จิ่วหรงจะตามมาทีหลังหรือ?
แล้วเขายังมีของขวัญมาส่งให้นาง?
ซูจิ่นซีมีความรู้สึกว่าของขวัญที่จิ่วหรงต้องการมอบให้นั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“มิน่า ทักษะการแพทย์ของพระชายาโยวอ๋องถึงได้ดีเพียงนี้ แม้แต่โรคที่หมอของสำนักหมอหลวงไม่มีวิธีรักษา นางล้วนสามารถรักษาให้หายได้ ที่แท้นางก็เป็นศิษย์ของเทียนอีเหมินนี่เอง! ”
“ได้ยินมาว่าเทียนอีเหมินไม่เปิดรับลูกศิษย์ง่ายๆ ผู้ที่สามารถเข้าร่วมเทียนอีเหมินได้ล้วนต้องมีคุณสมบัติทางการแพทย์ที่สูงส่ง ดูจากคนชุดขาวทั้งสี่ท่านนี้ ตำแหน่งในเทียนอีเหมินจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าได้ยินหรือไม่? คนชุดขาวนั่นพูดว่าคุณชายจิ่วเป็นคนไปเตรียมของขวัญวันเกิดให้กับซูจิ่นซีด้วยตนเองเลยนะ! บุคคลที่สามารถทำให้คุณชายจิ่วออกหน้าด้วยตนเองได้ ฐานะในเทียนอีเหมินจะต้องไม่ต่างกันนักอย่างแน่นอน พระชายาโยวอ๋องช่างเก่งกาจยิ่งนัก”
ใช่สิ จิ่วหรง!
มีคนไม่น้อยที่ต้องการพบเขา ทว่าไม่อาจพบได้
เขาเปรียบราวกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น สูงส่งและลึกลับไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา
“คุณชายจิ่วจะมาเมื่อใดกัน? ข้าต้องการพบเขาเหลือเกิน”
“ใช่! เขาจะมามอบของขวัญอันใดให้กับพระชายาโยวอ๋องกันแน่? ข้าต้องการเห็นนัก”
การสนทนาในฝูงชนยิ่งดังขึ้นทุกที กระทั่งหลายคนที่ได้ยินว่าจิ่วหรงกำลังจะปรากฏตัวต่างก็พากันลืมไปแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้คือ พระชายาโยวอ๋องสืบพบผู้กระทำความผิดฐานวางยาพิษฮองเฮาได้จริงหรือไม่
“พระชายาโยวอ๋อง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งของฮ่องเต้ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าควรบอกเล่าถึงการสืบหาฆาตกรที่วางยาพิษฮองเฮา ทว่าเจ้ากลับให้คนทั้งลานกว้างมองดูเจ้าฉลองวันเกิดเช่นนี้ คงไม่เหมาะสมกระมัง? ”
ฮั่วอวี้เจียวกล่าวขึ้น
“พระชายาโยวอ๋อง ฆาตกรเล่า? หากเจ้าไม่ยอมเปิดปากอีก ข้าคงต้องออกคำสั่งแล้ว” ฝ่าบาทจี้ถาม
เมื่อครู่นี้อารมณ์ของซูจิ่นซีพึ่งผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางต้องกลับไปสู่ความมืนมนอีกครั้ง
“ทุกท่าน โปรดฟังสิ่งที่ข้าจะพูด สองปีที่ผ่านมา ข้าน้อยได้รับผิดชอบต่อความเจ็บป่วยของฮองเฮามาโดยตลอด และทางสำนักหมอหลวงยังได้มีการปรึกษาหารือกันอยู่หลายครั้งอีกด้วย ก่อนหน้านี้ในท้องของฮองเฮาเป็นการตั้งครรภ์อย่างแน่นอน กลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะมีลิ้นเหมือนดั่งขลุ่ย [1] พูดจามั่วซั่วบอกว่ามันเป็นพิษตัวกู่ นางใช้ยาเปลี่ยนทายาทของฮ่องเต้ที่ยังไม่ประสูติให้กลายเป็นเลือด นางทำร้ายทายาทของฮ่องเต้ สมควรถูกประหารในทันที”
ทันใดนั้นซูจ้งก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชนด้วยท่าทีแข็งกร้าว เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น ภายในใจมีความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้
ความเจ็บปวดนั้นคงมาจากจิตสำนึกของเจ้าของร่างเดิม
ซูจ้งเป็นถึงบิดาบังเกิดเกล้าของซูจิ่นซีนี่นา!
เหตุใดบนโลกใบนี้จึงมีบิดาเช่นนี้อยู่กัน คาดไม่ถึงว่าจะสามารถผลักบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองให้ตกตายในเหวลึกได้
เขารู้หรือไม่ว่าหากซูจิ่นซีถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานสังหารทายาทของจักรพรรดิอย่างโหดเหี้ยม ตามกฎหมายของจงหนิงแล้วจะต้องประหารทั้งตระกูล เขายอมกล่าวโทษให้ร้ายตนเองและสกุลซูได้อย่างไร?
“อะไรนะ? ในท้องของฮองเฮาเป็นทายาทของจักรพรรดิ ไม่ใช่พิษตัวกู่? หัวหน้าหมอหลวงซู ท่านไม่ได้ผิดพลาดใช่หรือไม่? ”
“ใช่ หมอหลวงซู นี่มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์เชียวนะ! ”
“ข้ากล้าเอาหัวของตนเองเป็นประกัน แท้จริงแล้วฮองเฮาทรงมีพระครรภ์อยู่ ซูจิ่นซี…นางได้เข่นฆ่าทายาทของฮ่องเต้ไปแล้ว”
ทันใดนั้นซูจ้งก็แผดเสียงแหลมขึ้นมา ดวงตาราวกับไก่ชนอย่างไรอย่างนั้น เขาหันกลับมาชี้นิ้วไปที่ซูจิ่นซีและตะโกนด้วยท่าทางเกินจริง
การแสดงออกของซูจิ่นซีมีเพียงความเย็นชา ไม่มีการพูดเพื่อพิสูจน์ตนเองแม้แต่ประโยคเดียว ดูเหมือนว่านางกำลังชมการแสดงงิ้วอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่ในใจรู้สึกเจ็บปวดอยู่เสมอ
ทว่าครั้งนี้นับว่าไม่เท่าไร ซูจ้งยังสามารถแสดงออกอย่างเกินจริงได้มากกว่านี้อีก
ซูจ้งรีบเดินไปที่ลานพระที่นั่ง อ้อมผ่านซูจิ่นซีและก้าวไปคุกเข่ายังเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ซูจิ่นซีได้รับโทษตัดศีรษะเพื่อแสดงเป็นตัวอย่างต่อสาธารณชน”
“ตัดศรีษะต่อหน้าสาธารณชน เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างเช่นนั้นหรือ? ช่างเป็นขุนนางผู้ภักดีเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอย่างยิ่ง ยอมแม้กระทั่งทำร้ายคนในครอบครัวตนเอง ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าท่านเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดข้า? ”
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าความเจ็บปวดภายในใจที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของเจ้าของร่างเดิมนั้นเริ่มพลุ่งพล่านและควบคุมไม่ได้แล้ว มันแทบจะฉีกกระชากหัวใจของนาง
การแสดงออกของซูจ้งเป็นไปอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองแดงฉาน เขาชี้ไปที่ซูจิ่นซีแล้วกล่าวว่า “สกุลซูไม่มีผู้ที่ลืมกำพืดตนเองอย่างเจ้า ข้า…ซูจ้ง ยิ่งไม่มีบุตรสาวที่อกตัญญูไร้ยางอายเช่นเจ้า”
“ลืมกำพืด? อกตัญญู? ไร้ยางอาย? ”
ซูจิ่นซีพูดซ้ำคำต่อคำด้วยความยากลำบาก ความเจ็บปวดภายในใจยากที่จะยับยั้งได้
“สกุลซูได้รับการสั่งสอนว่าบุตรทุกคนในสกุลซูไม่ควรเรียนทักษะทางการแพทย์จากบุคคลภายนอก ซูจิ่นซี คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะละเมิดคำสั่งสอนของบรรพบุรุษแล้วไปเข้าร่วมกับเทียนอีเหมิน เช่นนั้นสกุลซูจะปล่อยเจ้าที่อกตัญญูไปได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น มือของเจ้ายังเปื้อนโลหิตขององค์รัชทายาทอีกด้วย! ”
คำกล่าวของซูจ้งเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เพียงแต่ซูจิ่นซีกลับเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที
ซูจ้งอิจฉาที่นางไปเรียนทักษะการแพทย์ที่เทียนอีเหมิน! ดังนั้นในขณะที่จิ่วหรงยังไม่มา เขาจึงหวังใช้พระหัตถ์ของฮ่องเต้กำจัดนางออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด
สกุลซูมีกฎอย่างที่ซูจ้งพูดกันที่ใดเล่า ไม่สามารถศึกษาทักษะการแพทย์ที่นอกเหนือจากสกุลซูหรือ?
แม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะเคยโง่เง่ามาก่อน ทว่าการอบรมของบรรพบุรุษสกุลซู นางยังคงจำได้ดี เดิมทีก็ไม่มีเงื่อนไขเช่นนั้นแม้แต่น้อย
ความคิดอันเจ็บปวดภายในใจของเจ้าของร่างเดิมแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง ด้วยคำพูดและการกระทำสุดท้ายของซูจ้ง การตัดสินใจบางอย่างในหัวใจของซูจิ่นซีจึงมั่นคงและชัดเจนยิ่งขึ้น
ซูจ้ง ในเมื่อท่านใจร้าย เป็นบิดาที่ไม่มีความเมตตา เช่นนั้นโปรดอย่าได้ตำหนิข้า…ซูจิ่นซีที่ไม่คิดถึงความสัมพันธ์พ่อลูก ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ชอบธรรมและอกตัญญูเล่า
หากวันนี้ซูจิ่นซีไม่ตาย ท่านก็อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย
“ทหาร! คุมตัวพระชายาโยวอ๋องไว้! ”
ฮ่องเต้มีพระบัญชา
บริเวณโดยรอบเงียบสนิท บางคนกำลังตั้งใจดูการแสดงละครเงียบๆ บางคนตกใจกับพฤติกรรมของซูจ้ง อย่างไรก็ตามบรรยากาศล้วนเงียบสงัดดั่งเป่าสาก ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่เสียงเดียว
มีเพียงเสียงที่ก้องกังวานของหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะที่ติดตัวทหารองครักษ์ป้องกัน
เมื่อถูกทหารองครักษ์ป้องกันจับตัว ซูจิ่นซีผู้ซึ่งไม่เคยมีความกล้าที่จะมองเยี่ยโยวเหยาโดยตรงมาตลอด ทันใดนั้นทางหางตาก็เหลือบไปเห็นร่างกายของเยี่ยโยวเหยาโดยบังเอิญ
ช่างหนาวเหน็บ เงียบสงบ เคร่งขรึม กลิ่นอายที่เยือกเย็นและชั่วร้ายรอบตัวของเยี่ยโยวเหยากดดันบรรยากาศโดยรอบให้เงียบสงัด ในเวลาเดียวกันทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเยี่ยโยวเหยาก็ราวกับหยุดนิ่ง ทว่าใบหน้าของเขากลับไม่ปรากฏร่องรอยอื่นใดนอกจากการแสดงออกอย่างเฉยเมยตามปกติ สายตามองต่ำไปยังด้านหน้า และไม่มีการมองสำรวจว่าทางนั้นเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น ดูเหมือนเขากำลังนั่งฟังละครดีๆ อย่างสงบ
เดิมทีในใจของซูจิ่นซีล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเยี่ยโยวเหยา ในคราแรกนางคิดว่าหากนางสามารถอยู่ห่างจากเยี่ยโยวเหยาได้เท่าไรก็ควรอยู่ให้ห่างมากเท่านั้น กระทั่งหวังว่าที่ผ่านมานางจะไม่เคยพึ่งพาเขา ที่ผ่านมานางไม่ใช่พระชายาโยวอ๋อง นางไม่ต้องการเป็นพระชายาของเขาเพราะนางกลัวว่าผู้อื่นจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ หรือคิดว่านางเป็นคนนำโชคร้ายมาให้เขา
ทว่าในตอนนี้ เมื่อได้เห็นเยี่ยโยวเหยาที่เฉยชาเช่นนี้ ภายในหัวใจกลับยังคงรู้สึกเจ็บปวดและผิดหวัง
“นำซูจิ่นซีไปเข้าคุกหลวง ข้าต้องการตรวจสำนวนและตัดสินคดีนี้ด้วยตนเอง” ฮ่องเต้ตรัสขึ้น
เหล่าองครักษ์ลากซูจิ่นซีลงมาจากลานพระที่นั่ง
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมบางอย่างลอยอยู่ในอากาศ พร้อมกับที่ระบบถอนพิษเตือนว่ามีพิษ มันคือกลิ่นของหมีเตี๋ยเซียง [2]
“สิ่งใดกันที่หอมถึงเพียงนี้? ”
“หอมจังเลย! ”
เหล่าทหารองครักษ์ที่คุมตัวซูจิ่นซีกล่าว
ทว่าแปลกดี
กลิ่นนี้ดูเหมือนจะลอยมาตามทิศทางที่ถูกกำหนด เพราะซูจิ่นซีพบว่ามีเพียงนางกับทหารองครักษ์สองสามนายที่คุมตัวนางเท่านั้นที่ได้กลิ่น ฝูงชนที่เหลือและฮ่องเต้ที่ประทับ ณ ลานพระที่นั่งล้วนไม่รู้สึกถึงกลิ่นนี้เลย
ซูจิ่นซีรีบถอนพิษให้กับตนเองอย่างเงียบเชียบ
ผลเป็นอย่างที่นางคาดการณ์ไว้ ทหารองครักษ์ที่คุมตัวนางทั้งหมดต่างล้มลงบนพื้น
ตามมาด้วยเสียงขลุ่ยที่ไพเราะ ส่งเสียงสะท้อนล่องลอยมาจากที่ห่างไกลเป็นระยะเวลายาวนาน
“ดูเร็ว เป็นคุณชายจิ่ว! ”
“ที่แท้ก็เป็นคุณชายจิ่ว! ”
“เป็นคุณชายจิ่วจริงๆ ! ”
“งดงามมากจริงๆ … ”
ซูจิ่นซีมองไปตามเสียงขลุ่ย ทันใดนั้นนางก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจ
ภาพวาดตรงหน้านี้ ช่างงดงามเสียเหลือเกิน!
……