สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 59 ท่านอ๋องยืมโถส้วมของท่านใช้หน่อย

     ซูจิ่นซีหลับลึกมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังฝันอีกด้วย

        ในฝันนั้น นางเดินเตร่อยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่ปกคลุมไปด้วยควันและหมอกลอยเป็นเกลียวขึ้นไป ภาพลวงตาล่องลอยยาวนาน ทิวทัศน์โดยรอบเดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จ หลอกหลวงหรือแท้จริง ราวกับฝันดั่งจินตนาการ

        “มีผู้ใดอยู่หรือไม่? มีผู้ใดอยู่หรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีตะโกนอยู่ในหมอกมัว ทว่ารอบข้างกลับเงียบสงัดไม่มีผู้ใดตอบกลับมา

        สุดท้ายในส่วนลึกของป่าไผ่ นางก็มองเห็นทะเลสาบสีมรกต หมอกลอยระเรี่ยอยู่เหนือผิวน้ำ ทำให้มองทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนัก

        ริมทะเลสาบสีมรกต ซูจิ่นซีเห็นสถานที่คล้ายกับแท่นบูชา แม้ว่านางจะยืนอยู่ไกล ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกถึงพลังมหัศจรรย์และแข็งแกร่งกำลังเรียกนาง นางจึงเดินไปยังแท่นบูชาทีละก้าวๆ

        ใจกลางแท่นบูชา ซูจิ่นซีเห็นผลึกแก้วสลักเป็นรูปดอกไม้ คาดไม่ถึงว่าลักษณะของดอกไม้ผลึกแก้วนั้นจะเหมือนกันทุกประการกับดอกไม้ที่สลักบนกำไลข้อมือที่นางบังเอิญเจอในตลาดมืดอย่างไรอย่างนั้น ทว่ามีบางสิ่งที่แปลกไป ผลึกแก้วดอกปี่อั้นนั้นคาดไม่ถึงว่ากลีบดอกจะหายไปถึงเจ็ดกลีบ

        ด้านข้างของผลึกแก้วดอกปี่อั้น ซูจิ่นซีเห็นตัวอักษรมหัศจรรย์บางอย่าง

        ในคราแรกตัวอักษรนั้น มองดูแล้วล้วนชัดเจน ทว่าเมื่อซูจิ่นซีคิดจะมองเนื้อหาของตัวอักษรให้กระจ่างกลับมองอย่างไรก็มองไม่ชัด สิ่งที่ตามมาคือ ยิ่งนางต้องการจะดูเนื้อหาของตัวอักษรมากเท่าไร กำไลข้อมือปี่อั้นบนข้อมือของนางก็ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเท่านั้น ในที่สุดตัวอักษรนั้นก็กลายเป็นแสงจ้า ซูจิ่นซีกรีดร้องขึ้นทันใด นางถูกแสงนั้นผลักออกมาจากแท่นบูชาและตกลงไปในทะเลสาบมรกต

        “อย่า… ”

        ศีรษะของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยเหงื่อ นางตกใจตื่นขึ้นมาจากฝัน

        เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด รับรู้ได้ว่าตนเองกำลังหลับอยู่ในเรือนอวิ๋นไค ซูจิ่นซีจึงตระหนักได้ว่านางเพียงแค่ฝันไป

        ซูจิ่นซีปาดเหงื่อเย็นเฉียบออกจากหน้าผาก แล้วสูดหายใจลึกๆ หนึ่งที

        ขณะที่นางจะซุกตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มเพื่อหลับต่อ นางก็ต้องตกใจกับเงาสีดำที่อยู่ตรงหน้านาง

        “ท่าน… ท่านอ๋อง??? ”

        เยี่ยโยวเหยา?

        บุคคลที่มีใบหน้าเย็นชาชั่วร้ายผู้นี้เข้ามาในห้องของนางตั้งแต่เมื่อไร เขายืนอยู่ตรงนี้โดยไม่ส่งเสียงได้อย่างไร?

        ตกใจหมดเลย!

        เขายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว?

        เยี่ยโยวเหยายังไม่ยอมพูด ซูจิ่นซีตะโกนเสียงดังราวกับหมูถูกเชือด นางเอาผ้าห่มมาคลุมร่างซ่อนตัวอยู่ใต้นั้น

        “ท่านอ๋องไม่นอนหรือเพคะ?  ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ออกมาทำอันใด? ไม่รู้หรือว่าหญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน? ท่านยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรแล้ว? มองเห็นสิ่งใดไปแล้วบ้างเพคะ? ”

        หลังจากที่ซูจิ่นซีตื่นตูมไปชุดใหญ่จึงตระหนักได้ว่าร่างกายของตนเองเปลือยเปล่า นางไม่ได้สวมสิ่งใดเลย นอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีสิ่งใดคลุมเลยเช่นนั้น

        และเยี่ยโยวเหยาก็ยืนอยู่ด้านข้างเตียงของนาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ได้เห็นสิ่งใดไปบ้าง

        ทันใดนั้นทั่วร่างกายของซูจิ่นซีก็ร้อนผ่าวราวกับกุ้งตัวใหญ่ที่ถูกวางไว้บนเตา นางซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม คิดอย่างจริงจัง ว่าชีวิตนี้จะไม่ออกมาแล้ว

        เยี่ยโยวเหยาหันหลังให้นาง มือทั้งสองไพล่หลัง ส่งเสียงแผ่วเบาชวนสงบจิตสงบใจ แต่คาดไม่ถึงว่าจะพูดจากวน… ออกมา “มานานแล้ว สิ่งใดที่ควรเห็น สิ่งใดที่ไม่ควรเห็น ก็เห็นหมดแล้ว! ”

        “เยี่ยโยวเหยา พอแล้วเพคะ! ท่านมียางอายบ้างหรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีลุกออกมาจากผ้าห่ม พูดกับแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยา

        ทว่าคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะทำราวกับตนเองไม่ได้ทำอันใดเสียอย่างนั้น กลับกล่าวอย่างเย็นชา “ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา [1] สวมเสื้อผ้าแล้วไปกับข้า”

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ใดกัน? เป็นท่านอ๋องแล้วจะสามารถละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ? ดึกดื่นเพียงนี้ ท่านคิดว่าท่านจะให้ข้าทำอันใดแล้วข้าต้องทำตามหรืออย่างไร? แม้แต่ผู้ที่ตกลงทำสัญญาขายร่างกายตนเองยังมีเวลาส่วนตัวเลย เวลาส่วนตัว ท่านเข้าใจหรือไม่? ”

        ดึกดื่นค่อนคืนถูกบุรุษเข้ามาในห้องตามอำเภอใจ แล้วยังเห็นทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองหมดแล้ว ซูจิ่นซีโกรธมาก

        “เวลาส่วนตัว? เจ้าแน่ใจหรือว่าจะหารือกับข้าเรื่องปัญหาสิทธิมนุษยชนนี้? ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด! ”

        เสียงของเยี่ยโยวเหยาช่างเย็นชาไร้อารมณ์ ซูจิ่นซีตื่นตัวมากขึ้น นางรู้สึกถึงกลิ่นอายของความโกรธที่กดดันอยู่รอบตัวเยี่ยโยวเหยา ร่างกายของนางสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที “เยี่ยโยวเหยา ท่าน…ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้หันมา! ”

        จากนั้นซูจิ่นซีก็ดึงเสื้อผ้าด้านข้างขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็วด้วยความไม่สบอารมณ์

        ยังไม่ทันถึงเวลาหนึ่งถ้วยชา ซูจิ่นซีก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นางเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเยี่ยโยวเหยา

        เยี่ยโยวเหยาหันกลับมา สีหน้าดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างกายของซูจิ่นซีเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันหลังเดินลงบันไดไป

        ซูจิ่นซีมองไปที่ด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาแล้วทำปากมุ่ย นางทำหน้าล้อเลียนแล้วเดินตามหลังเขาไป

        ก่อนจะเดินออกไป ซูจิ่นซีก็นึกถึงฝันเมื่อกี้ขึ้นได้อย่างกะทันหัน นางมองกำไลข้อมือปี่อั้นที่อยู่บนข้อมือของตนเองอย่างสงสัย

        ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แม่นมฮวาและลวี่หลียังคงหลับอยู่ชั้นล่าง ดูเหมือนจะหลับลึกมากเสียด้วย คาดไม่ถึงว่าเสียงร้องดังของซูจิ่นซีไม่สามารถทำให้พวกนางตื่นขึ้นมาได้เลย

        เดิมทีซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยามาหานางดึกดื่นด้วยท่าทีรีบร้อนเช่นนี้ อีกทั้งยังพานางออกมาจากเรือนอีก จะต้องมีเรื่องสำคัญอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่

        ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาเพียงแค่เดินออกจากเรือนอวิ๋นไค เพื่อที่จะตรงไปยังตำหนักฝูอวิ๋น

        เยี่ยโยวเหยาผู้นี้ คิดจะทำสิ่งใดกันแน่?

        เมื่อมองไปยังตำหนักฝูอวิ๋นที่เย็นยะเยือกและเงียบสงบ ไม่มีความอบอุ่นหรือแสงสว่างใดๆ นั้น แผ่นหลังของซูจิ่นซีก็เย็นยะเยือกอย่างไม่มีเหตุผล

        นางนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นได้อย่างกะทันหัน ‘ดึกดื่นค่อนคืน ชายหญิงอยู่ด้วยกันในห้อง ไม่เป็นเรื่องดีเลย’

        นางคิดหลงตนเองจนตัวเอียงแล้ว

        เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตั้งใจจะเรียกให้นางไปปรนนิบัติที่ห้องนอนหรอก ใช่หรือไม่?

        ดูเหมือนว่าในสมัยโบราณ ความคิดของคนหัวโบราณล้าสมัยที่ในตอนกลางคืน ท่านอ๋องจะต้องหาสตรีมาปรนนิบัติที่ห้องนอน โดยเฉพาะสตรีที่มีฐานะในจวนตนเอง

        “เอ่อ ท่านอ๋อง พวกเรามีเรื่องอันใดเพคะ สามารถที่จะคุยกันพรุ่งนี้ได้หรือไม่? ”

        “หือ? ”

        เยี่ยโยวเหยาหันกลับมาอย่างเย็นชาและขมวดคิ้วมองซูจิ่นซี

        “โอ้ย ท่านอ๋อง ท้องของหม่อมฉัน จู่ๆ ก็ปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันเพคะ! หม่อมฉันต้องการเข้าห้องส้วม ไม่ไหวแล้ว… ไม่ไหวแล้ว! ”

        ซูจิ่นซีจับท้องตนเองทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางหันหลังต้องการกลับไปที่เรือนอวิ๋นไค

        “ห้องสวมอยู่ทางทิศตะวันออก”

        เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างเย็นชา

        “เอ่อ… ท่านอ๋อง กลางดึกหม่อมฉันไปห้องส้วมผู้เดียวก็กลัว ชั้นบนมีโถอยู่ หม่อมฉันใช้โถนั่นก็พอแล้วเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังด้านตะวันออกที่มืดมิด

        “ตำหนักฝูอวิ๋นก็มี! ”

        เสียงเยี่ยโยวเหยาก็ยังคงเย็นชา

        “หา? ” ซูจิ่นซีตกใจเล็กน้อย นางกล่าวอย่างลำบากใจ “ไม่ดีกระมัง? ท่านอ๋อง โถของผู้อื่นจะให้หม่อมฉันใช้ก็คงจะไม่คุ้นชิน หม่อมฉันไปใช้ของตนเองจะค่อนข้างสะดวกกว่า”

        เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ตรงเข้าไปยังตำหนักฝูอวิ๋น

        หากไม่ได้รับอนุญาตจากเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็ไม่กล้ากลับไปที่เรือนอวิ๋นไค ดังนั้นนางจึงเดินตามเยี่ยโยวเหยาไปที่ตำหนักฝูอวิ๋นด้วยใบหน้าไม่เต็มใจ

        ด้านหลังฉากกั้นห้อง ซูจิ่นซีแสร้งหลบได้เป็นครึ่งชั่วยามกว่าจะออกมา นางกลั้นหายใจจนหน้าเขียวเล็กน้อย หลังจากออกมานางก็ยังบ่นว่าไม่ชอบโถส้วมของตำหนักฝูอวิ๋น หาเรื่องจับผิดข้อบกพร่องได้มากมาย

        คืนนี้เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะมีความอดทนดีมาก เขาทำเพียงนั่งเงียบๆ บนเบาะผ้าและเล่นหมากรุกเพียงผู้เดียว

        ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยานั้นรักความสะอาดมากเพียงใด

        อย่าว่าแต่ผู้อื่นจะมาใช้โถส้วมของเขาได้เลย แม้แต่ตำหนักฝูอวิ๋นนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาอยากจะเข้าก็เข้ามาได้ เคยมีทหารองครักษ์ผู้หนึ่งของเยี่ยโยวเหยา เท้าของเขาเปื้อนโคลนและน้ำที่ลานในจวน เมื่อเขาเข้ามาในตำหนักฝูอวิ๋นเพื่อรายงาน ก็ถูกเยี่ยโยวเหยาสั่งให้ประหารทันที

        “ท่านอ๋อง ดึกเพียงนี้แล้ว ท่านให้หม่อมฉันมามีเรื่องอันใดหรือเพคะ? ”

…..

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset