ซูจิ่นซีหลับลึกมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังฝันอีกด้วย
ในฝันนั้น นางเดินเตร่อยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่ปกคลุมไปด้วยควันและหมอกลอยเป็นเกลียวขึ้นไป ภาพลวงตาล่องลอยยาวนาน ทิวทัศน์โดยรอบเดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จ หลอกหลวงหรือแท้จริง ราวกับฝันดั่งจินตนาการ
“มีผู้ใดอยู่หรือไม่? มีผู้ใดอยู่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีตะโกนอยู่ในหมอกมัว ทว่ารอบข้างกลับเงียบสงัดไม่มีผู้ใดตอบกลับมา
สุดท้ายในส่วนลึกของป่าไผ่ นางก็มองเห็นทะเลสาบสีมรกต หมอกลอยระเรี่ยอยู่เหนือผิวน้ำ ทำให้มองทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนัก
ริมทะเลสาบสีมรกต ซูจิ่นซีเห็นสถานที่คล้ายกับแท่นบูชา แม้ว่านางจะยืนอยู่ไกล ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกถึงพลังมหัศจรรย์และแข็งแกร่งกำลังเรียกนาง นางจึงเดินไปยังแท่นบูชาทีละก้าวๆ
ใจกลางแท่นบูชา ซูจิ่นซีเห็นผลึกแก้วสลักเป็นรูปดอกไม้ คาดไม่ถึงว่าลักษณะของดอกไม้ผลึกแก้วนั้นจะเหมือนกันทุกประการกับดอกไม้ที่สลักบนกำไลข้อมือที่นางบังเอิญเจอในตลาดมืดอย่างไรอย่างนั้น ทว่ามีบางสิ่งที่แปลกไป ผลึกแก้วดอกปี่อั้นนั้นคาดไม่ถึงว่ากลีบดอกจะหายไปถึงเจ็ดกลีบ
ด้านข้างของผลึกแก้วดอกปี่อั้น ซูจิ่นซีเห็นตัวอักษรมหัศจรรย์บางอย่าง
ในคราแรกตัวอักษรนั้น มองดูแล้วล้วนชัดเจน ทว่าเมื่อซูจิ่นซีคิดจะมองเนื้อหาของตัวอักษรให้กระจ่างกลับมองอย่างไรก็มองไม่ชัด สิ่งที่ตามมาคือ ยิ่งนางต้องการจะดูเนื้อหาของตัวอักษรมากเท่าไร กำไลข้อมือปี่อั้นบนข้อมือของนางก็ยิ่งกระชับแน่นขึ้นเท่านั้น ในที่สุดตัวอักษรนั้นก็กลายเป็นแสงจ้า ซูจิ่นซีกรีดร้องขึ้นทันใด นางถูกแสงนั้นผลักออกมาจากแท่นบูชาและตกลงไปในทะเลสาบมรกต
“อย่า… ”
ศีรษะของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยเหงื่อ นางตกใจตื่นขึ้นมาจากฝัน
เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด รับรู้ได้ว่าตนเองกำลังหลับอยู่ในเรือนอวิ๋นไค ซูจิ่นซีจึงตระหนักได้ว่านางเพียงแค่ฝันไป
ซูจิ่นซีปาดเหงื่อเย็นเฉียบออกจากหน้าผาก แล้วสูดหายใจลึกๆ หนึ่งที
ขณะที่นางจะซุกตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มเพื่อหลับต่อ นางก็ต้องตกใจกับเงาสีดำที่อยู่ตรงหน้านาง
“ท่าน… ท่านอ๋อง??? ”
เยี่ยโยวเหยา?
บุคคลที่มีใบหน้าเย็นชาชั่วร้ายผู้นี้เข้ามาในห้องของนางตั้งแต่เมื่อไร เขายืนอยู่ตรงนี้โดยไม่ส่งเสียงได้อย่างไร?
ตกใจหมดเลย!
เขายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว?
เยี่ยโยวเหยายังไม่ยอมพูด ซูจิ่นซีตะโกนเสียงดังราวกับหมูถูกเชือด นางเอาผ้าห่มมาคลุมร่างซ่อนตัวอยู่ใต้นั้น
“ท่านอ๋องไม่นอนหรือเพคะ? ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ออกมาทำอันใด? ไม่รู้หรือว่าหญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน? ท่านยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรแล้ว? มองเห็นสิ่งใดไปแล้วบ้างเพคะ? ”
หลังจากที่ซูจิ่นซีตื่นตูมไปชุดใหญ่จึงตระหนักได้ว่าร่างกายของตนเองเปลือยเปล่า นางไม่ได้สวมสิ่งใดเลย นอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีสิ่งใดคลุมเลยเช่นนั้น
และเยี่ยโยวเหยาก็ยืนอยู่ด้านข้างเตียงของนาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ได้เห็นสิ่งใดไปบ้าง
ทันใดนั้นทั่วร่างกายของซูจิ่นซีก็ร้อนผ่าวราวกับกุ้งตัวใหญ่ที่ถูกวางไว้บนเตา นางซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม คิดอย่างจริงจัง ว่าชีวิตนี้จะไม่ออกมาแล้ว
เยี่ยโยวเหยาหันหลังให้นาง มือทั้งสองไพล่หลัง ส่งเสียงแผ่วเบาชวนสงบจิตสงบใจ แต่คาดไม่ถึงว่าจะพูดจากวน… ออกมา “มานานแล้ว สิ่งใดที่ควรเห็น สิ่งใดที่ไม่ควรเห็น ก็เห็นหมดแล้ว! ”
“เยี่ยโยวเหยา พอแล้วเพคะ! ท่านมียางอายบ้างหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีลุกออกมาจากผ้าห่ม พูดกับแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยา
ทว่าคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะทำราวกับตนเองไม่ได้ทำอันใดเสียอย่างนั้น กลับกล่าวอย่างเย็นชา “ภายในเวลาหนึ่งถ้วยชา [1] สวมเสื้อผ้าแล้วไปกับข้า”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดว่าท่านเป็นผู้ใดกัน? เป็นท่านอ๋องแล้วจะสามารถละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ? ดึกดื่นเพียงนี้ ท่านคิดว่าท่านจะให้ข้าทำอันใดแล้วข้าต้องทำตามหรืออย่างไร? แม้แต่ผู้ที่ตกลงทำสัญญาขายร่างกายตนเองยังมีเวลาส่วนตัวเลย เวลาส่วนตัว ท่านเข้าใจหรือไม่? ”
ดึกดื่นค่อนคืนถูกบุรุษเข้ามาในห้องตามอำเภอใจ แล้วยังเห็นทุกสิ่งทุกอย่างของตนเองหมดแล้ว ซูจิ่นซีโกรธมาก
“เวลาส่วนตัว? เจ้าแน่ใจหรือว่าจะหารือกับข้าเรื่องปัญหาสิทธิมนุษยชนนี้? ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด! ”
เสียงของเยี่ยโยวเหยาช่างเย็นชาไร้อารมณ์ ซูจิ่นซีตื่นตัวมากขึ้น นางรู้สึกถึงกลิ่นอายของความโกรธที่กดดันอยู่รอบตัวเยี่ยโยวเหยา ร่างกายของนางสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที “เยี่ยโยวเหยา ท่าน…ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้หันมา! ”
จากนั้นซูจิ่นซีก็ดึงเสื้อผ้าด้านข้างขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็วด้วยความไม่สบอารมณ์
ยังไม่ทันถึงเวลาหนึ่งถ้วยชา ซูจิ่นซีก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นางเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาหันกลับมา สีหน้าดูแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างกายของซูจิ่นซีเพียงครู่เดียว ก่อนจะหันหลังเดินลงบันไดไป
ซูจิ่นซีมองไปที่ด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาแล้วทำปากมุ่ย นางทำหน้าล้อเลียนแล้วเดินตามหลังเขาไป
ก่อนจะเดินออกไป ซูจิ่นซีก็นึกถึงฝันเมื่อกี้ขึ้นได้อย่างกะทันหัน นางมองกำไลข้อมือปี่อั้นที่อยู่บนข้อมือของตนเองอย่างสงสัย
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แม่นมฮวาและลวี่หลียังคงหลับอยู่ชั้นล่าง ดูเหมือนจะหลับลึกมากเสียด้วย คาดไม่ถึงว่าเสียงร้องดังของซูจิ่นซีไม่สามารถทำให้พวกนางตื่นขึ้นมาได้เลย
เดิมทีซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยามาหานางดึกดื่นด้วยท่าทีรีบร้อนเช่นนี้ อีกทั้งยังพานางออกมาจากเรือนอีก จะต้องมีเรื่องสำคัญอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่
ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาเพียงแค่เดินออกจากเรือนอวิ๋นไค เพื่อที่จะตรงไปยังตำหนักฝูอวิ๋น
เยี่ยโยวเหยาผู้นี้ คิดจะทำสิ่งใดกันแน่?
เมื่อมองไปยังตำหนักฝูอวิ๋นที่เย็นยะเยือกและเงียบสงบ ไม่มีความอบอุ่นหรือแสงสว่างใดๆ นั้น แผ่นหลังของซูจิ่นซีก็เย็นยะเยือกอย่างไม่มีเหตุผล
นางนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นได้อย่างกะทันหัน ‘ดึกดื่นค่อนคืน ชายหญิงอยู่ด้วยกันในห้อง ไม่เป็นเรื่องดีเลย’
นางคิดหลงตนเองจนตัวเอียงแล้ว
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตั้งใจจะเรียกให้นางไปปรนนิบัติที่ห้องนอนหรอก ใช่หรือไม่?
ดูเหมือนว่าในสมัยโบราณ ความคิดของคนหัวโบราณล้าสมัยที่ในตอนกลางคืน ท่านอ๋องจะต้องหาสตรีมาปรนนิบัติที่ห้องนอน โดยเฉพาะสตรีที่มีฐานะในจวนตนเอง
“เอ่อ ท่านอ๋อง พวกเรามีเรื่องอันใดเพคะ สามารถที่จะคุยกันพรุ่งนี้ได้หรือไม่? ”
“หือ? ”
เยี่ยโยวเหยาหันกลับมาอย่างเย็นชาและขมวดคิ้วมองซูจิ่นซี
“โอ้ย ท่านอ๋อง ท้องของหม่อมฉัน จู่ๆ ก็ปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันเพคะ! หม่อมฉันต้องการเข้าห้องส้วม ไม่ไหวแล้ว… ไม่ไหวแล้ว! ”
ซูจิ่นซีจับท้องตนเองทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางหันหลังต้องการกลับไปที่เรือนอวิ๋นไค
“ห้องสวมอยู่ทางทิศตะวันออก”
เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างเย็นชา
“เอ่อ… ท่านอ๋อง กลางดึกหม่อมฉันไปห้องส้วมผู้เดียวก็กลัว ชั้นบนมีโถอยู่ หม่อมฉันใช้โถนั่นก็พอแล้วเพคะ! ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังด้านตะวันออกที่มืดมิด
“ตำหนักฝูอวิ๋นก็มี! ”
เสียงเยี่ยโยวเหยาก็ยังคงเย็นชา
“หา? ” ซูจิ่นซีตกใจเล็กน้อย นางกล่าวอย่างลำบากใจ “ไม่ดีกระมัง? ท่านอ๋อง โถของผู้อื่นจะให้หม่อมฉันใช้ก็คงจะไม่คุ้นชิน หม่อมฉันไปใช้ของตนเองจะค่อนข้างสะดวกกว่า”
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใด ตรงเข้าไปยังตำหนักฝูอวิ๋น
หากไม่ได้รับอนุญาตจากเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็ไม่กล้ากลับไปที่เรือนอวิ๋นไค ดังนั้นนางจึงเดินตามเยี่ยโยวเหยาไปที่ตำหนักฝูอวิ๋นด้วยใบหน้าไม่เต็มใจ
ด้านหลังฉากกั้นห้อง ซูจิ่นซีแสร้งหลบได้เป็นครึ่งชั่วยามกว่าจะออกมา นางกลั้นหายใจจนหน้าเขียวเล็กน้อย หลังจากออกมานางก็ยังบ่นว่าไม่ชอบโถส้วมของตำหนักฝูอวิ๋น หาเรื่องจับผิดข้อบกพร่องได้มากมาย
คืนนี้เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะมีความอดทนดีมาก เขาทำเพียงนั่งเงียบๆ บนเบาะผ้าและเล่นหมากรุกเพียงผู้เดียว
ทว่าซูจิ่นซีกลับไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยานั้นรักความสะอาดมากเพียงใด
อย่าว่าแต่ผู้อื่นจะมาใช้โถส้วมของเขาได้เลย แม้แต่ตำหนักฝูอวิ๋นนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาอยากจะเข้าก็เข้ามาได้ เคยมีทหารองครักษ์ผู้หนึ่งของเยี่ยโยวเหยา เท้าของเขาเปื้อนโคลนและน้ำที่ลานในจวน เมื่อเขาเข้ามาในตำหนักฝูอวิ๋นเพื่อรายงาน ก็ถูกเยี่ยโยวเหยาสั่งให้ประหารทันที
“ท่านอ๋อง ดึกเพียงนี้แล้ว ท่านให้หม่อมฉันมามีเรื่องอันใดหรือเพคะ? ”
…..