สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 7 คิดถึงสิ่งใดสิ่งนั้นก็ปรากฏทันที

        ซูจ้งกัดฟันกรอดพร้อมทั้งหันไปต่อว่าเหล่าบ่าวรับใช้หญิงชรา “พวกเจ้ายังไม่รีบมารับใช้ถอดรองเท้าลายปักให้คุณหนูใหญ่อีก! ”

        เหล่าหญิงชราล้วนเป็นข้ารับใช้ให้กับสกุลซู ดังนั้นคำสั่งของซูจ้งจึงถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดสำหรับพวกนาง เหล่าข้ารับใช้รู้กันทันทีว่า ‘รับใช้ ’ สองคำนี้หมายความว่าอย่างไร จึงรีบเข้ามาอย่างว่องไว

          “ล่วงเกินพี่หญิงใหญ่แล้ว! ”

        ฮั่วซื่อคิดจะห้ามเหล่าหญิงชรา ทว่าเมื่อนางไตร่ตรองดูแล้ว สิ่งที่ซูจิ่นซีพูดก่อนหน้านี้ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก ซ้ายขวาของนางก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้ ถึงอย่างไรสกุลของฮั่วซื่อก็มีอิทธิพล เพียงแต่ว่าซูจิ่นซีมีอำนาจเป็นพระชายาของโยวอ๋องก็เท่านั้น

        ซูจิ่นซีในเวลานี้เข้าใจกระจ่าง แตกต่างจากคนโง่ที่เคยถูกข่มเหงดังเช่นที่ผ่านมา หากฮั่วซื่อต้องการปกป้องซูเซียนฮุ่ยคงต้องคิดวางแผนให้ยาว

        เมื่อไม่มีฮั่วซื่อคอยห้ามปรามสักคน ซูเซียนฮุ่ยแม้อยากที่จะขัดขวางก็ไม่มีประโยชน์อันใด เหล่าหญิงชราต่างก็รีบถอดรองเท้าลายปักของซูเซียนฮุ่ยออก

        เมื่อผู้คนเห็นว่าพื้นรองเท้าของซูเซียนฮุ่ยและฮั่วอวี้ต่างมีคราบโคลนจากริมสระน้ำและหญ้าหวู่จูเช่นเดียวกันก็ล้วนแตกตื่นตกใจ

        ฮั่วซื่อหลับตาลงอย่างหมดแรง

        ซูจ้งทำหน้าราวกับพบเจอเรื่องน่าผิดหวังที่สุดในชีวิตของตน

        ทว่าเรื่องพลิกผันถึงเพียงนี้แล้ว แม้ผลลัพธ์เรื่องนี้จะไม่เป็นไปตามที่ทุกคนคาดไว้ ทว่ามันก็ดูสมเหตุสมผลดี

        เรื่องที่สองแม่ลูกทำช่างไร้จิตสำนึกเหลือเกิน เช่นนี้แล้วยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ที่พวกนางทำไม่ได้?

        ทว่าเรื่องที่คาดไม่ถึงคือ ซูเซียนฮุ่ยจะฆ่าได้แม้กระทั่งคนของสกุลฮั่ว

        ซูจิ่นซียิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใด

        ซูเซียนฮุ่ยคุกเข่าลงบนพื้น กอดขาฮั่วซื่อแล้วร้องไห้ “ช่วยด้วยท่านแม่ ช่วยข้าด้วย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ พี่ฮั่วมันคิดร้ายกับข้าก่อน มันคิดจะหยามข้า ข้าทำไปเพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น… ”

        ซูเซียนฮุ่ยยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฮั่วซื่ออุดปากของนางไว้ ฮั่วซื่อมองทุกคนด้วยหางตา “ออกไปให้หมด นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า! ”

        สำหรับฮั่วซื่อ สตรีผู้โหดเหี้ยมและเป็นใหญ่ในสกุลนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของนาง แม้แต่ซูเมิ่งเหยาและอนุซุนต่างก็ลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างคนขี้ขลาด

        เมื่อทุกคนเดินมาถึงหน้าประตู ฮั่วซื่อก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ หากมีผู้ใดกล้าเปิดเผยออกไปแม้แต่คำเดียว อย่ามาโทษว่าฮูหยินอย่างข้าไม่ไว้หน้าเช่นแต่ก่อนก็แล้วกัน! ”

        ผู้คนที่ทราบวิธีการของฮั่วซื่อดีต่างก็เอ่ยรับคำเป็นเสียงเดียวกันและรีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันที

        นอกเหนือจากศพของฮั่วอวี้ที่นอนอยู่บนพื้นก็เหลือเพียงฮั่วซื่อ ซูเซียนฮุ่ย และซูจ้ง ฮั่วซื่อปล่อยมือที่ปิดปากซูเซียนฮุ่ยออก นางพร้อมเทหมดหน้าตักเพื่อสู้กับซูจิ่นซี

        “เซียนฮุ่ยคือบุตรสาวของข้า ข้าย่อมต้องปกป้องนาง เจ้าต้องการสิ่งใดก็พูดมา! ”

        ซูจิ่นซีชอบใจยิ่งนักที่ได้คบหากับคนฉลาดและตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทว่าไม่ได้หมายความว่าฮั่วซื่อจะมีสิทธิ์คิดร้ายและข่มเหงรังแกใครต่อใครได้

        ทว่าซูจิ่นซีเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ในจวนสกุลซูนี้ ฮั่วซื่อมีอำนาจและอิทธิพลมากเพียงใด แม้นางคิดอยากตอบแทนความแค้นในอดีต คิดอยากกำจัดฮั่วซื่อและซูเซียนฮุ่ยให้ถึงที่สุด ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน เรื่องนี้ยังต้องใช้เวลาในการวางแผนอีกนาน

        หากในภายภาคหน้านางสามารถยืนหยัดอยู่ในจวนของโยวอ๋องได้ ก็ค่อยคิดจัดการกับเหล่าปีศาจในสกุลซูพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดายกว่าหรือ?

        เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูจิ่นซีจึงกล่าวว่า “ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในใจของท่านแม่คงทราบดี ข้าไม่สามารถเป็นแพะรับบาปแทนผู้ใดอย่างไร้ค่าได้”

        “ใช่ ใช่ ใช่ ในที่สุดเรื่องราวนี้ก็ราวกับน้ำลดตอผุด เพราะอวี้เอ๋อร์มัวแต่เล่นระเริง ไม่ทันระวังจึงพลัดตกสระบัวเสียชีวิต เป็นธรรมดาปกติที่… จิ่นซีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สักนิด! ”

        ซูจิ่นซีชะงักไปชั่วครู่ วิธีจัดการของฮั่วซื่อนี้ช่างเด็ดขาดเสียจริง โหดร้าย สามารถเปลี่ยนเรื่องจากหน้ามือเป็นหลังมือดังเช่นการขโมยคานแล้วเปลี่ยนเป็นเสาเช่นนี้

        ซูจิ่นซีได้แต่ถอนหายใจ แล้วพูดต่อว่า “ เรื่องที่พี่หญิงใหญ่ดูถูกข้าก็ให้แล้วไปเถิด คาดไม่ถึงว่าจะบังอาจสาปแช่งท่านอ๋อง เรื่องนี้ถึงแม้ว่าท่านแม่จะไม่ไต่สวนหาความแล้ว เกรงว่าหากเรื่องนี้ได้ยินไปถึงหูโยวอ๋อง ท่านอ๋องคงไม่ปล่อยไว้เป็นแน่”

        ฮั่วซื่อจ้องไปที่ซูจิ่นซีอย่างโหดเหี้ยม

        “ลูกหมายความว่า พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องรับโทษตาย ทว่าก็ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างง่ายดายนัก ความผิดนี้จะติดตัวพี่หญิงไปจนตายอย่างนั้นหรือ?”

        ซูจิ่นซีตอบรับโดยการยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย

        ฮั่วซื่อแทบอยากกระโจนเข้าไปบีบคอซูจิ่นซีให้ตายคามือ แม้ปากอยากจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด กลับทำได้เพียงกลืนมันลงไปในคอเท่านั้น

        “เซียนเอ๋อร์ปากไม่มีหูรูด พูดจาเพ้อเจ้อ ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ข้าขอสั่งให้เจ้าไปคุกเข่าในห้องสำนึกผิดเป็นเวลา 1 เดือน และห้ามออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว”

        “ท่านแม่… ”

        ซูเซียนฮุ่ยหน้าซีดขึ้นมาทันใด นางคิดที่จะคัดค้านแต่กลับถูกฮั่วซื่อมองกลับมาอย่างโหดเหี้ยม

        หนึ่งชีวิตที่ต้องสูญเสียไป แลกกับการให้คุกเข่าในห้องสำนึกผิด 1 เดือน ซูเซียนฮุ่ยจะสบายเกินไปแล้ว

        เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าการตายของฮั่วอวี้ เป็นเพราะซูเซียนฮุ่ยและฮั่วอวี้ที่ร่วมมือกัน คิดหวังทำลายความบริสุทธิ์ของซูจิ่นซี ทว่าซูเซียนฮุ่ยกลับถูกฮั่วอวี้หยามนางเสียเอง เพื่อปกป้องตนเอง จึงเป็นเหตุให้ซูเซียนฮุ่ยพลั้งมือฆ่าฮั่วอวี้ หลังจากนั้นจึงคิดจะโยนความผิดให้ซูจิ่นซีเป็นแพะรับบาป

        ซูจิ่นซีล้างมลทินให้ตัวนางแล้ว ส่วนฮูหยินฮั่วซื่อและบุตรสาว หากในอนาคตมีโอกาสอีกครั้ง ซูจิ่นซีจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดลอยไปง่ายๆอีกแน่นอน

        เรื่องราวจนกระทั่งบัดนี้ ซูจิ่นซีเบื่อจนไม่อยากจะมองหน้าฮั่วซื่อและซูเซียนฮุ่ยแล้ว

        “ท่านแม่ ถ้าไม่มีเหตุอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับห้องก่อน”

        ฮั่วซื่อไม่ได้เอ่ยตอบ ซูจิ่นซีมุ่งตรงออกประตูไป

        เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ซูจิ่นซีก็หันหลังกลับมามองฮูหยินฮั่วซื่อและพี่หญิงใหญ่ของตนอย่างขยะแขยง

        “พี่หญิงใหญ่ยังจำได้หรือไม่ว่า ครั้งก่อน ท่านได้พบกับไท่จื่อที่ห้องสวนหลังจวน ไท่จื่อทรงสัญญาว่าจะพาท่านเข้าตำหนักบูรพา ทว่าเรื่องราวยังไม่แน่นอน ในเมื่ออีก 3 วันข้างหน้าจะถึงพิธีอภิเษกสมรสระหว่างข้ากับโยวอ๋องแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ท่านแม่เตรียมค่าสินเดิมเจ้าสาวไว้ให้ท่าน ท่านก็มอบมันให้ข้าก่อนเถิด! แม้เพียงเศษสตางค์ก็อย่าให้ขาดไป! ”

        “สินเดิมเจ้าสาวของเจ้า แม่ได้เตรียมไว้ให้เจ้าตั้งนานแล้ว เจ้าจะเอ่ยถึงสินเดิมเจ้าสาวของเซียนเอ๋อร์ทำไม? ”

        ฮั่วซื่อกัดฟันข่มความอดทน

        “หากท่านแม่ทำใจไม่ได้เรื่องค่าสินเดิมเจ้าสาว ก็ให้พี่หญิงใหญ่อภิเษกเองเสียสิ ถึงอย่างไรพิษบนใบหน้าของข้า ไม่ต้องรอให้ถึงวันส่งตัวเข้าหอ นับวันมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นอยู่แล้ว ยิ่งช่วงเวลาเช่นนี้อาการจะกำเริบจนถึงตายเมื่อไรข้าก็ไม่อาจทราบได้”

        เมื่อมีแต้มต่ออยู่ในมือ ซูจิ่นซีจึงยิ้มอย่างน่ากลัวขึ้นมา

        ฮั่วซื่อโกรธถึงขั้นจิกเล็บลงไปบนฝ่ามือตนเอง “ได้ ตราบใดที่เจ้าประสงค์จะเข้าพิธีสมรส เรื่องสินเดิมเจ้าสาวทองหมั้นให้เป็นเรื่องของข้าจัดการเอง”

        ทว่า ณ เวลานี้ก็ยังไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นองครักษ์เงาที่ลักลอบเข้ามาในชายคาจวนสกุลซูอย่างเงียบเชียบ และหายไปอย่างเงียบสงัด

        ……

        หลังออกมาจากห้องโถงใหญ่ ซูจิ่นซีก็ตระหนักได้ทั้งกายและใจว่า เบื้องหลังสกุลต่างๆ ในสมัยโบราณนี้ช่างยุ่งยากและน่าหวาดกลัวเสียจริง

        ยังไม่ทันจะก้าวเท้า ลวี่หลีก็โผล่พรวดออกมาจากด้านหลังพุ่มดอกไม้ มองดูแล้วคล้ายกับว่าพึ่งผ่านการร้องไห้มา

        ซูจิ่นซีถูกดึงเข้าไปใกล้ตัว “คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมา ข้ากังวลแทบแย่เจ้าค่ะ ผู้คนต่างก็กล่าวว่าอาการป่วยของท่านดีขึ้นแล้ว เป็นจริงใช่หรือไม่เจ้าคะ? ”

        ซูจิ่นซีชำเลืองมองพร้อมถอนหายใจเฮือก เจ้าของร่างเดิมนี่ช่างโง่เง่าเสียจริง อยู่ในจวนสกุลซูเองก็ได้รับความทุกข์ไม่น้อย ทว่าลวี่หลีกลับอยู่ข้างนางไม่จากไปไหน เป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์และอยู่เคียงข้างนางมาโดยตลอด คนเช่นนี้จะหาจากที่ใดได้อีกเล่า

        เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูจิ่นซีก็ยื่นมือเช็ดน้ำตาให้ลวี่หลีเล็กน้อย

        “เด็กโง่ เจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว ข้าดีขึ้นมากแล้วละ นับจากนี้จะไม่มีใครมารังแกพวกเราได้อีกแล้ว”

        ลวี่หลีร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ซูจิ่นซีถึงกับต้องกุมขมับอีกครั้ง สตรีสมัยโบราณร้องไห้เก่งกระไรเช่นนี้?

        หลังจากกลับมาถึงจวนข้างลานดอกบัวที่เป็นตำหนักของนาง ซูจิ่นซีส่องดูใบหน้าตนเองในกระจกแกะสลักลวดลาย แท้จริงแล้วใบหน้าของนางปรากฏรอยพิษร้ายอันน่าหวาดกลัว มันปิดบังใบหน้าซีกขวาที่แท้จริงของนางไปเกือบครึ่งเลยทีเดียว

        ไม่แปลกใจเลยที่ฮั่วอวี้และซูเซียนฮุ่ยต่างก็บอกว่านางขี้ริ้วขี้เหร่ เช่นนี้นี่เองจึงทำให้ผู้คนที่เห็นใบหน้าของนางพากันตกใจกลัว

        ส่วนประกอบของสารพิษนี้ช่างซับซ้อน ทว่าซูจิ่นซีเริ่มเข้าใจระบบถอนพิษบ้างแล้ว นางใช้เวลาในการนั่งคิดวิเคราะห์มาระยะหนึ่ง กระทั่งได้รู้จากการนำพิษมาตรวจสอบ แท้จริงแล้วมันคือพิษเจ็ดแมลงเจ็ดสี

        พิษชนิดนี้ไม่ได้ถ่ายทอดทางสายเลือด ทว่าในทางกลับกันมันเป็นพิษที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางกำเนิดขึ้นมา ยิ่งกว่านั้นยังเป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า พิษเรื้อรังชนิดนี้ไม่สามารถเป็นได้ในชั่วข้ามคืน

        หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ รอบตัวของซูจิ่นซีมีผู้ประสงค์ร้ายแฝงตัวอยู่ พวกนกต่อเหล่านี้ให้ยาพิษเรื้อรังแก่นาง

        หากไม่กำจัดรอยพิษออกจากร่างกายโดยเร็วที่สุดแล้วละก็ มันอาจส่งผลอันตรายต่อชีวิตของนางเป็นแน่

        ทว่าการกำจัดพิษชนิดนี้ออกไป ต้องอาศัยตัวยาถึง 7 ชนิด ในเวลานี้ระดับชั้นความสามารถระบบถอนพิษของซูจิ่นซียังไม่เพียงพอ และนางยังหาวัตถุดิบแก้พิษไม่ครบ ขาดอีกเพียง 2 ชนิดเท่านั้นคือสมุนไพรตงเออเออเจียว [1] และไป๋ลู่เฉ่า [2]

        ทั้งสองสิ่งนี้เป็นส่วนประกอบทางการแพทย์อันล้ำค่า

        ไป๋ลู่เฉ่าเป็นกล้วยไม้หายากในยุคโบราณ ซูจิ่นซีเคยได้เห็นเพียงภาพที่ร่างไว้เท่านั้น ทว่าไม่เคยได้เห็นมันด้วยตาของตนเอง

        ส่วนตงเออเออเจียว ช่วยในการบำรุงเลือด การไหลเวียนเลือด และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ดังนั้นมันจึงเป็นที่นิยมมากเพราะผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม ทว่ามีราคาสูง ในยุคโบราณมีเพียงในพระราชสำนักหรือตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้นที่จะสามารถมีไว้ในครอบครองได้ ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในห้องโถง ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีตรวจสอบได้ว่าร่างกายของอนุซุนมีท่าทีแสดงให้เห็นว่าเคยใช้เครื่องปรุงยาจีนนี้มาก่อน

        เป็นไปได้ว่าตงเออเออเจียวมีอยู่ในจวนของสกุลซู ทั้งยังอยู่ในมือของอนุซุน

        ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น ลวี่หลีก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

        “คุณหนูเจ้าคะ ดูท่าไม่ดีเสียแล้ว อนุซุนกำลังมาที่จวนของเราเจ้าค่ะ”

        ซูจิ่นซียิ้มและเลิกคิ้วโก่งขึ้นอย่างชั่วร้าย นึกถึงสิ่งใดสิ่งนั้นก็ปรากฏทันทีเลยหรือนี่!

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset