ซูจิ่นซีที่ไม่เป็นวรยุทธ์แม้แต่น้อย เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่นางจะขโมยยาไป๋ลู่เฉ่าโดยการบินกระโดดข้ามกำแพงเหมือนในละครต่อสู้ของผู้มีวรยุทธ์ ดังนั้นการที่จะได้ยาไป๋ลู่เฉ่ามาก็คือนางจะต้องเป็นผู้ไปหาซูเมิ่งเหยาด้วยตนเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูจิ่นซีเดินไปหาซูเมิ่งเหยาที่เรือนของนาง
ซูเมิ่งเหยาขอบตาดำอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนางจะนอนไม่ค่อยหลับ เมื่อนางเห็นซูจิ่นซีปรากฏตัวที่เรือนของนางในเวลานี้ ก็ดูจะประหลาดใจเล็กน้อย
“น้องเจ็ดมาเรือนของข้าหรือ? ”
“ก่อนหน้านี้ที่พี่หญิงใหญ่ใส่ความข้า ทว่าโชคดีที่ท่านพี่พูดแทนข้า วันนี้น้องสาวจึงมาหาเพื่อขอบคุณในน้ำใจของท่าน! ”
ซูจิ่นซียิ้มอย่างอ่อนโยน
เพียงแต่ในเวลานี้ ยามที่ซูเมิ่งเหยามองซูจิ่นซี นางรู้สึกไม่เป็นตัวเองเล็กน้อย “ข้าเองเดิมทีไม่ได้ตั้งใจพูดแทนเจ้า เพียงอยากหาความจริงเท่านั้น อีกอย่างข้าไม่ได้ช่วยอันใดเจ้ามากมาย อาการป่วยของน้องเจ็ดหายดีแล้ว ก็เป็นเรื่องน่ายินดีของคนในจวนเรา”
คำพูดของซูเมิ่งเหยาช่างสวยหรู ทว่าซูจิ่นซีรู้ดีว่าซูเมิ่งเหยาเป็นคนปลิ้นปล้อน คำพูดไม่เคยฆ่าคน ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบว่าจริงเท็จหรือไม่
ขณะที่กำลังพูดคุยกับซูเมิ่งเหยา ซูจิ่นซีก็กวาดสายตาเสาะหาของสำคัญในเรือนของซูเมิ่งเหยาไปด้วย
จนกระทั่งสังเกตถึงห้องนั่งเล่นของซูเมิ่งเหยา ทว่าระบบถอนพิษของซูจิ่นซีก็ยังไม่รับรู้ว่าไป๋ลู่เฉ่าอยู่ที่ใด
บางทีตัวยาอาจถูกซ่อนไว้ เช่นนี้ซูจิ่นซีจึงไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้ หรืออาจเป็นไปได้ว่ายาไป๋ลู่เฉ่า เดิมทีไม่ได้อยู่ในเรือนของซูเมิ่งเหยาอยู่แล้ว
ซูจิ่นซีส่งสัญญาณให้ลวี่หลีลอบดูที่รอบนอกเรือนได้ตามแต่ใจ เพื่อค้นหายาไป๋ลู่เฉ่าที่อาจตกหล่น
หลังจากเข้าไปในห้องนั่งเล่น ซูจิ่นซีและซูเมิ่งเหยาก็สนทนากันไปสักพัก ซูเมิ่งเหยาดูราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก ซูจิ่นซีจึงอาศัยโอกาสนี้รวบรวมพลังตามหายาอยู่นาน ความเป็นจริงยาไป๋ลู่เฉ่าไม่ได้อยู่ในเรือนของซูเมิ่งเหยา ทว่าในทางกลับกันซูจิ่นซีกลับพบสถานที่แปลกๆ ในเรือนนี้ แค่เรือนหลังหนึ่งของคุณหนูในจวนแพทย์ คาดไม่ถึงว่าด้านในจะปลูกหญ้าพิษไว้มากมายเพียงนี้
หญ้าพิษเหล่านี้ นอกจากจะมีพิษแล้ว ยังสามารถใช้เป็นยารักษาไปในตัวได้ ทว่าการที่ปลูกหญ้าพิษเหล่านี้ไว้รวมกันมากมายเพียงนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกใช่หรือไม่?
ยิ่งซูจิ่นซีพบเจอเรื่องเช่นนี้ ก็ยิ่งสรุปได้ว่าซูเมิ่งเหยาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
สุดท้ายแล้ว ซูจิ่นซีค่อนข้างมั่นใจว่ายาไป๋ลู่เฉ่าไม่ได้อยู่ในเรือนของซูเมิ่งเหยาจริงๆ
ในเมื่อไม่มียาไป๋ลู่เฉ่า ซูจิ่นซีก็ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่กับซูเมิ่งเหยาอีกต่อไป ซูจิ่นซีจึงเอ่ยลาอย่างเกรงใจสองสามประโยค ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
ทันใดนั้นซูเมิ่งเหยาก็เอ่ยขึ้นว่า “จิ่นซี เจ้ากับฝ่าบาทโยวอ๋อง… ”
คำพูดของซูเมิ่งเหยา แม้จะพูดออกไปเพียงแค่ครึ่งคำ ทว่าแค่นางอ้าปากซูจิ่นซีก็เข้าใจได้โดยทันทีว่า ซูเมิ่งเหยาหมายความถึงสิ่งใด
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแล้วทำเสียงสูงอย่างจงใจ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอันใดเลย “เจ้าคะ? ”
ซูเมิ่งเหยากัดฟันถามออกมาตรงๆ “จิ่นซี…เจ้าชอบพอโยวอ๋องใช่หรือไม่? เช่นนั้นจึงรับราชโองการอภิเษกสมรสกับท่านอ๋อง”
มิเช่นนั้น บุคคลเช่นโยวอ๋องที่ทั้งน่ากลัวและเย็นชา ผู้ชื่นชอบสร้างอุบายอันแปลกประหลาดทำให้ผู้คนหวาดกลัว กระทั่งหญิงสาวยังยอมตายดีกว่าหากต้องแต่งเข้าไป ทว่าเหตุใดซูจิ่นซีจึงทำท่าทางมีความสุขที่ได้รับราชโองการและยินยอมที่จะเข้าอภิเษกสมรสกับท่านอ๋องกันเล่า?
ซูจิ่นซียิ้มอย่างสดใส ใบหน้าของนางดูราวกับกำลังล้อเล่นทว่าก็ดูจริงจัง “พี่หญิงสี่ถามข้าเช่นนี้ หรือว่าท่านจะชอบโยวอ๋อง? ”
ร่างของซูเมิ่งเหยาชาวาบในทันที ใบหูของนางแดงระเรื่อและรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “น้องเจ็ดอย่ากังวลไปเลย พี่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งใบหน้าของโยวอ๋อง เช่นนั้นจะไปชอบท่านอ๋องได้อย่างไรกัน? ”
“ไม่ชอบก็ดีเจ้าค่ะ! ”
ซูจิ่นซียิ้มแปลกๆ ที่มุมปากราวกับไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด
ซูเมิ่งเหยามองดูแผ่นหลังซูจิ่นซีที่กำลังเดินจากไป นางรู้สึกเกลียดจนกัดฟันกรอด มือกำหมัดแน่น
ซูจิ่นซีเดินไปได้เพียงสองก้าว จู่ๆ เท้าก็เหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างแข็ง นางมองลงไปที่เท้า มันคือหยกกิเลนของโยวอ๋อง
นางไม่ได้คิดอันใดให้มากความ เมื่อก้มหยิบหยกนั้นขึ้นมาก็เดินกลับไปถามซูเมิ่งเหยา “หยกก้อนนี้สวยจริงเชียว ใช่ของท่านพี่หรือไม่? ”
ดวงตาของซูเมิ่งเหยาเบิกกว้างขึ้น
หยกกิเลน?
สิ่งนี้เป็นของที่เมิ่งเหยาตามหามานาน ที่ผ่านมานางไม่เคยหาหยกกิเลนพบเลย!
ตามตำนานแล้ว หยกกิเลนสามารถระดมพลังอำนาจได้มากมายมหาศาล
ราวกับยามที่ตั้งใจหา กลับหาไม่เจอ ยามไม่ตั้งใจหา กลับได้รับมาโดยบังเอิญ
ซูเมิ่งเหยารู้สึกดีใจจนแทบบ้า ไม่นึกเลยว่าเหตุใดจู่ๆ หยกกิเลนจึงมาถูกพบที่นี่ ในเวลาเดียวกันนั้นซูเมิ่งเหยาราวกับลืมเรื่องของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไปชั่วคราว นางเดินไปหาซูจิ่นซีด้วยรอยยิ้มที่สงบและรับหยกกิเลนมาจากมือของซูจิ่นซี
“เป็นของข้าจริงๆ! ดูความจำของข้าสิของหายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก! ”
ไม่ว่าซูจิ่นซีจะมองอย่างไร การแสดงออกของซูเมิ่งเหยาก็ดูแปลก ทว่าอย่างไรแล้ว หยกนี้ก็ถูกพบในเรือนของซูเมิ่งเหยา ซูจิ่นซีจึงไม่คิดติดใจอันใด นางหันหลังกลับและเดินออกจากเรือนไป
ทันใดนั้นองครักษ์เงาก็กระโดดลงมาจากหลังคา แท้จริงแล้วมันเป็นคำสั่งของเยี่ยโยวเหยาที่ได้วางแผนไว้ เพื่อค้นหาเงามืดเจ้าของหยกกิเลน
“เจ้าเป็นใครกัน? ”
ซูเมิ่งเหยาตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ความอ่อนโยนของนาง และเกียรติของการเป็นบุตรสาวคนที่สี่ของสกุลซูหายไปในทันที ดวงตาของนางเบิกโพลงขึ้นด้วยความตื่นตัว
องครักษ์เงาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซูเมิ่งเหยายังไม่ทันมองให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกเข็มฝังเข้าที่ลำคอ
“ในเมื่อคุณหนูซูเป็นเจ้าของหยกนี้ก็ไปกับข้าเสียเถิด! ”
หลังจากพูดจบ องครักษ์เงาก็พาดร่างซูเมิ่งเหยาไว้บนไหล่ของตนแล้วออกจากจวนสกุลซู เพื่อมุ่งหน้าไปยังจวนของโยวอ๋อง
เมื่อซูจิ่นซีและลวี่หลีกลับมายังสวนดอกบัวก็ถึงกับตกตะลึง พวกนางไปตามหายาไป๋ลู่เฉ่าที่เรือนของซูเมิ่งเหยา หาอย่างไรก็หาไม่พบ ทว่าเวลานี้ไป๋ลู่เฉ่ากลับมาวางอยู่บนโต๊ะในเรือนของนาง
“คุณหนู ท่านชายหรง จะต้องเป็นท่านชายหรงแน่ๆ เจ้าค่ะ ที่ช่วยหามาให้คุณหนู มิน่าเล่าพวกเราหาที่เรือนของคุณหนูสี่อย่างไรก็หาไม่พบ แท้ที่จริงท่านชายหรงนำมาให้แล้วนี่เอง! ”
ลวี่หลีกอดแขนของซูจิ่นซีแล้วส่งเสียงโห่ร้องและกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น นางนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกและจำไม่ได้ด้วยว่าใครคือท่านชายหรงที่ลวี่หลีเอ่ยถึง ถึงสองครั้งสองครา เขาเป็นใครกันแน่
“ท่านชายหรงหรือ? ”
ลวี่หลีเห็นท่าทางสงสัยของซูจิ่นซี “คุณหนู หรือว่าท่านจำไม่ได้แล้ว? ท่านชายหรงที่เมื่อก่อนมักแอบสอนทักษะแพทย์ให้คุณหนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ! ”
ซูจิ่นซียิ่งงงเข้าไปใหญ่ นางจำไม่ได้จริงๆ ว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่
หลังจากที่ได้ฟังลวี่หลีเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ซูจิ่นซีจึงเข้าใจว่าท่านชายหรงผู้นี้ ที่แท้ก็คือชายผู้ที่มีนิสัยคล่องแคล่วว่องไวราวกับเทพเซียน เขาเกิดในเทียนอีเหมินและแอบสอนทักษะทางการแพทย์ให้กับเจ้าของร่างเดิม จนทำให้เจ้าของร่างเดิมเรียกเขาว่าอาจารย์
เนื่องจากเจ้าของร่างเดิมที่เกิดมาโง่เขลา มีข้อจำกัดทางปัญญาจึงไม่สามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆได้มากนัก
ทว่าซูจิ่นซีกลับคิดว่า คนที่นางเรียกว่าท่านชายหรงผู้นี้จะต้องไม่ใช่คนดีเป็นแน่ ผู้ที่หลบๆ ซ่อนๆ คอยทำเรื่องต่างๆ เช่นนี้ย่อมต้องทำดีหวังผลเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นหากทักษะแพทย์ของเขายอดเยี่ยมอย่างที่ลวี่หลีพูดจริงๆ เหตุใดหลายปีมานี้จึงไม่คิดรักษาโรคโง่เซ่อของเจ้าของร่างเดิมให้หายขาด
ถึงจะบอกว่าโรคนี้รักษายาก อย่างน้อยก็ต้องรักษารอยพิษที่อยู่บนใบหน้าให้เจ้าของร่างเดิมไม่ใช่หรือ?
แพทย์ที่มีความสามารถไม่มากนักยังสามารถล้างพิษชนิดนี้ได้ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะรักษาไม่ได้
เมื่อได้ยาไป๋ลู่เฉ่า ซูจิ่นซีก็มีวัสดุยาที่จำเป็นสำหรับใช้ปรุงยาแก้พิษเจ็ดแมลงเจ็ดสีทั้งหมดครบแล้ว
ซูจิ่นซีกักตัวเองอยู่ในเรือน หยิบยาทั้งห้าชนิดออกมาจากระบบถอนพิษแล้วเริ่มกำหนดค่ายาเพื่อแก้พิษ
ส่วนซูเมิ่งเหยาที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของหยกกิเลนก็ถูกพาตัวเข้าไปในจวนโยวอ๋อง…