สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 98 ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นสุนัขเหมือนอย่างข้าหรอกหรือ?

        หลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ซูจิ่นซีก็ตัดสินใจกลับเมืองตี้จิง ไม่ว่าต่อไปนี้จะเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางควรเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ

        เมืองตี้จิงในขณะนี้เป็นอย่างที่ซูจิ่นซีคาดการณ์ไว้จริงๆ ทุกคนต่างกำลังรอให้นางกลับไป!

        บางคนกำลังรอคอยให้ซูจิ่นซีกลับไปอย่างใจจดจ่อ ทว่าบางคนก็รอดูคำพูดขบขันของนาง

        ที่ประตูเจิ้นเป่ย ไม่ได้มีเพียงเยี่ยโยวเหยาเท่านั้นที่รอซูจิ่นซีกลับมา ยังมีฮ่องเต้ด้วยเช่นกัน

        ฮ่องเต้ได้ตั้งลานพระที่นั่งกลางแจ้งที่ประตูเจิ้นเป่ย พร้อมด้วยผู้ติดตามจำนวนมาก

        ฮองเฮา ไท่จื่อเยี่ยเซิน ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊มากมาย

        พวกเขาต่างรอคอยให้ซูจิ่นซีกลับมามือเปล่า ไม่สามารถรายงานอันใดได้ เพื่อจะได้ลงโทษนางและจวนโยวอ๋องในที่สาธารณะ

        รอบด้านต่างแออัดไปด้วยผู้คนที่มารอชมการแสดงชั้นดี

        “พระชายาโยวอ๋องจะมาหรือไม่? ”

        “คงไม่ใช่ว่าสืบหาไม่ได้จึงไม่กล้ากลับมาแล้วกระมัง? ”

        “ข้ามองว่าที่เป็นไปได้มากที่สุดคือนางไม่กล้ากลับมา นี่มันยามใดแล้ว หากนางจะกลับมาก็คงกลับมาตั้งนานแล้ว”

        “ไม่กลับมาก็ดี อย่างไรซูจิ่นซีก็ไม่คู่ควรกับท่านโยวอ๋อง หากนางไม่กลับมา ตำแหน่งพระชายาโยวอ๋องก็สามารถเปลี่ยนให้ผู้อื่นมาแทนได้”

        “อ้าว! หากซูจิ่นซีไม่กลับมา พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาทและโยวอ๋องจะยอมเปลี่ยนให้ผู้อื่นเป็นพระชายาโยวอ๋องจริงๆ หรือ? ”

        “นี่ยังต้องพูดอีกหรือ? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าซูจิ่นซีกับฮั่วอวี้เจียววางเดิมพันกันหรอกหรือ? หากซูจิ่นซีสืบหาตัวฆาตกรที่วางยาฮองเฮาไม่ได้ นางจะต้องเป็นผู้ที่ออกไปจากจวนโยวอ๋อง สละฐานะพระชายาโยวอ๋องทิ้งไป”

        “เช่นนั้นหลังจากนี้พวกเจ้าคิดว่าตำแหน่งพระชายาโยวอ๋องจะเป็นของผู้ใดกันเล่า? จะเป็น… ฮั่วอวี้เจียวหรือไม่? ”

        “ข้าว่านะ! ฮั่วอวี้เจียวมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว แม้ว่าเมื่อเทียบกันในด้านความงาม ฮั่วอวี้เจียวจะยังห่างไกลจากซูจิ่นซี ทว่าเมื่อพูดถึงด้านความเหมาะสมของการเป็นภรรยาแล้ว ฮั่วอวี้เจียวกลับเป็นอันดับหนึ่งในยุคสมัยนี้ ผู้คนต่างก็ชื่นชอบและปรารถนาในตัวฮั่วอวี้เจียวเป็นอย่างยิ่ง จะเทียบอย่างไรฮั่วอวี้เจียวก็แข็งแกร่งกว่าสกุลซูตั้งกี่เท่าต่อกี่เท่า”

        “ไม่แน่หรอกกระมัง? ข้าได้ยินมาว่าโยวอ๋องยังมีแม่นางหนานกง สตรีที่ชอบพอกันตั้งแต่เด็กอีกนะ สองสามวันก่อนนางก็มาหาโยวอ๋องที่เมืองตี้จิงด้วย! ตอนนี้นางก็อยู่ที่เมืองตี้จิง”

        “แม่นางหนานกง คู่รักตั้งแต่วัยเด็ก? โยวอ๋องหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง? เดิมทีโยวอ๋องไม่เคยเข้าใกล้สตรีเลยนะ! ”

        “ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ ทว่าดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง ได้ยินมาว่านางเป็นคู่หมั้นของโยวอ๋องอีกด้วย! ยิ่งไปกว่านั้นยัง… ”

        “พวกเจ้าพูดจามั่วซั่วอันใดกัน? ”

        ทันใดนั้นลวี่หลีก็โผล่ออกมาจากฝูงชนและพูดอย่างมีน้ำโห

        ก่อนหน้านี้ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นที่อารามของวัดพุทธฝ่า ซูจิ่นซีก็ให้คนพาลวี่หลีกลับมาก่อน ส่วนนางก็นำคนไปตามจับผู้ที่ลักพาฮองเฮาตัวปลอมไป

        แม้ว่าลวี่หลีจะกลับเมืองตี้จิงมาแล้ว ทว่าหัวใจดวงนี้ของนางก็ยังคงอยู่ที่วัดพุทธฝ่า

        ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้คุณหนูจะเป็นอย่างไรบ้าง ผีดิบติดพิษพวกนั้นร้ายกาจนัก เดิมที่คุณหนูก็ไม่เป็นวรยุทธ แล้วจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมันได้อย่างไร

        จนถึงตอนนี้แล้วคุณหนูก็ยังไม่กลับมา คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอกนะ

        ลวี่หลียิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งคิดยิ่งกังวล เจ้าคนพวกนี้ปากไม่มีหูรูด มีอันใดก็พูดหมด น่ารังเกียจเสียจริง

        โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคตอนท้ายสองสามประโยค ที่ว่าตำแหน่งพระชายาโยวอ๋องจะต้องเปลี่ยนคนอันใดนั่น ทั้งยังจะต้องเปลี่ยนเป็นฮั่วอวี้เจียว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องคู่หมั้นโยวอ๋องผู้มีทั้งเอกลักษณ์และรูปลักษณ์อันดีงามนั่นอีก

        ราวกับเอามีดมาปักลงกลางหัวใจของลวี่หลี คำพูดนี้หากคุณหนูได้ยินเข้า คุณหนูจะเสียใจถึงเพียงใดกัน!

        ไม่มีผู้ใดรู้ไปกว่าลวี่หลีว่าในหัวใจดวงน้อยๆ ของซูจิ่นซีนั้นห่วงใยเยี่ยโยวเหยามากเพียงใด

        “โอ้ นี่ไม่ใช่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายพระชายาโยวอ๋องหรอกหรือ? ”

        “ใช่สิ เป็นนาง! ”

        “ข้าจำได้ว่าเมื่อเช้าวานนี้ นางและพระชายาโยวอ๋องออกจากจวนโยวอ๋องด้วยกันเพื่อไปที่วัดพุทธฝ่านี่! เหตุใดนางถึงกลับมาแล้ว แต่พระชายาโยวอ๋องยังไม่กลับมา”

        “แม่นาง เจ้าจะต้องรู้สถานการณ์ของพระชายาโยวอ๋องใช่หรือไม่? เล่าให้ทุกคนฟังหน่อยสิ ตอนนี้สถานการณ์ของพระชายาโยวอ๋องเป็นอย่างไรกันแน่? แม้ว่านางจะทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้ไม่สำเร็จ หรือนางจะแพ้ให้กับฮั่วอวี้เจียวก็ไม่เป็นไรหรอก ทว่าพวกเราล้วนวางทุนที่หามาได้อย่างยากลำบากให้กับบ่อนพนันไปหมดแล้ว! ”

        “ใช่! เล่าให้ทุกคนฟังหน่อยเถิด! ”

        “เล่าหน่อยเถิด! ”

        ทุกคนเข้ามาล้อมตัวลวี่หลีอย่างรวดเร็ว บังคับให้นางพูดถึงสถานการณ์ของซูจิ่นซี

        แม้แต่ลวี่หลีเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูจิ่นซีกำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น แม้นางจะรู้ นางก็ไม่สามารถทรยศซูจิ่นซีด้วยการบอกคนเหล่านี้ได้

        “นี่จะต้องบอกอีกหรือ? ” ฉิงสั่วสาวใช้ข้างกายของฮั่วอวี้เจียวปรากฏตัวในฝูงชนด้วยท่าทางของผู้มีชัยและกล่าวว่า “พระชายาโยวอ๋องเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ก่อนหน้านี้นางอาศัยพึ่งพาโยวอ๋องเพื่อช่วยเหลือนาง กล่าวภาคภูมิใจในตนเองต่อหน้าผู้อื่น ทว่าครั้งนี้แม้แต่โยวอ๋องก็ไม่สนใจนาง นางพ่ายแพ้แล้ว ทว่านางไม่มีความกล้าที่จะกลับมายอมรับ”

        ใบหน้าและร่างกายของฉิงสั่วยังคงมีร่องรอยฟกช้ำจากการถูกผู้คนรุมทุบตีเมื่อวาน ทว่านางยังคงมีความภาคภูมิใจและเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ นางตราหน้าว่าซูจิ่นซีเป็นคนขี้ขลาดอย่างชัดเจน

        “เจ้า… เจ้าพูดจามั่วซั่ว! ”

        ดวงตาเล็กๆ ของลวี่หลีจ้องจิกไปยังฉิงสั่ว

        “ข้าพูดจามั่วซั่วอันใด? ” ฉิงสั่วยิ้มอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าก็พูดสิว่าคุณหนูของเจ้าไปไหนเสียแล้ว? คดีสืบได้ถึงไหนแล้ว? ตอนนี้นางอยู่ที่ใด? จะกลับมาเมื่อไร? ”

        “ข้า… ข้า… ”

        คำถามเหล่านี้ของฉิงสั่วนั้น ลวี่หลีล้วนไม่รู้อันใดเลย ดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย กล่าวเพียงคำว่า “ข้า” ไม่กี่คำ และไม่พูดจาอันใดอีกเลย

        “พูดไม่ออกกระมัง? หึๆ ข้าว่าแม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่รู้ ที่จริงข้าเห็นใจเจ้านะ คุณหนูของเจ้าทิ้งเจ้าและหนีไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังยืนอยู่ตรงนี้เพื่อพูดแทนนาง ช่างเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์เสียจริง! ”

        ฉิงสั่วจงใจเน้นน้ำหนักที่คำว่า ‘สุนัข’ ปากกล่าวว่าเห็นอกเห็นใจ ทว่าสายตาแข็งกร้าวของนางไม่ได้หมายความว่าเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย

        ทันใดนั้นลวี่หลีที่เป็นกังวล ไม่รู้ว่าเอาความกล้าหาญมาจากที่ใด นางกล่าวตอบกลับด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เป็นสุนัขเหมือนอย่างข้าหรอกหรือ? ”

        ใบหน้าของฉิงสั่วเปลี่ยนไป

        ลวี่หลีกัดฟันพูดอย่างต่อเนื่อง “เพียงแต่เจ้าแตกต่างจากข้า ข้าเป็นสุนัขในจวนโยวอ๋อง ฐานะล้วนสูงส่งกว่าเจ้า”

        ทันใดนั้นในหมู่ฝูงชนก็มีคนหัวเราะขึ้นมา

        คำพูดของลวี่หลีเป็นความจริง ผู้คนเหล่านั้นที่หัวเราะจึงมองไปทางฉิงสั่วด้วยท่าทีสนุกสนาน

        แก้มของฉิงสั่วแดงขึ้นเล็กน้อย

        ทันใดนั้นลวี่หลีก็เห็นฮั่วอวี้เจียวจากระยะไกล นางนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้จึงตะโกนว่า “คุณหนูฮั่ว ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอันใด ข้าน้อยก็เชื่อมั่นในตัวคุณหนูของข้าน้อย คุณหนูจะต้องอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างแน่นอน นอกจากนี้คุณหนูจะไม่ยอมแพ้ให้กับท่านแน่ ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด ทว่าเพื่อฐานะของนางที่ด้านหลังได้เพิ่มคำว่า ‘โยวอ๋อง’ สองคำนี้ขึ้นมา นั่นก็คือพระชายาโยวอ๋อง ในใจของคุณหนูมีท่านอ๋องอยู่ อย่างไรคุณหนูก็ไม่ทำให้ท่านอ๋องเสียหน้าอย่างแน่นอน”

        หลังจากที่ลวี่หลีพูดคำเหล่านี้จบภายในลมหายใจเดียว นางก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังจะกระโดดออกจากอก

        ในฐานะสาวใช้ที่เติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ นางไม่เคยพูดอย่างมั่นใจเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่มีความกล้าพอที่จะท้าทายคุณหนูท่านใดเลย

        เหตุใดนางถึงกล้าพูดสิ่งเหล่านี้ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

        ฮั่วอวี้เจียวตกตะลึงกับคำว่า ‘ฐานะ’  ‘โยวอ๋อง’ และ ‘พระชายาโยวอ๋อง’ คำพูดเหล่านี้ราวกับค้อนหนักที่กระทบหัวใจของนางอย่างไรอย่างนั้น ทำให้นางหายใจไม่ออกเล็กน้อย

        ดวงตาของผู้คนที่มองมายังฮั่วอวี้เจียวตามคำพูดของลวี่หลีนั้น ทำให้ฮั่วอวี้เจียวกดดันเป็นอย่างยิ่ง ทว่าฮั่วอวี้เจียวรู้ว่ายังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ตราบใดที่ซูจิ่นซีไม่ปรากฏตัว ฮั่วอวี้เจียวก็จะสามารถถอดฐานะ ‘พระชายาโยวอ๋อง’ ของซูจิ่นซีออกไปได้

        ตราบใดที่ข้างกายของโยวอ๋องไม่มีสตรีนางอื่นอีก เพียงอดทนต่อสายตาของผู้คนเหล่านี้จะนับเป็นอันใด?

        แท้จริงแล้วเมื่อครู่นี้ คำพูดของลวี่หลีไม่ได้มีเพียงฮั่วอวี้เจียวและฝูงชนโดยรอบเท่านั้นที่ได้ยิน เพราะมันได้แพร่กระจายไปถึงหูของบุคคลสำคัญสองสามท่านอีกด้วย

        นั่นก็คือฮ่องเต้ ฮองเฮา เยี่ยเซิน และเยี่ยโยวเหยา ที่ประทับอยู่ ณ ลานพระที่นั่งกลางแจ้ง

        โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยโยวเหยาที่มีวรยุทธ เดิมทีก็มีทักษะการได้ยินที่เฉียบคมกว่าผู้อื่นอยู่แล้ว ยิ่งลวี่หลีกล่าวประโยคที่ว่า ‘ในใจของคุณหนูมีท่านอ๋องอยู่ อย่างไรคุณหนูก็ไม่ทำให้ท่านอ๋องเสียหน้าอย่างแน่นอน’ เขาก็ยิ่งได้ยินอย่างชัดเจน

        แม้ว่าการแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง ทว่าสายตาของเขาที่มองออกไปนอกประตูเจิ้นเป่ย คาดไม่ถึงว่าข้ามผ่านค่ำคืนอันเงียบงัน ข้ามผ่านแสงจันทร์สลัว ข้ามผ่านแดนไกล เขามองเห็นคนผู้หนึ่งจริงๆ

        ในแววตามีความตกตะลึงแวบผ่านชั่วครู่

        “ดูเร็ว! เป็นพระชายาโยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋องกลับมาแล้ว! ”

        “เป็นพระชายาโยวอ๋องจริงๆ ! ”

        “เป็นพระชายาโยวอ๋อง! ”

        “พระชายาโยวอ๋อง… ”

        “พระชายาโยวอ๋อง… ”

        “พระชายาโยวอ๋อง… ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset