สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 101 ท่านใจร้ายไม่มีความเมตตา อย่าตำหนิที่ข้าไม่ชอบธรรมและอกตัญญู

       จิ่วหรงจะตามมาทีหลังหรือ?

        แล้วเขายังมีของขวัญมาส่งให้นาง?

        ซูจิ่นซีมีความรู้สึกว่าของขวัญที่จิ่วหรงต้องการมอบให้นั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

        “มิน่า ทักษะการแพทย์ของพระชายาโยวอ๋องถึงได้ดีเพียงนี้ แม้แต่โรคที่หมอของสำนักหมอหลวงไม่มีวิธีรักษา นางล้วนสามารถรักษาให้หายได้ ที่แท้นางก็เป็นศิษย์ของเทียนอีเหมินนี่เอง! ”

        “ได้ยินมาว่าเทียนอีเหมินไม่เปิดรับลูกศิษย์ง่ายๆ ผู้ที่สามารถเข้าร่วมเทียนอีเหมินได้ล้วนต้องมีคุณสมบัติทางการแพทย์ที่สูงส่ง ดูจากคนชุดขาวทั้งสี่ท่านนี้ ตำแหน่งในเทียนอีเหมินจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าได้ยินหรือไม่? คนชุดขาวนั่นพูดว่าคุณชายจิ่วเป็นคนไปเตรียมของขวัญวันเกิดให้กับซูจิ่นซีด้วยตนเองเลยนะ! บุคคลที่สามารถทำให้คุณชายจิ่วออกหน้าด้วยตนเองได้ ฐานะในเทียนอีเหมินจะต้องไม่ต่างกันนักอย่างแน่นอน พระชายาโยวอ๋องช่างเก่งกาจยิ่งนัก”

        ใช่สิ จิ่วหรง!

        มีคนไม่น้อยที่ต้องการพบเขา ทว่าไม่อาจพบได้

        เขาเปรียบราวกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น สูงส่งและลึกลับไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา

        “คุณชายจิ่วจะมาเมื่อใดกัน? ข้าต้องการพบเขาเหลือเกิน”

        “ใช่! เขาจะมามอบของขวัญอันใดให้กับพระชายาโยวอ๋องกันแน่? ข้าต้องการเห็นนัก”

        การสนทนาในฝูงชนยิ่งดังขึ้นทุกที กระทั่งหลายคนที่ได้ยินว่าจิ่วหรงกำลังจะปรากฏตัวต่างก็พากันลืมไปแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้คือ พระชายาโยวอ๋องสืบพบผู้กระทำความผิดฐานวางยาพิษฮองเฮาได้จริงหรือไม่

        “พระชายาโยวอ๋อง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งของฮ่องเต้ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าควรบอกเล่าถึงการสืบหาฆาตกรที่วางยาพิษฮองเฮา ทว่าเจ้ากลับให้คนทั้งลานกว้างมองดูเจ้าฉลองวันเกิดเช่นนี้ คงไม่เหมาะสมกระมัง? ”

        ฮั่วอวี้เจียวกล่าวขึ้น

        “พระชายาโยวอ๋อง ฆาตกรเล่า? หากเจ้าไม่ยอมเปิดปากอีก ข้าคงต้องออกคำสั่งแล้ว” ฝ่าบาทจี้ถาม

        เมื่อครู่นี้อารมณ์ของซูจิ่นซีพึ่งผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางต้องกลับไปสู่ความมืนมนอีกครั้ง

        “ทุกท่าน โปรดฟังสิ่งที่ข้าจะพูด สองปีที่ผ่านมา ข้าน้อยได้รับผิดชอบต่อความเจ็บป่วยของฮองเฮามาโดยตลอด และทางสำนักหมอหลวงยังได้มีการปรึกษาหารือกันอยู่หลายครั้งอีกด้วย ก่อนหน้านี้ในท้องของฮองเฮาเป็นการตั้งครรภ์อย่างแน่นอน กลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะมีลิ้นเหมือนดั่งขลุ่ย [1] พูดจามั่วซั่วบอกว่ามันเป็นพิษตัวกู่ นางใช้ยาเปลี่ยนทายาทของฮ่องเต้ที่ยังไม่ประสูติให้กลายเป็นเลือด นางทำร้ายทายาทของฮ่องเต้ สมควรถูกประหารในทันที”

        ทันใดนั้นซูจ้งก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชนด้วยท่าทีแข็งกร้าว เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น ภายในใจมีความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้

        ความเจ็บปวดนั้นคงมาจากจิตสำนึกของเจ้าของร่างเดิม

        ซูจ้งเป็นถึงบิดาบังเกิดเกล้าของซูจิ่นซีนี่นา!

        เหตุใดบนโลกใบนี้จึงมีบิดาเช่นนี้อยู่กัน คาดไม่ถึงว่าจะสามารถผลักบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองให้ตกตายในเหวลึกได้

        เขารู้หรือไม่ว่าหากซูจิ่นซีถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานสังหารทายาทของจักรพรรดิอย่างโหดเหี้ยม ตามกฎหมายของจงหนิงแล้วจะต้องประหารทั้งตระกูล เขายอมกล่าวโทษให้ร้ายตนเองและสกุลซูได้อย่างไร?

        “อะไรนะ? ในท้องของฮองเฮาเป็นทายาทของจักรพรรดิ ไม่ใช่พิษตัวกู่? หัวหน้าหมอหลวงซู ท่านไม่ได้ผิดพลาดใช่หรือไม่? ”

        “ใช่ หมอหลวงซู นี่มันเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์เชียวนะ! ”

        “ข้ากล้าเอาหัวของตนเองเป็นประกัน แท้จริงแล้วฮองเฮาทรงมีพระครรภ์อยู่ ซูจิ่นซี…นางได้เข่นฆ่าทายาทของฮ่องเต้ไปแล้ว”

        ทันใดนั้นซูจ้งก็แผดเสียงแหลมขึ้นมา ดวงตาราวกับไก่ชนอย่างไรอย่างนั้น เขาหันกลับมาชี้นิ้วไปที่ซูจิ่นซีและตะโกนด้วยท่าทางเกินจริง

        การแสดงออกของซูจิ่นซีมีเพียงความเย็นชา ไม่มีการพูดเพื่อพิสูจน์ตนเองแม้แต่ประโยคเดียว ดูเหมือนว่านางกำลังชมการแสดงงิ้วอย่างไรอย่างนั้น

        เพียงแต่ในใจรู้สึกเจ็บปวดอยู่เสมอ

        ทว่าครั้งนี้นับว่าไม่เท่าไร ซูจ้งยังสามารถแสดงออกอย่างเกินจริงได้มากกว่านี้อีก

        ซูจ้งรีบเดินไปที่ลานพระที่นั่ง อ้อมผ่านซูจิ่นซีและก้าวไปคุกเข่ายังเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้

        “ฝ่าบาท กระหม่อมขอให้ซูจิ่นซีได้รับโทษตัดศีรษะเพื่อแสดงเป็นตัวอย่างต่อสาธารณชน”

        “ตัดศรีษะต่อหน้าสาธารณชน เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนไม่ให้เอาเยี่ยงอย่างเช่นนั้นหรือ? ช่างเป็นขุนนางผู้ภักดีเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอย่างยิ่ง ยอมแม้กระทั่งทำร้ายคนในครอบครัวตนเอง ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าท่านเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดข้า? ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกว่าความเจ็บปวดภายในใจที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของเจ้าของร่างเดิมนั้นเริ่มพลุ่งพล่านและควบคุมไม่ได้แล้ว มันแทบจะฉีกกระชากหัวใจของนาง

        การแสดงออกของซูจ้งเป็นไปอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองแดงฉาน เขาชี้ไปที่ซูจิ่นซีแล้วกล่าวว่า “สกุลซูไม่มีผู้ที่ลืมกำพืดตนเองอย่างเจ้า ข้า…ซูจ้ง ยิ่งไม่มีบุตรสาวที่อกตัญญูไร้ยางอายเช่นเจ้า”

        “ลืมกำพืด? อกตัญญู? ไร้ยางอาย? ”

        ซูจิ่นซีพูดซ้ำคำต่อคำด้วยความยากลำบาก ความเจ็บปวดภายในใจยากที่จะยับยั้งได้

        “สกุลซูได้รับการสั่งสอนว่าบุตรทุกคนในสกุลซูไม่ควรเรียนทักษะทางการแพทย์จากบุคคลภายนอก ซูจิ่นซี คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะละเมิดคำสั่งสอนของบรรพบุรุษแล้วไปเข้าร่วมกับเทียนอีเหมิน เช่นนั้นสกุลซูจะปล่อยเจ้าที่อกตัญญูไปได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น มือของเจ้ายังเปื้อนโลหิตขององค์รัชทายาทอีกด้วย! ”

        คำกล่าวของซูจ้งเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เพียงแต่ซูจิ่นซีกลับเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที

        ซูจ้งอิจฉาที่นางไปเรียนทักษะการแพทย์ที่เทียนอีเหมิน! ดังนั้นในขณะที่จิ่วหรงยังไม่มา เขาจึงหวังใช้พระหัตถ์ของฮ่องเต้กำจัดนางออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด

        สกุลซูมีกฎอย่างที่ซูจ้งพูดกันที่ใดเล่า ไม่สามารถศึกษาทักษะการแพทย์ที่นอกเหนือจากสกุลซูหรือ?

        แม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะเคยโง่เง่ามาก่อน ทว่าการอบรมของบรรพบุรุษสกุลซู นางยังคงจำได้ดี เดิมทีก็ไม่มีเงื่อนไขเช่นนั้นแม้แต่น้อย

        ความคิดอันเจ็บปวดภายในใจของเจ้าของร่างเดิมแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง ด้วยคำพูดและการกระทำสุดท้ายของซูจ้ง การตัดสินใจบางอย่างในหัวใจของซูจิ่นซีจึงมั่นคงและชัดเจนยิ่งขึ้น

        ซูจ้ง ในเมื่อท่านใจร้าย เป็นบิดาที่ไม่มีความเมตตา เช่นนั้นโปรดอย่าได้ตำหนิข้า…ซูจิ่นซีที่ไม่คิดถึงความสัมพันธ์พ่อลูก ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ชอบธรรมและอกตัญญูเล่า

        หากวันนี้ซูจิ่นซีไม่ตาย ท่านก็อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย

        “ทหาร! คุมตัวพระชายาโยวอ๋องไว้! ”

        ฮ่องเต้มีพระบัญชา

        บริเวณโดยรอบเงียบสนิท บางคนกำลังตั้งใจดูการแสดงละครเงียบๆ บางคนตกใจกับพฤติกรรมของซูจ้ง อย่างไรก็ตามบรรยากาศล้วนเงียบสงัดดั่งเป่าสาก ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่เสียงเดียว

        มีเพียงเสียงที่ก้องกังวานของหมวกเหล็กกับเสื้อเกราะที่ติดตัวทหารองครักษ์ป้องกัน

        เมื่อถูกทหารองครักษ์ป้องกันจับตัว ซูจิ่นซีผู้ซึ่งไม่เคยมีความกล้าที่จะมองเยี่ยโยวเหยาโดยตรงมาตลอด ทันใดนั้นทางหางตาก็เหลือบไปเห็นร่างกายของเยี่ยโยวเหยาโดยบังเอิญ

        ช่างหนาวเหน็บ เงียบสงบ เคร่งขรึม กลิ่นอายที่เยือกเย็นและชั่วร้ายรอบตัวของเยี่ยโยวเหยากดดันบรรยากาศโดยรอบให้เงียบสงัด ในเวลาเดียวกันทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเยี่ยโยวเหยาก็ราวกับหยุดนิ่ง ทว่าใบหน้าของเขากลับไม่ปรากฏร่องรอยอื่นใดนอกจากการแสดงออกอย่างเฉยเมยตามปกติ สายตามองต่ำไปยังด้านหน้า และไม่มีการมองสำรวจว่าทางนั้นเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น ดูเหมือนเขากำลังนั่งฟังละครดีๆ อย่างสงบ

        เดิมทีในใจของซูจิ่นซีล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อเยี่ยโยวเหยา ในคราแรกนางคิดว่าหากนางสามารถอยู่ห่างจากเยี่ยโยวเหยาได้เท่าไรก็ควรอยู่ให้ห่างมากเท่านั้น กระทั่งหวังว่าที่ผ่านมานางจะไม่เคยพึ่งพาเขา ที่ผ่านมานางไม่ใช่พระชายาโยวอ๋อง นางไม่ต้องการเป็นพระชายาของเขาเพราะนางกลัวว่าผู้อื่นจะมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ หรือคิดว่านางเป็นคนนำโชคร้ายมาให้เขา

        ทว่าในตอนนี้ เมื่อได้เห็นเยี่ยโยวเหยาที่เฉยชาเช่นนี้ ภายในหัวใจกลับยังคงรู้สึกเจ็บปวดและผิดหวัง

        “นำซูจิ่นซีไปเข้าคุกหลวง ข้าต้องการตรวจสำนวนและตัดสินคดีนี้ด้วยตนเอง” ฮ่องเต้ตรัสขึ้น

        เหล่าองครักษ์ลากซูจิ่นซีลงมาจากลานพระที่นั่ง

        ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมบางอย่างลอยอยู่ในอากาศ พร้อมกับที่ระบบถอนพิษเตือนว่ามีพิษ มันคือกลิ่นของหมีเตี๋ยเซียง [2]

        “สิ่งใดกันที่หอมถึงเพียงนี้? ”

        “หอมจังเลย! ”

        เหล่าทหารองครักษ์ที่คุมตัวซูจิ่นซีกล่าว

        ทว่าแปลกดี

        กลิ่นนี้ดูเหมือนจะลอยมาตามทิศทางที่ถูกกำหนด เพราะซูจิ่นซีพบว่ามีเพียงนางกับทหารองครักษ์สองสามนายที่คุมตัวนางเท่านั้นที่ได้กลิ่น ฝูงชนที่เหลือและฮ่องเต้ที่ประทับ ณ ลานพระที่นั่งล้วนไม่รู้สึกถึงกลิ่นนี้เลย

        ซูจิ่นซีรีบถอนพิษให้กับตนเองอย่างเงียบเชียบ

        ผลเป็นอย่างที่นางคาดการณ์ไว้ ทหารองครักษ์ที่คุมตัวนางทั้งหมดต่างล้มลงบนพื้น

        ตามมาด้วยเสียงขลุ่ยที่ไพเราะ ส่งเสียงสะท้อนล่องลอยมาจากที่ห่างไกลเป็นระยะเวลายาวนาน

        “ดูเร็ว เป็นคุณชายจิ่ว! ”

        “ที่แท้ก็เป็นคุณชายจิ่ว! ”

        “เป็นคุณชายจิ่วจริงๆ ! ”

        “งดงามมากจริงๆ … ”

        ซูจิ่นซีมองไปตามเสียงขลุ่ย ทันใดนั้นนางก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจ

        ภาพวาดตรงหน้านี้ ช่างงดงามเสียเหลือเกิน!

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset