“ผู้ใดกัน? ผู้ใดลงเดิมพันกัน? ”
“ใช่! ผู้ใดมีเงินถึงเพียงนี้กัน? ”
แม้ว่าจงหนิงจะมีผู้ที่มีฐานะร่ำรวยไม่น้อย ทว่ามีคนไม่มากนักที่สามารถวางเงินจำนวนมากในการเดิมพันเพียงครั้งเดียว
โดยเฉพาะตอนนี้
แนวโน้มของการเดิมพันผลแพ้ชนะนั้น ไม่ใช่ว่าชัดเจนแล้วหรือ? พระชายาโยวอ๋องมีแนวโน้มที่จะเสียเปรียบนี่นา! เดิมพันข้างพระชายาโยวอ๋องมีความเสี่ยงไม่น้อย
คนผู้นี้โง่หรืออย่างไร? คาดไม่ถึงว่าจะลงเดิมพันมากมายถึงเพียงนั้น
“ไม่รู้สิ นิรนาม! ”
คนประกาศข่าวสารผู้นั้นก็ไม่รู้จริงๆ
“เหอะ! ”
ทุกคนพูดพร้อมกัน หมดความสนใจในทันใด
คงไม่ใช่ลูกเล่นที่บ่อนพนันจงใจสร้างเรื่องเพื่อหวังทำเงินให้มากขึ้นในนาทีสุดท้ายหรอก ใช่หรือไม่?
ทว่าบ่อนพนันได้ยุติการวางเดิมพันแล้วนี่นา!
ดูแล้ว เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมใน มีลับลมคมในแน่นอน
“คุณหนู! ” ลวี่หลีเตือนสติซูจิ่นซี “ฮองเฮาทรงรออยู่ทางนั้นนานแล้วนะเพคะ! ”
“ไปกันเถิด! ”
ซูจิ่นซีปิดผ้าม่านรถม้าลง ทว่าในก้นบึ้งของหัวใจยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อครู่อยู่
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผู้ใด คาดไม่ถึงว่าจะให้เกียรติซูจิ่นซีถึงเพียงนี้
แม้ว่าฮองเฮาพร้อมทั้งผู้คนอีกจำนวนหนึ่งจะรอซูจิ่นซีมาเป็นเวลานานแล้ว ทว่าไม่ทราบด้วยเหตุใดฮองเฮาจึงไม่ตำหนิซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
หลังจากที่ซูจิ่นซีขอประทานอภัยแล้ว ฮองเฮาก็ให้รถม้าของนางเดินทางออกไปพร้อมกับขบวน
ขบวนเสด็จออกเดินทางในตอนเช้า ทุกคนมาถึงวัดพุทธฝ่าในตอนบ่าย
เจ้าอาวาสวัดพุทธฝ่าออกมาต้อนรับที่หน้าประตู
ในเวลากลางคืนทุกคนต่างพักผ่อนอยู่ภายในวัด และในเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าอาวาสจะนำพวกเขาไปจุดธูปและสวดมนต์ขอพรด้วยตนเอง
เรือนพักที่ซูจิ่นซีพักอาศัยอยู่นั้นอยู่ใกล้กับเรือนของฮองเฮามาก ในตอนกลางคืนซูจิ่นซีจึงได้วางกลไกยาพิษจำนวนมากไว้รอบเรือนทั้งสอง ดังนั้นพวกนางจึงนอนหลับได้อย่างสงบตลอดทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ด้านนอกเรือนพักมีแมวตายหนึ่งตัว หนูตายสองตัว และยังมีแมลงที่ตายอีกจำนวนมาก
“พระชายาโยวอ๋องดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นกังวลมากนะ”
ฮองเฮากล่าวขึ้น
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันกันไว้ก่อนดีกว่าแก้เพคะ”
ซูจิ่นซียิ้มอย่างอ่อนโยน
หลังจากทานข้าวก้นบาตร เจ้าอาวาสและเจ้าภาพก็พาฮองเฮาและพระสนมผู้ติดตามทั้งหมดไปฟังเทศนาและจุดธูป ตามขั้นตอนไปจนถึงยามเฉิน จากนั้นทุกคนก็กลับเข้ามาในหอพระไตรปิฎกอีกครั้ง นอกจากนี้ภายในวัดยังมีสถานที่บางแห่งที่ถูกปิดไว้ ไม่ให้ผู้แสวงบุญเข้าไป
ช่วงบ่ายหลังจากทานข้าวก้นบาตรเรียบร้อย ก็เตรียมตัวเดินทางกลับเมืองตี้จิง
ลวี่หลีกำลังเก็บของ ซูจิ่นซีนั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่โต๊ะด้านข้าง
ทันใดนั้นก็มีเสียงตื่นตระหนกดังมาจากด้านนอก
“หอพระไตรปิฎกใหญ่ไฟไหม้แล้ว หอพระไตรปิฎกใหญ่ไฟไหม้แล้ว… ”
ซูจิ่นซีและลวี่หลีรีบวิ่งออกไป ฮองเฮาและผู้ติดตามอยู่ในพระอารามแล้ว หลังจากนั้นก็มีเณรน้อยรูปหนึ่งวิ่งเข้ามา
“โยมทั้งหลาย หอพระไตรปิฎกใหญ่ไฟไหม้แล้ว เจ้าอาวาสบอกว่าให้พวกโยมพักอยู่ในพระอารามก่อน สถานการณ์ภายนอกค่อนข้างวุ่นวาย เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของโยมทุกท่าน”
“ลำบากท่านแล้ว หากเจ้าอาวาสและไต้ซือมีเรื่องอันใดต้องการให้ช่วย ก็บอกข้าได้ทันที” ฮองเฮากล่าว
เณรน้อยมองไปยังฝูงชนแล้วโค้งรับคำตามมารยาทสงฆ์
“อยู่ดีๆ เหตุใดจึงเกิดไฟไหม้ได้เล่า? ”
“ใช่ ในหอพระไตรปิฎกใหญ่มีพระโพธิสัตว์ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในวัดพุทธฝ่า และยังมีตะเกียงธูปที่สมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย”
“ได้ยินมาว่ายังเก็บพระคัมภีร์สำคัญอีกมากมายด้วยนะ! ”
“หน้าแล้งเช่นนี้ ผู้ใดจะไปรู้กัน! ”
“ฝนพึ่งตกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน จะแห้งแล้งได้อย่างไรกัน? และวันนี้พวกเรามาวัด พวกเขาจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่ควรเกิดเหตุไฟไหม้ได้ง่ายถึงเพียงนี้! ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าจะบอกว่ามีคนทำหรือ? หึหึ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน! ฮองเฮาก็ประทับอยู่ที่นี่นะ! ผู้ใดกันที่มีความกล้าถึงเพียงนี้? ”
ผู้คนต่างก็พูดกันไปคนละทิศคนละทาง
ซูจิ่นซีและฮองเฮามองตากันอย่างเข้าใจเป็นที่รู้กันดีทั้งสองฝ่าย ส่วนนางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮองเฮานำมาด้วยก็ตั้งใจทำหน้าที่ปกป้องทุกคน โดยพาทุกคนมารวมกันตรงกลางเพื่อสะดวกต่อการดูแลอย่างทั่วถึง
ด้านนอกพระอารามมีทหารยามพิเศษหลายนายที่นำเสด็จฮองเฮาในการเดินทางครั้งนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้น
“กรี๊ด! ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากทางด้านนอก
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ” ฮองเฮาถาม
“ดูเหมือนจะเป็นเสียงของพระชายาเยี่ยนเป่ยเพคะ”
พระสนมนางหนึ่งกล่าวขึ้น
“พระชายาเยี่ยนเป่ยยังไม่ได้ออกมาหรือ? ” ฮองเฮาถาม
“ก่อนที่จะจุดธูป กระโปรงของพระชายาเยี่ยนเป่ยถูกไฟธูปจี้จึงกลับมาช้ากว่าพวกเราเพคะ คาดว่าเมื่อครู่พระชายาคงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพคะ”
“ไปดูสิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ฮองเฮาออกคำสั่ง บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังก็รีบวิ่งไปดูที่เรือนของพระชายาเยี่ยนเป่ย
“กรี๊ด! ”
สาวใช้ผลักประตูเรือนของชายาเยี่ยนเป่ยให้เปิดออก ทันใดนั้นนางก็กรีดร้องและเป็นลมล้มลงไป
ซูจิ่นซีและทุกคนต่างเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น พระสนมที่หวาดกลัวถึงกับตกใจจนร่างกายอ่อนแรง
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
พวกเขาทั้งหมดมองไปยังทิศทางที่เรือนของพระชายาเยี่ยนเป่ยตั้งอยู่ด้วยสายตาหวาดกลัว
“พวกเจ้าสองสามคน ไปดูสิ! ”
ฮองเฮากำชับบ่าวรับใช้ทางด้านหลังที่มีฝีมือสองสามนาง
“ผู้อื่นอย่าเพิ่งทำอันใดบุ่มบ่าม”
แม้จะไม่รู้ว่าด้านในนั้นเกิดอันใดขึ้น ทว่าฮองเฮากลับรู้สึกได้ถึงบางอย่าง
เมื่อบ่าวรับใช้ทั้งสามนางเดินมาถึงด้านหน้าประตูเรือนของพระชายาเยี่ยนเป่ย ใบหน้าของพวกนางก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
“ฮองเฮา แย่แล้วเพคะ พระชายาเยี่ยนเป่ยสิ้นพระชนม์แล้วเพคะ”
“อะไรนะ? สิ้นพระชนม์แล้ว? ”
ฮองเฮารีบไปดูพระชายาเยี่ยนเป่ยที่เรือนของนาง
“กรี๊ด! ”
พระสนมไม่กี่คนที่วิ่งตามหลังฮองเฮาไปต่างกรีดร้องขึ้นมาในทันที บางคนเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุก็ถึงกับตกใจจนล้มพับลงไป
การสิ้นพระชนม์ของพระชายาเยี่ยนเป่ยนั้นช่างน่าสะพรึงกลัว
ผู้ใดกัน?
วิปริตถึงเพียงนี้!
ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วยาม พระชายาเยี่ยนเป่ยยังอยู่กับทุกคนอยู่เลย คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะกลายเป็นศพที่ด้านบนมีหนอนน่ารังเกียจคลานยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
“นี่มัน… นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! ”
“ข้าจะกลับ! ข้าต้องการกลับเมืองตี้จิง! ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“ข้าก็จะกลับเช่นกัน! ”
“ข้าก็จะกลับเช่นกัน! ”
ทุกคนเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว
“อย่าโวยวาย ทุกคนตั้งสติและอยู่กับข้าที่นี่ก่อน”
ฮองเฮาตะโกนด้วยเสียงเย็นเยียบ
ผู้คนที่วิ่งวุ่นไปรอบๆ เมื่อได้ยินฮองเฮาตรัสก็หยุดชะงักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มทำลายความสงบอีกครั้ง
“หากพวกเรายังอยู่ที่นี่ จะต้องไม่มีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”
“ใช่ จะต้องเป็นเหมือนพระชายาเยี่ยนเป่ยเป็นแน่ ตายอยู่ที่นี่”
“พวกท่านโวยวายไปก็ไม่ได้อะไร ตอนนี้พวกเราทุกคนควรสามัคคีกัน” ซูจิ่นซีตะโกนขึ้น
“พระชายาโยวอ๋อง เจ้าช่างพูดจาได้อย่างง่ายดาย ทว่าพวกเราจะตายกันอยู่แล้ว จะสามัคคีกันได้อย่างไร? ”
“ใช่ พวกข้าและฮ่องเต้พึ่งจะได้สมรมกัน ข้ายังไม่ทันได้มอบบุตรสาวให้ฝ่าบาทสักคนเลย! ข้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่”
“ใช่ พวกเรากลับ! ”
“กลับ! ”
“ผู้ใดก็ห้ามออกไป หากผู้ใดกล้าขยับ ข้าจะฆ่าให้หมด! ”
ฮองเฮาออกคำสั่งเสียงเย็นด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
ทหารองครักษ์ด้านนอกหันคมดาบเข้าห้อมล้อมทุกคน ทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่ และเพื่อปกป้อง
เหล่าพระสนมต่างตกใจจนหน้าซีด ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าขยับอีกแล้ว
แม้ซูจิ่นซีจะไม่เป็นวรยุทธ ทว่านางก็ไม่ได้ขลาดกลัวแม้แต่น้อย นางคอยติดตามอยู่ด้านข้างฮองเฮาอย่างใกล้ชิด คอยระวังอย่างเต็มที่
ฮองเฮารับสั่งให้คนจากทางวัดเข้าไปขอความช่วยเหลือในเมืองตี้จิง
บรรยากาศโดยรอบหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ มีโอกาสเกิดเภทภัยขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกคนต่างไม่กล้าส่งเสียง ทำได้เพียงเฝ้ารอการช่วยเหลือเท่านั้น
บริเวณไม่ไกลกันนัก เปลวไฟจากหอพระไตรปิฎกลุกไหม้ขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มลุกลามมาทางด้านเรือนพักแล้ว หากไม่รีบโยกย้ายโดยเร็ว ในไม่ช้าที่นี่ก็จะกลายเป็นขี้เถ้าทั้งหมด
“พวกเจ้าสองสามคน หาของมาย้ายศพของพระชายาเยี่ยนเป่ย คนที่เหลือตามข้ามา”
ฮองเฮารับสั่งอย่างสงบนิ่งและกล่าวอย่างเป็นลำดับ
ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายนำแผ่นไม้แบนๆ มาหามศพของพระชายาเยี่ยนเป่ยออกมา
ทุกคนต่างเดินตามหลังฮองเฮาออกไปยังด้านนอกของเรือนพัก เมื่อกำลังจะเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็หยุดอยู่ตรงหน้าฮองเฮา นางขมวดคิ้วแน่น ราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
“ข้าเอง! ”
ซูจิ่นซีไม่ทันได้เอ่ยขัดขวาง ทหารองครักษ์นายหนึ่งก็รีบวิ่งไปยังด้านหน้าฮองเฮา
ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าออกจากประตูเรือนพัก ทหารองครักษ์ผู้นั้นก็ตะโกนขึ้นมาทันที เกิดไฟไหม้ขึ้นมาเอง!
สวรรค์!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เกือบไปแล้ว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เกือบจะรักษาพระชนม์ชีพของฮองเฮาเอาไว้ไม่ได้แล้ว