สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 93 เหตุใดต้องตีกับเจ้า

      “ห่อยาที่อยู่บนร่างกายของฮองเฮาถูกพวกเขาพบแล้ว”

        ซูจิ่นซีกล่าวอย่างจริงจัง

        “พระชายา ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ? ”

        เหล่าทหารองครักษ์กังวลมาก อย่างไรเสียฮองเฮาก็มีฐานะแตกต่างจากผู้อื่น หากมีอันใดผิดพลาดไป พวกเขาอย่าคิดที่จะมีชีวิตรอดแม้แต่ผู้เดียว

        ซูจิ่นซีไม่พูดจาอันใด นางหลับตาทั้งสองข้างลง และเริ่มเปิดระบบถอนพิษใหม่อีกครั้ง

        มีเสียง ‘ติ๊ดติ๊ดติ๊ด’ เบาๆ จากระบบถอนพิษสะท้อนกลับมา ซูจิ่นซีค่อยๆ เดินไปตามทิศทางที่เสียงบอกทีละก้าวๆ จนไปถึงขอบหน้าผา

        “พระชายา ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ด้านหน้าเป็นหน้าผา หากเดินต่อไปอีก ซูจิ่นซีอาจเหยียบกับอากาศและตกลงจากหน้าผาอย่างแน่นอน ทหารองครักษ์ตกใจกลัวจนเหงื่อไหล รีบเข้ามาคว้าซูจิ่นซีเอาไว้

        ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นมาก็เห็นด้านหน้าเป็นหมอกที่ไร้ก้นเหว ลึกจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทันใดนั้นก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ ตาลาย รู้สึกตกใจไม่น้อย

        “พวกเจ้า ผู้ใดมีความสามารถลงไปด้านล่างหน้าผาหรือไม่? ”  ซูจิ่นซีถาม

        เมื่อครู่นี้ เสียงแผ่วเบาของระบบถอนพิษบอกนางว่าแหล่งต้นตอของพิษนั้นอยู่ที่ก้นเหว

        แม้ว่าเหล่าทหารองครักษ์ต่างก็เป็นยอดฝีมือของฮ่องเต้ ทว่าหน้าผานี้สูงนับหมื่นชุ่น แม้แต่นกก็ไม่สามารถบินไปถึงก้นเหวได้ พวกเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง

        เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างพากันส่ายศีรษะ ใบหน้าของซูจิ่นซีก็แสดงความผิดหวังเล็กน้อย

        หากเยี่ยโยวเหยาอยู่ก็ดีสิ เขาจะต้องมีวิธีแน่นอน ซูจิ่นซีพึมพำในใจ

        “พระชายา มีเถาวัลย์อยู่ตรงนั้น พวกเราจะผูกเชื่อมเถาวัลย์ หากอาศัยความแข็งแกร่งของเถาวัลย์น่าจะไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”

        ทหารองครักษ์กล่าว

        ซูจิ่นซีพยักหน้าและเดินไปช่วยทหารองครักษ์ผูกเถาวัลย์เข้าด้วยกัน

        แม้ว่าถุงยาผงนั้นจะถูกพบและโยนทิ้งไปแล้ว ทว่ายาผงที่ห้อยไว้กับพระวรกายของฮองเฮายังคงมีเศษละอองเหลืออยู่ ระบบถอนพิษจึงตรวจสอบได้ยากเล็กน้อย ทว่าซูจิ่นซีก็หาเจอจนได้

        ไม่เลวเลย ในเวลานี้ฮองเฮาถูกคุมตัวไว้ใต้หน้าผาอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า ไม่ได้อยู่ที่ด้านล่างของหน้าผา ทว่าอยู่ในถ้ำบนหน้าผา

        “ฮองเฮา ท่านมีชะตาชีวิตแข็งแกร่งเสียจริง ทานยาพิษของข้าไปมากมายถึงเพียงนั้น คาดไม่ถึงว่ายังสามารถอยู่รอดปลอดภัยจนมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าได้ ทว่าช่างน่าเสียดายเหลือเกิน ข้าต้องการชีวิตของท่านยิ่งนัก ท่านว่าข้าควรให้ท่านตายโดยวิธีใดดีเล่า? ”

        ผู้ที่พูดเป็นซิ่งหลิวหลี

        ฮองเฮาถูกจับมัดมือมัดเท้า ปากก็ถูกผ้าอุดไว้ ไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้เลยแม้แต่ประโยคเดียว

        ทว่าซิ่งหลิวหลีไม่ได้คาดหวังให้ฮองเฮาตอบคำถามของนางกลับ

        ในมือของซิ่งหลิวหลีถือกริชหนึ่งเล่ม คมกริบจนไม่มีสิ่งใดเทียบได้

        ทว่าสิ่งที่คมยิ่งกว่ากริชก็คือดวงตาที่ลึกล้ำของนาง มันไม่มีร่องรอยของความเป็นมนุษย์ เต็มไปด้วยความดุร้ายและน่าสะพรึงกลัว ซิ่งหลิวหลีโบกกริชในมือจนมีเสียง “ฟิ้ว” ตามมาด้วยแสงเย็นวาบเปล่งประกายระยิบระยับ เสียงใบมีดดังก้องไปทั่วถ้ำ

        ฮองเฮาตกพระทัยมากจนพระพักตร์ซีดเผือด พระองค์พยายามกระโดดถอยหลัง

        ซิ่งหลิวหลีถือกริชแล้วขยับเข้าไปใกล้ฮองเฮาทีละก้าวๆ

        “แทงกริชที่หน้าอก ช่างสุขสันต์เสียนี่กระไร? หรือจะใช้ยาพิษกับร่างของเจ้า? หรือว่า… เจ้าจะจัดการเอาตนเองชนกำแพง หรือกระโดดหน้าผา? แล้วแต่เจ้าจะเลือกเลย กลัวก็แต่ เจ้าจะลงมือทำร้ายร่างกายอันล้ำค่าของตนเองไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้ข้าช่วยเจ้าเถิด! กริชเล่มนี้รวดเร็วมาก ฟันลงไปเพียงครั้งเดียวก็ช่วยให้เจ้าตายได้ในทันที เจ้าไม่ทันรู้สึกถึงความเจ็บปวดด้วยซ้ำ”

        ขณะที่พูด สายตาของซิ่งหลิวหลีเป็นประกาย นางแทงกริชไปยังหน้าอกของฮองเฮาอย่างไม่ลังเล ทว่าในตอนที่กริชกำลังจะแทงถูกร่างของฮองเฮานั้น ซิ่งหลิวหลีกลับเปลี่ยนทิศทางมืออย่างรวดเร็วและแทงเข้ากับหินที่อยู่ด้านข้าง

        ซิ่งหลิวหลีมองฮองเฮาที่ถูกทำให้ตกใจจนหลับตาแน่น ทั้งพระวรกายของพระองค์สั่นสะท้าน ซิ่งหลิวหลีเม้มริมฝีปากหัวเราะ “คิกๆๆๆ” ออกมา

        “แม่ของแผ่นดินอันใดกัน แบบอย่างแม่ของแผ่นดินที่ดีงามอันใดกัน วีรสตรีเฟิงอี้ [1] ที่เคยบัญชาการกองทัพอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่จักรพรรดิสามเหล่าทัพ [2] ทว่าฮองเฮาแห่งแคว้นจงหนิงก็ไม่เท่าไรเลยนี่! ฮาๆๆๆ … ”

        “เหยาเหยา เลิกสร้างปัญหาได้แล้ว! เวลาไม่น้อยแล้ว เมื่อได้ศีรษะของฮองเฮา พวกเรายังต้องหาทางจับซูจิ่นซีอีก เวลามีไม่มาก รีบลงมือเถิด! ”

        “อย่าเรียกข้าว่าเหยาเหยา เจ้าไม่คู่ควร”

        สายตาของซิ่งหลิวหลีดั่งคมมีด นางพูดอย่างเย็นชากับทูตซ้ายชุดดำด้านข้าง

        แววตาของทูตซ้ายปรากฏความหดหู่เพียงชั่วครู่ ความสิ้นหวังแวบผ่านดวงตา เขาเปลี่ยนคำเรียกและน้ำเสียง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ผู้คุมกฎซิ่ง อย่าลืมคำแนะนำจากเบื้องบน เจ้าไม่มีเวลามากแล้ว”

        “ไม่ต้องให้เจ้าเตือน! ”

        ซิ่งหลิวหลีเบิกตาขึ้นด้วยแรงอาฆาต นางถือกริชเคลื่อนเข้าใกล้หน้าอกของฮองเฮาอย่างเชื่องช้า ปลายแหลมของกรีชค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในรูม่านตาที่สะพรึงกลัวของฮองเฮา กริชแทงเข้าไปในหัวใจด้วยเสียงดัง “ชึก”

        การเคลื่อนไหวของกริชเป็นไปอย่างรวดเร็ว ฮองเฮาไม่แม้แต่จะส่งเสียงเจ็บปวด ดวงตาจ้องเขม็ง จากนั้นก็สิ้นลมหายใจ

        ซิ่งหลิวหลีขว้างกริชในมือลงกับพื้นแล้วโยนถุงผ้าถักลงไป

        “ใส่ศีรษะของนางลงไป เร็วเข้า เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กินเจนะ แม้ตอนนี้เขายังไม่ลงมือ ทว่าจะต้องลงมือในภายหลังอย่างแน่นอน หากรอให้คนของเขามาถึงแล้ว เจ้ากับข้าไม่ต้องคิดหนีเลยด้วยซ้ำ”

        ทูตซ้ายเดินไปยังด้านข้างของฮองเฮา วิเคราะห์ลมหายใจของพระองค์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแทงได้ตรงจุด ฆ่าด้วยการแทงเพียงครั้งเดียว หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตซ้ายก็หัวเราะเยาะเย้ย

        “ผู้คุมกฎซิ่งที่แท้ก็โหดเหี้ยมอำมหิต เจ้าแฝงตัวอยู่ในสกุลซูมาหลายปี เกรงว่ารอจนคนสกุลซูตาย พวกเขาก็คิดไม่ถึงด้วยซ้ำ คุณหนูสี่ผู้อ่อนโยนและจิตใจดีในสายตาพวกเขา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาเช่นนี้”

        ซิ่งหลิวหลีจ้องไปที่ทูตซ้ายโดยไม่ได้พูดอันใด

        ทูตซ้ายหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวต่อว่า “ที่น่าขันที่สุดคือซูจิ่นซีผู้โง่เง่านั่นกระมัง? นางได้รับคำสั่งให้ตามหาฆาตกรที่วางยาพิษฮองเฮา กลับคิดไม่ถึงว่าฆาตกรจะเป็นคนของสกุลซู หากซูจิ่นซีไม่สอบสวนเจ้า ตามพระราชดำริของฮ่องเต้แล้ว โยวอ๋องและเฉินไท่เฟยโง่เง่าผู้นั้นจะต้องพัวพันกับนาง หนีไปไหนไม่รอด หากนางสอบสวนเจ้า สกุลซูก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน มีโทษประหารทั้งตระกูล ซูจิ่นซีก็จะกลายเป็นคนบาปที่ไม่กตัญญูต่อสกุลซู ไม่ว่าทางใดซูจิ่นซีก็ต้องตายทั้งนั้น ละครฉากนี้ ช่างสนุกเสียจริง! ”

        “หึ! ”

        ซิ่งหลิวหลีส่งเสียงอย่างเย็นชา ดวงตาทั้งสองฉายแววโหดร้ายและเยือกเย็น

        “เกรงว่า นางจะไม่มีแม้แต่โอกาสให้ตายเสียด้วยซ้ำ”

        ท่านประมุขหลานต้องการคน นางจะต้องพาซูจิ่นซีกลับไป แม้จะเกลียดซูจิ่นซีก็ต้องรักษาชีวิตของซูจิ่นซีไว้ก่อนชั่วคราว นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของนางแล้ว

        ดวงตาของทูตซ้ายมีแววเย็นชาเช่นกัน

        “ยังไม่ลงมืออีก! ”

        ซิ่งหลิวหลีกล่าวอย่างเย็นชา

        ทูตซ้ายไม่รอช้าอีกต่อไป แววตาเปล่งประกายความโหดเหี้ยม เขาดึงดาบยาวออกจากเอวแล้วยกขึ้นสูง ฟันไปที่คอของฮองเฮา

        “หยุดนะ! ”

        ในช่วงเวลาอันตราย มีเสียง “เพล้ง” ดังขึ้นและดาบยาวในมือของทูตซ้ายก็ถูกก้อนหินชนจนร่วงไป เวลาเดียวกันนั้นพลันได้ยินเสียงของซูจิ่นซีสะท้อนกลับมา

        ซูจิ่นซีเป็นคนตัวเล็ก ทว่าแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว นางยืนอยู่ที่ทางเข้าถ้ำ ทั่วทั้งร่างถูกย้อมด้วยแสงสว่างสีแดงฉานจากทางด้านหลัง สายลมยามเย็นโบกพริ้วเสื้อผ้าและผมสีดำให้สยายไปในอากาศ ดูแล้วช่างองอาจ หยิ่งทะนง และสง่างามยิ่งนัก

        ด้านหลังของนางมาพร้อมด้วยเหล่าทหารองครักษ์หลายสิบนาย

        “ซูจิ่นซี? ”

        ซิ่งหลิวหลีหัวเราะอย่างเย็นชา

        “หนทางสวรรค์เจ้ากลับไม่ไป นรกไร้ประตูเจ้าแส่เข้ามา เจ้ากับข้าช่างเป็นศัตรูที่ไม่อยากพบหน้าแต่กลับต้องเจอกันเสียจริง เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องลำบากไปตามจับเจ้า”

        ซูจิ่นซีค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น นางยกยิ้มที่มุมปาก รังสีมืดมนทะลุทะลวงออกมา “ซิ่งหลิวหลี เมื่อคืนเจ้ากินกระเทียมไปกระมัง? ปากถึงได้เหม็นเพียงนี้… ”

        “พรื๊ด… ”

        ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังซูจิ่นซีอดขำไม่ได้ พวกเขาหัวเราะมีเสียงออกมา

        ซิ่งหลิวหลีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในทันที “ชิ้ง! ” ดาบยาวที่เอวถูกนำออกมา มือทั้งสองกำแน่นวาดโค้งขึ้นไปในอากาศชี้ไปยังระหว่างคิ้วของซูจิ่นซี

        “หยุดพูดจาไร้สาระ แล้วนำอาวุธออกมาเถิด! ฝีปากไม่นับเป็นความสามารถ ดาบเท่านั้นจึงจะมองเห็นวรยุทธที่แท้จริง”

        ซิ่งหลิวหลีตั้งท่าเตรียมต่อสู้กับซูจิ่นซีด้วยดาบ กลับไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะไร้เดียงสามาก นางกลับกล่าวว่า “มีเหตุผลอันใดที่จะต้องต่อสู้กับเจ้า? อีกอย่าง… ข้าไม่เป็นวรยุทธด้วย”

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset