่า วันนี้ฮั่วซืออวี่คงถูกพิษในปริมาณมากและต้องเป็นอันตรายมากเช่นกัน นอกจากนั้นสกุลฮั่วได้ตามหมอหลวงมารักษาแล้วอย่างแน่นอน ทว่าในสถานการณ์ที่หมอหลวงไม่มีวิธีรักษาแล้วจึงได้มาตามนาง

        “คุณหนูฮั่ว วันนี้หากข้าก้าวออกจากประตูจวนสกุลฮั่วของพวกเจ้าแล้ว หากอยากเชิญข้าเข้ามาอีก จะต้องมีของแลกเปลี่ยนแล้วนะ หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เสียใจภายหลัง ลวี่หลี พวกเรากลับ! ”

        หลังจากที่ซูจิ่นซีเอ่ยจบ ก็เดินออกจากจวนสกุลฮั่วอย่างไม่คิดหันหลังกลับมามอง

        ทว่าซูจิ่นซียังไม่ทันได้ขึ้นรถม้า ก็มีเสียงของฮูหยินนางหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง

        “พระชายาโยวอ๋อง โปรดรอก่อนเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับมา เห็นเป็นฮูหยินที่เกล้ามวยผมงดงาม นางสวมเสื้อผ้าสีเหลืองอมส้มเข้ม ดูจากลักษณะนิสัยและการแต่งตัวแล้ว เดาได้ว่าอาจเป็นฮูหยินฮั่ว

        “หม่อมฉันฮั่วซื่อ คารวะพระชายาโยวอ๋องเพคะ”

        ฮั่วซื่อคำนับซูจิ่นซี

        “ท่านป้า ท่านฐานะใด ซูจิ่นซีฐานะใด ท่านไม่ต้องสุภาพกับนางถึงเพียงนี้ มันจะเป็นการลดคุณค่าของท่านลง”

        หวาหรงจวิ้นจู่ที่ตามมาด้านหลังกล่าวขึ้น

        ฮูหยินฮั่วสงบนิ่งอย่างยิ่ง นางขมวดคิ้วมุ่น “องค์หญิง ตามลำดับชั้นยศ หม่อมฉันไม่เกินระดับเก้า พระชายาระดับสี่ หม่อมฉันพบพระชายา ตามกฎธรรมเนียมปฏิบัติต้องเคารพพระชายาเพคะ”

        “ถุย นางเป็นพระชายาระดับสี่ที่ใดกันเล่า? นางพึ่งเพียงฐานะของเสด็จอาโยวอ๋องของข้านะสิ”

        “องค์หญิงอย่าพูดเช่นนั้นเพคะ พระชายาได้รับอภิเษกสมรสพระราชทานตามพระราชโองการ อีกทั้งท่านอ๋องยังอภิเษกสมรสอย่างถูกต้องตามประเพณีด้วย”

        แม้สถานะของฮูหยินฮั่วจะต่ำศักดิ์กว่าหวาหรงจวิ้นจู่ ทว่าฮูหยินฮั่วเป็นป้าแท้ๆ ของหวาหรงจวิ้นจู่ นางมักจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับผู้อาวุโสเสมอ

        หวาหรงส่งเสียงหึออกทางจมูกอย่างเย็นชา นางหันกลับมาทำปากบึ้งตึง และไม่เอ่ยอันใดอีก

        “พระชายากรุณาให้เกียรติมา หม่อมฉันผิดที่ไม่ได้ให้การต้อนรับ ขอให้พระชายาโปรดอภัยด้วยเพคะ” ฮูหยินฮั่วกล่าวขอโทษต่อซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซียิ้มแล้วพยักหน้า

        “พระชายา บุตรชายหม่อมฉันถูกพิษร้ายแรง ขอให้พระชายาช่วยชีวิตด้วยเพคะ! ”

        จบคำของฮูหยินฮั่ว ทันใดนั้นก็มีเสียง “ตุบ” ฮูหยินฮั่วคุกเข่าลงกับพื้น

        “ฮูหยินฮั่ว ใช่ว่าข้าไม่ยอมช่วย เพียงแต่เมื่อครู่ข้าได้เข้ามายังจวนสกุลฮั่วแล้ว เป็นเพราะธรณีประตู [2] จวนสกุลฮั่วของเจ้าสูงเกินไป พระชายาอย่างข้าดูเหมือนจะไม่เป็นที่ต้อนรับนัก! ”

        ฮูหยินฮั่วเข้าใจความหมายในทันที นางดึงแขนเสื้อของฮั่วอวี้เจียว “พระชายา เป็นเพราะอวี้เจียวยังเด็กไม่รู้ความเพคะ นางลบหลู่พระชายาแล้ว ขอท่านได้โปรดอภัยให้ด้วย บุตรชายของหม่อมฉันตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียง ความเป็นความตายรออยู่ตรงหน้า เรื่องของชีวิตคนมีความสำคัญใหญ่หลวงยิ่ง ขอพระองค์โปรดตามหม่อมฉันเข้าไปเถิดเพคะ! ”

        น่าเสียดาย ฮูหยินฮั่วทางนี้ก็วิงวอนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ทว่าฮั่วอวี้เจียวนั้นกลับดูเหมือนคนปกติที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอย่างไรอย่างนั้น นางเงยหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโสราวกับนกยูง ไม่คิดที่จะยอมแพ้แก่ซูจิ่นซีเลย

        บัดนี้ซูจิ่นซีได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุระกงการของจวนสกุลฮั่ว

        เหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะฮั่วอวี้เจียวเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือทั้งจวนสกุลฮั่ว นอกจากฮูหยินฮั่วแล้ว เดิมทีก็ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญกับนางเลย

        ในเมื่อฮูหยินฮั่วทราบข่าวว่าซูจิ่นซีมาถึงแล้ว แม่ทัพฮั่วก็ควรทราบด้วยใช่หรือไม่? หากปฏิบัติตามมารยาทของจงหนิงอย่างเคร่งครัด ซูจิ่นซี…พระชายาโยวอ๋องให้เกียรติมาที่จวนเช่นนี้ แม่ทัพฮั่ว…ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ควรกระทำก็คือพาทุกคนออกมาต้อนรับ ทว่าจนถึงตอนนี้ แม้แต่เงาของแม่ทัพฮั่วก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นเลย

        ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นใช้หาผลประโยชน์เข้าตัวเช่นนี้ ทั้งความรู้สึกเลินเล่อไม่สนใจและยังต้องถูกสงสัยนี่ มันช่างน่าอึดอัดเสียจริง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset