“ซูจิ่นซี เจ้าร้ายกาจนัก! ”
ซิ่งหลิวหลีกัดฟันกล่าว
“เช่นเดียวกัน! ” ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปากแล้วพูดกับฮั่วซืออวี่ที่อยู่ด้านข้างว่า “หัวหน้าขุนพลฮั่ว ต่อไปนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว จับเป็น โดยเฉพาะซิ่งหลิวหลี ”
“พระชายาวางใจได้พ่ะย่ะค่ะ! ”
ฮั่วซืออวี่ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอก โค้งคำนับแสดงความเคารพให้ซูจิ่นซีด้วยสายตาที่อ่อนโยน ทว่าเมื่อเขาหันไปมองซิ่งหลิวหลีกับทูตซ้ายชุดดำ แววตานั้นก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นอย่างยิ่ง
เดิมทีซูจิ่นซีได้พายอดฝีมือมาไม่น้อย และในเวลานี้ทหารองครักษ์ชั้นยอดจำนวนห้าร้อยนายจากค่ายทหารหู่เปินที่ฮ่องเต้พระราชทานให้นั้นก็มาถึงแล้ว รวมกับฮั่วซืออวี่อีกหนึ่งคนก็แทบไม่ต้องใช้กำลังอันใดให้มากมาย ซิ่งหลิวหลีและทูตซ้ายชุดดำก็ถูกจับกุมได้แล้ว
ซูจิ่นซีเดินไปหาซิ่งหลิวหลีทีละก้าวๆ อย่างเชื่องช้า ในแววตามีแต่ความเย็นชาและสงบนิ่ง
คราก่อนที่อยู่หอสุรา ไม่รู้ว่าเหตุใดยาสลบของซูจิ่นซีจึงใช้ไม่ได้ผลกับซิ่งหลิวหลี ดังนั้นนางจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของซิ่งหลิวหลีได้
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกันแล้วกระมัง? มีคนจำนวนมากคอยคุมตัวไว้ แม้จะติดปีกบิน…ซิ่งหลิวหลีก็ยากที่จะหนีรอดไปได้ ดังนั้นครั้งนี้ซูจิ่นซีจะต้องรู้ให้ได้ว่าซิ่งหลิวหลีเป็นผู้ใดกันแน่
ซิ่งหลิวหลีรู้ดีว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น นางจึงนิ่งสงบ ไม่ดิ้นรนอีกต่อไป และไม่หลบเลี่ยง นางมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างยั่วยุ
ทว่า ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังเอื้อมมือออกไปเปิดผ้าคลุมหน้าของซิ่งหลิวหลี ทันใดนั้นในใจของนางก็รู้สึกสับสนวุ่นวาย
หากซูจิ่นซีคาดเดาไม่ผิดละก็ ความรู้สึกสับสนวุ่นวายนี้คงเป็นของเจ้าของร่างเดิม อย่างไรก็ตามเจ้าของร่างเดิมก็เป็นคนสกุลซู ตามการคาดเดาครั้งก่อนของซูจิ่นซี ซิ่งหลิวหลีผู้นี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลซูอย่างแน่นอน หากซิ่งหลิวหลีเป็นคนของสกุลซูจริงๆ สำหรับเจ้าของร่างเดิมแล้วนับว่าเป็นระเบิดที่ใหญ่มากทีเดียว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็เกิดลังเลเล็กน้อย อย่างไรเสียตอนนี้นางยังคงแทนที่ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมอยู่ หากซิ่งหลิวหลีเป็นคนของสกุลซูจริงๆ ทันทีที่ผ้าคลุมนี้ถูกยกขึ้น ตามกฎหมายโบราณว่าด้วยการรับโทษร่วมกัน ผู้ใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสกุลซู อย่าได้คิดที่จะพยายามหลบหนีแม้แต่ผู้เดียว รวมถึงซูจิ่นซีเองด้วย
หลังจากลังเลอยู่สักพัก ภายในใจของซูจิ่นซีก็สงบลงไม่น้อย
เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่ง่ายเลยที่นางจะถอนตัว ไม่ช้าก็เร็วใบหน้าที่แท้จริงของซิ่งหลิวหลีก็ต้องถูกเปิดเผย มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้ว เว้นแต่ว่าซูจิ่นซีจะสารภาพต่อพระพักตร์ฮ่องเต้และยอมจำนนต่อฮั่วอวี้เจียว
ดวงตาของซูจิ่นซีมั่นคง นางรีบเปิดผ้าคลุมหน้าของซิ่งหลิวหลีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทว่า… ผลลัพธ์แตกต่างไปจากที่ซูจิ่นซีคาดการณ์ไว้เล็กน้อย
เนื่องจากใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่นางไม่คุ้นเคย
คิ้วดำสนิท ตากลมโต จมูกโด่ง ริมฝีปากหนา และสีผิวที่คล้ำเล็กน้อย ดูคล้ายหญิงสาวชาวซินเจียงในยุคปัจจุบันที่มีความงามแตกต่างออกไปจากยุคสมัยนี้
ซูจิ่นซีมั่นใจว่าใบหน้านี้ นางไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน
หรือว่านางคาดการณ์ผิดไป?
“นำคนกลับไป! ”
ซูจิ่นซีออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
องครักษ์เหลิ่งด้านข้างตอบรับ ตะโกนสั่งให้ทหารคอยดูซิ่งหลิวหลีกับทูตซ้ายชุดดำอย่างระมัดระวัง
แม้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่านาฬิกา ทว่าจากประสบการณ์ข้ามภพในหลายวันมานี้ ซูจิ่นซีก็ได้เรียนรู้การใช้ท้องฟ้าเพื่อบอกเวลา ตอนนี้คงเป็นยามซู [1] ห่างจากยามจื่อ [2] อีกสองชั่วยามกว่า
เมื่อผ่านยามจื่อ กำหนดระยะเวลาหนึ่งเดือนก็จะผ่านพ้นไป ดังนั้นนางจึงต้องเร่งฝีเท้ากลับเมืองตี้จิง
ขณะที่ซูจิ่นซีและคนทั้งหมดกำลังจะถอนตัวกลับไปเมืองหลวง ทันใดนั้นฉินเทียนและหลินเฟิงที่อยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพาคนผู้หนึ่งมา
“ฉินเทียน ท่านอ๋องมาแล้วหรือ? ” ซูจิ่นซีถามขึ้นอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
“พระชายา ท่านอ๋องไม่ได้มาพ่ะย่ะค่ะ เพียงให้ข้าน้อยกับหลินเฟิงนำคนมา”
“อ่อ! ”
ไม่รู้ว่าเหตุใด ภายในใจของซูจิ่นซีจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หลินเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจอันใดบางอย่าง ใบหน้าของหลินฟังประดับด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา ก่อนจะพูดเสริมอีกประโยคว่า “พระชายา แม้ท่านอ๋องจะไม่เสด็จมา ทว่าท่านอ๋องกล่าวว่าจะรั้งอยู่ที่ประตูเจิ้นเป่ย รอให้พระชายากลับมาอย่างมีชัยพ่ะย่ะค่ะ”
ประตูเจิ้นเป่ยเป็นประตูของเมืองตี้จิง เมื่อเดินทางกลับไปพวกเขาจะต้องผ่านประตูเจิ้นเป่ย
เยี่ยโยวเหยาอยู่ที่ประตูเมือง รอนางกลับไปอย่างนั้นหรือ?
การกระทำนี้ดูจะหวานซึ้งกว่าการปรากฏตัวของเยี่ยโยวเหยาที่นี่ตอนนี้เสียอีก
ทันใดนั้นภายในใจของซูจิ่นซีก็มีความรู้สึกราวกับภรรยาที่สามียืนอยู่หน้าประตูบ้านเพื่อรอนางกลับไปหา
คิดแล้วก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย
ในใจคิดเพียงแต่จะรีบกลับไปพบกับเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น
“เช่นนั้นพวกเราก็รีบกลับกันเถิด! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น
“ส่งคนให้ข้าน้อยกับหลินเฟิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ! หลินว่ายได้เตรียมรถม้าไว้ให้พระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเทียนกล่าว
ซูจิ่นซีพยักหน้า
ทหารชั้นยอดจำนวนห้าร้อยนายได้กลับมายังค่ายทหารหู่เปิน ส่วนทหารที่เหลือ พร้อมทั้งฉินเทียนและหลินเฟิงต่างก็เดินตามรถม้าของซูจิ่นซี คอยควบคุมตัวซิ่งหลิวหลีและทูตซ้ายชุดดำกลับเมืองตี้จิง
เดิมทีซูจิ่นซีคิดว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของนางแล้ว ใช้เวลาในการต่อสู้ไปอย่างพอเหมาะพอดี ทั้งยังมีเวลากว่าสองชั่วยามก่อนถึงเส้นตายเพื่อกลับไปรายงานที่เมืองตี้จิง ครั้งนี้นางชนะแน่แล้ว
ทว่า ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าอุบัติเหตุยังคงเกิดขึ้น
เมื่อเดินทางผ่านทางคับแคบ เชือกที่ผูกติดอยู่ที่มือของทูตซ้ายชุดดำและซิ่งหลิวหลีก็หลุดออกจากกันอย่างไม่คาดคิด ทันใดนั้นก็มีผีดิบติดพิษจำนวนมากปรากฏขึ้นบริเวณทางด้านข้าง พรรคพวกของซูจิ่นซีไม่สามารถต้านทานได้ มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
ทว่าการปรากฏตัวของผีดิบติดพิษดูเหมือนเป็นการช่วยให้ซิ่งหลิวหลีกับทูตซ้ายชุดดำหลบหนีไปเท่านั้น ไม่มีการสู้รบใดๆ เกิดขึ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผีดิบติดพิษ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอันใดได้ แม้แต่ยอดฝีมืออย่างฉินเทียนและหลินเฟิงก็ไม่อาจต้านทาน ซูจิ่นซีที่มีฝีมือด้านพิษก็ไม่สามารถจัดการได้ ทำได้เพียงมองดูซิ่งหลิวหลีกับทูตซ้ายชุดดำได้รับความช่วยเหลืออย่างทำอันใดไม่ได้เลย
หลังจากคิดวางแผนมาหลายวัน สิ่งที่ทำมาทั้งหมดกลับไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว
ซูจิ่นซีมองดูฉากชุลมุนกลับคืนสู่ความเงียบสงบ นางนั่งเหม่อมองแสงจันทร์ที่สาดส่องบนทางเขาอย่างเงียบงัน ภายในใจของนางปรากฎความสับสนขึ้นมา
หากไม่มีซิ่งหลิวหลีแล้ว ทุกสิ่งที่ซูจิ่นซีพูดต่อหน้าทุกคนก็เป็นยิ่งกว่าการผายลม นางจะเอาอันใดมาพิสูจน์ว่าซิ่งหลิวหลีเป็นคนวางยาพิษฮองเฮา จะเอาอันใดมาพิสูจน์ว่าพิษบนร่างของฮองเฮานั้นเกี่ยวข้องกับฮั่วอวี้เจียวและองค์หญิงหวาหรง?
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็รู้สึกเหมือนถูกทุบตีก่อนปลดแอก
ฉินเทียนและหลินเฟิงได้นำคนไปตามจับพวกเขาแล้ว ส่วนทหารที่อยู่ข้างกายก็พยายามเกลี้ยกล่อมซูจิ่นซีอยู่หลายครั้งว่าฟ้ากลางคืนมืดครึ้ม หากรั้งอยู่ที่นี่จะไม่ปลอดภัย ขอให้ซูจิ่นซีรีบกลับเมืองตี้จิงพร้อมกับพวกเขา
ทว่าซูจิ่นซีกลับนั่งอยู่ข้างทาง เฝ้ามองท้องฟ้าปลอดโปร่งเงียบๆ โดยไม่พูดอันใดออกมาสักประโยค
บ้าจริง!
ชาติที่แล้วก็อ่านหนังสือนิยายข้ามภพมาไม่น้อย สาวน้อยที่ข้ามภพมา ขอเพียงไม่ข้ามมาราชวงศ์ชิง ส่วนเสริมภายนอก [3] ล้วนแข็งแกร่งทรงพลัง อีกทั้งวันเวลายังผ่านไปอย่างยอดเยี่ยมไม่ใช่หรือ?
โถ่เว้ย เหตุใดนางต้องมาพบพานกับความยากลำบากถึงเพียงนี้ด้วยนะ!
เรื่องซวยอันใดก็ล้วนให้นางได้พบได้เจอ
ขอร้องล่ะ ไม่ข้ามมาแล้วได้หรือไม่?
ท่านยมบาล ท่านมารับข้ากลับไปเถิด!!!
ในใจของซูจิ่นซีร่ำร้องออกมาอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองข้างเปียกชื้นเล็กน้อย
สายตาของนางค่อยๆ มองไปยังทิศทางของเมืองตี้จิง
ตอนนี้ที่เมืองตี้จิงคงครึกครื้นมากเลยสินะ?
ซูจิ่นซีมีเวลาเพียงสองชั่วยามก่อนจะถึงกำหนดเส้นตาย ทุกคนต่างรอดูผลลัพธ์ของนาง ทว่าถึงเวลานี้แล้ว ไม่เพียงแต่มองไม่เห็นผลลัพธ์ นางยังไม่เห็นคนของตนเองเลยด้วยซ้ำ ทุกคนคงคิดว่านางแพ้แล้ว กระทั่งความกล้าที่จะออกไปสารภาพยังไม่มี หาสถานที่หลบซ่อนเถิด นางไม่กล้ากลับไปแล้ว
ไม่ใช่หรอกหรือ?
นางไม่ได้เรื่องอันใดเลยสักอย่าง ในเวลานี้ยังซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่กล้ากลับไปไม่ใช่หรือ?
ซูจิ่นซี นางไม่กล้ากลับไปจริงๆ
ซูจิ่นซีไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับฮ่องเต้และฮั่วอวี้เจียว และนางก็ไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้คนเหล่านั้นที่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก ทว่านางกลัวที่จะกลับไปพบกับเยี่ยโยวเหยา
ไม่รู้ว่าเหตุใด ประโยคก่อนหน้านี้ที่ฉินเทียนกล่าวว่า เยี่ยโยวเหยากำลังรอให้นางกลับมาอย่างมีชัยตรงประตูเจิ้นเป่ย เวลานี้มันกลับกระทบกับหัวใจของนางครั้งแล้วครั้งเล่าจนเจ็บปวด
ซูจิ่นซีไม่กล้ากลับไปเผชิญหน้ากับแววตาผิดหวังของเยี่ยโยวเหยา ยิ่งไม่กล้ากลับไปเห็นสิ่งที่ตนเองได้กระทำไว้หลังจากทำให้เยี่ยโยวเหยากับจวนโยวอ๋องต้องเป็นที่อับอายต่อสายตาของผู้อื่น
แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเย็นชา ทว่าเขากลับเป็นคนผู้หนึ่งที่ภาคภูมิใจในตัวนาง ทว่าครานี้ ซูจิ่นซีรู้สึกว่านางได้กลายเป็นรอยแปดเปื้อนในชีวิตของเยี่ยโยวเหยาจริงๆ เสียแล้ว
หมอกสลัวด้านหน้าเริ่มเลือนรางหายไป ทว่ารูปร่างที่หล่อเหลาและโดดเดี่ยวของเยี่ยโยวเหยากลับเด่นชัดในสมองของนางขึ้นทุกที
เยี่ยโยวเหยา หากไม่กลับไป ต่อไปนี้ซูจิ่นซีคงจะไม่ได้พบท่านอีกแล้วใช่หรือไม่?
ไม่พบอีกแล้ว… ใช่หรือไม่???
……