ซูจิ่นซีผลักจิ่วหรงออก “ไม่ล้อข้าเล่นนะเจ้าคะ”
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าจิ่วหรงไม่ใช่คนเช่นนั้น ทั้งยังไม่สามารถมีความรู้สึกอันใดต่อนางได้
อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ยังไม่มี
“อย่าทำให้ตนเองลำบาก! ” จิ่วหรงลูบบ่าของซูจิ่นซีอย่างปลอบประโลม
พอดีกับที่แม่เล้านำโสเภณีชายสิบคนเข้ามา นางหัวเราะร่าพลางแนะนำเหล่าโสเภณีให้กับซูจิ่นซี ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่ได้สนใจจิ่วหรงอีก
โสเภณีชายทั้งสิบคนต่างก็มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว
มีคนที่เหมือนกับจิ่วหรง ดูอ่อนโยนราวกับเทพเซียน แน่นอนว่าไม่อาจเทียบจิ่วหรงได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีคนที่มีใบหน้าอ่อนโยน ดูดีเสียยิ่งกว่าสตรี
และคนที่มีหนวดเครารุงรังเป็นแพ ใบหน้าและรังสียิ่งทำให้ดูเหมือนผู้ชายดิบเถื่อน
ซูจิ่นซีมองดูแล้ว ภายในใจก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่อาจเทียบกับเยี่ยโยวเหยาได้เลย
“พวกเจ้าทั้งหลายจงปรนนิบัติให้ดี! ” แม่เล้าตะโกน “คุณผู้หญิงและคุณชายเป็นแขกผู้มีเกียรติ หากพวกเจ้าปรนนิบัติได้ดี ท่านก็จะให้รางวัล”
“ขอรับ! ”
“คุณผู้หญิง หากมีสิ่งใดที่ต้องการก็สั่งข้ามาได้เลยนะเจ้าคะ ข้าอยู่ข้างล่างเจ้าค่ะ! ”
แม่เล้าพูดกับซูจิ่นซีอีกครั้งแล้วจึงเดินหัวเราะร่าจากไป
ซูจิ่นซีจิตใจสับสนวุ่นวาย ความคิดปั่นป่วนยิ่งนัก นางสุ่มหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งไห ก่อนจะนั่งลงบนแคร่ไม้ยาวพลางยกสุราเข้าปากตนเองตามอำเภอใจ
จิ่วหรงเห็นว่าซูจิ่นซีไม่สามารถทำอันใดได้ จึงส่ายศีรษะอย่างไม่เต็มใจและนั่งลงด้านข้าง
บุรุษที่แต่งกายเหมือนนักปราชญ์คนหนึ่งเดินมานั่งข้างกายของซูจิ่นซี พลางเอ่ยด้วยเสียงที่ละเอียดนุ่มนวล “คุณผู้หญิง ดูเหมือนว่าวันนี้ท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีนะขอรับ! ทว่าท่านมาที่นี่นั้นถูกต้องแล้ว พวกข้าไม่กี่คนจะปรนนิบัติให้คุณผู้หญิงรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างแน่นอน มา ข้าดื่มให้คุณผู้หญิงก่อนหนึ่งจอกนะขอรับ”
ชายผู้นั้นยกจอกสุราในมือชนกับจอกสุราของซูจิ่นซี และดื่มลงไปอย่างกล้าหาญยิ่งนัก ซูจิ่นซีไม่ลังเลใจ เงยหน้าขึ้นดื่มเช่นกัน
ชายหนุ่มอีกเก้าคนจึงโห่ร้องร่วมดื่มไปกับซูจิ่นซี พวกเขามองไปยังจิ่วหรงและรับรู้ได้ว่าจิ่วหรงไม่ใช่บุคคลธรรมดา จึงไม่ได้ทำกิริยาท่าทางที่นอกลู่นอกทางต่อซูจิ่นซีมากจนเกินไป ทำเพียงดีดขิม เป่าขลุ่ย และดื่มสุราเท่านั้น
หลังจากนั้น จิ่วหรงก็พูดขึ้นว่าเสียงเป่าขลุ่ยของชายผู้นั้นไม่น่าฟังเอาเสียเลย เขาจะเป่าให้ซูจิ่นซีฟังด้วยตนเอง
เสียงขลุ่ยของจิ่วหรงช่างเป่าได้ไพเราะน่าฟังอย่างแท้จริง ซูจิ่นซีที่ฟังอยู่รู้สึกราวกับกำลังล่องลอยขึ้นไปบนสวรรค์
“คุณผู้หญิง ท่านมีเรื่องอันใดในใจหรือไม่? เล่าให้พี่ชายฟังได้นะขอรับ? ”
ชายโสเภณีที่ดื่มเป็นเพื่อนซูจิ่นซี เอ่ยถามด้วยสายตาพร่ามัว เขาเองก็ดื่มไปไม่น้อยทีเดียว
ซูจิ่นซียกยิ้มที่มุมปากอย่างขมขื่น นางรินสุราให้ตนเองและชายผู้นั้น “มา ดื่มอีกจอก”
“โอ้ ข้าคิดว่าท่านคงไม่ต้องการเปิดเผย! ทว่าคุณผู้หญิง ท่านใช้สุราคลายความกังวลไม่ได้นะขอรับ! มีเรื่องอันใดก็คุยกับพี่ชายเถิด พี่ชายจะปลอบโยนเจ้าเอง! ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็ยื่นมือเรียวยาวออกไปแตะเสื้อผ้าของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีดื่มสุราไปค่อนข้างมากจึงไม่ทันสังเกต
ทว่าจิ่วหรงไม่ได้ดื่ม เขาสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว เสียงขลุ่ยหยุดลงกะทันหัน จิ่วหรงใช้ขลุ่ยปัดจอกสุราบนโต๊ะให้กระทบเข้ากับศีรษะของโสเภณีชายผู้นั้น
ในช่วงเวลาเดียวกัน ประตูก็ถูกคนถีบเปิดเข้ามา กลิ่นอายทั้งร่างของเยี่ยโยวเหยานั้นเยือกเย็นดั่งเทพเจ้า เขาย่ำเท้าเข้ามาทีละก้าว เดินผ่านฝูงชนตรงไปยังซูจิ่นซี ก่อนจะคว้าซูจิ่นซีขึ้นมาจากแคร่ไม้
ซูจิ่นซีดื่มจนมึนไปหมด ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวเลือนราง ปรากฏความมึนเมาในแววตา ผิวแก้มแดงก่ำ นางค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมอง
“เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา??? หึหึหึ ข้าฝันไปแล้วอย่างแน่นอน เวลานี้เยี่ยโยวเหยาจะปรากฏตัวได้อย่างไรกัน? เขา… เขาอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูหนานกงอยู่นี่! ”
“ซูจิ่นซี! ” เยี่ยโยวเหยาคว้าแขนของซูจิ่นซีแล้วลากนางมายังด้านหน้าของเขา “คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าสวมเขา นอกใจข้า? ”
ซูจิ่นซีสติเลือนลาง เพียงเห็นเยี่ยโยวเหยาคนเดียวก็รู้สึกอึดอัดใจมากแล้ว เวลานี้ยังเห็นเยี่ยโยวเหยามีหลายคน หลายหัว ก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่
นางหรี่ตาทั้งสองข้าง เบะปากหน้ามุ่ยชี้ไปที่ศีรษะของเยี่ยโยวเหยา “หือ… เหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงกลายเป็นยักษะ [1] เล่า คาดไม่ถึงว่า… คาดไม่ถึงว่าจะมีสามเศียรหกกร [2] ไม่ถูกสิ… ไม่ได้สวมเขานอกใจนี่! ”
เยี่ยโยวเหยาปัดมือของซูจิ่นซีทิ้งอย่างหมดความอดทน เขาอุ้มนางขึ้นในทิศทางแนวนอนระดับสององศาและเดินออกไปนอกห้องอย่างสง่างาม
ทว่าก่อนจะเดินออกไป เยี่ยโยวเหยาได้หันศีรษะกลับมามองจิ่วหรงแวบหนึ่ง และออกคำสั่งอย่างโกรธเกรี้ยว “คนเหล่านี้ ฆ่าอย่าปรานี”
พระชายาของข้ายังกล้าคิดครอบครอง พวกมันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่
แววตาของจิ่วหรงค่อยๆ หรี่ลง
โสเภณีชายทั้งสิบคนต่างตกใจจนร่างกายอ่อนแรงลงไปกองอยู่บนพื้น พวกเขาส่งเสียงตะโกนร้องขอความเมตตา เวลานี้พวกเขาจึงตระหนักได้ว่า เมื่อครู่ที่ตนปรนนิบัติอยู่คือพระชายาโยวอ๋อง!
หากรู้ก่อนนานแล้ว เช่นนั้น แม้ว่าจะให้เงินพวกเขามากมายเพียงใด พวกเขาก็จะไม่มาแน่นอน!
เยี่ยโยวเหยาแบกซูจิ่นซีตลอดทางกลับจวนโยวอ๋อง พวกเขาเดินผ่านถนนใหญ่ที่คึกคัก ข้างทางมีผู้คนแน่นขนัดยืนมองด้วยความตกตะลึง เช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าในเมืองตี้จิงคงจะมีเรื่องให้ซุบซิบนินทาอยู่ไม่น้อยเป็นแน่
ซูจิ่นซีอาเจียนอยู่ข้างทางหลายต่อหลายครั้ง อาเจียนจนเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกายของเยี่ยโยวเหยา
เมื่อเข้าประตูจวนมา แม่นมฮวาและพ่อบ้านต่างพากันตกตะลึง
คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาผู้ที่รักสะอาดเป็นอย่างยิ่งจะสามารถอดทนเพื่อพระชายาได้ถึงเพียงนี้
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ ท่านว่า ท่านชอบหม่อมฉันแล้วหรือไม่เพคะ? ”
เมื่อเยี่ยโยวเหยานำซูจิ่นซีไปโยนไว้บนเตียง ซูจิ่นซีก็ปีนขึ้นมาอีกครั้งและโพล่งถามเยี่ยโยวเหยา
“ซูจิ่นซี เจ้าเมาแล้ว! ”
“หม่อมฉันไม่ได้เมานะเพคะ เยี่ยโยวเหยา แม้ท่านจะไม่ชอบหม่อมฉัน แม้พวกเรายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน ทว่าเหตุใดท่านจะต้องอภิเษกกับหม่อมฉัน? ทั้งยังหยอกเย้าหม่อมฉัน? เพื่ออันใดเพคะ? ”
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเย็นชา ไม่พูดจาอันใดแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาหนึ่งครั้ง กลืนน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา “ได้เพคะ หากท่านไม่ชอบหม่อมฉัน ก็เชิญท่านไปนัดพบกับคุณหนูหนานกงของท่าน หม่อมฉันก็จะไปหาบุรุษของหม่อมฉัน ท่านและหม่อมฉันไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก”
ซูจิ่นซีพูดจบก็ปล่อยคอเสื้อของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะเดินอย่างยากลำบากออกไปด้านนอก
เยี่ยโยวเหยาลากซูจิ่นซีกลับมาด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก พลางดุนางว่า “ซูจิ่นซี ชายพวกนั้นเจ้าก็สัมผัสลงหรือ? ว่าอย่างไร? ”
“ไม่ใช่ธุระของท่าน! ”
“เช่นนั้นข้าเล่า? เจ้าอย่าลืมเรื่องที่เจ้าทำต่อข้า”
แม้ซูจิ่นซีจะดื่มจนเมา ทว่านางยังคงมีสติอยู่เล็กน้อย นางสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เยี่ยโยวเหยากำลังพูดถึงคือเรื่องราวในสวนหลังบ้านของจวนสกุลซู
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ตกตะลึงในทันที
ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ให้เวลาซูจิ่นซีได้มีปฏิกิริยาตอบโต้มากนัก วินาทีต่อมามือใหญ่ของเยี่ยโยวเหยาก็จับเข้าที่ด้านหลังศีรษะของซูจิ่นซี และจูบริมฝีปากของนางอย่างดุเดือด
ในหัวของซูจิ่นซีมีเสียงดังสะท้อนขึ้นมา ร่างกายถูกเยี่ยโยวเหยาบังคับให้เดินถอยหลังสองก้าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สุดท้ายร่างของนางก็กระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง
แม้แต่เสียงของความเจ็บปวดก็ถูกริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยากดครอบงำไว้
ในที่สุดความมึนเมาของซูจิ่นซีก็เลือนหายไป สติของนางกลับมาอย่างสมบูรณ์
ซูจิ่นซีทุบหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาอย่างแรง ดิ้นรนอย่างหนัก
คนชั่วช้า เขากำลังทำอันใด? เขาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาคิดว่าซูจิ่นซีเป็นตัวอะไรไปแล้ว?
ก่อนหน้านั้นยังไปเดินนัดพบกับสตรีอื่น บัดนี้กลับมาจูบนาง หมายความว่าอย่างไรกันแน่?
น่าเสียดายที่การต่อสู้ของซูจิ่นซีนั้นราวกับลูกแกะตัวเล็กๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าหมาป่าผู้หิวโหย การต่อต้านจึงไม่ส่งผลกระทบอันใดเลยแม้แต่น้อย
ขาทั้งสองขาของเยี่ยโยวเหยาหนีบเข้ากับขาของซูจิ่นซีที่ถีบมั่วซั่ว มือข้างหนึ่งกดมือของซูจิ่นซีไว้บนผนังอย่างแน่นหนา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็จับศีรษะของซูจิ่นซีไว้
บ้าจริง!
สัตว์ร้ายกาจ!
ซูจิ่นซีสาปแช่งในใจ นางกัดเยี่ยโยวเหยาอย่างรุนแรงหนึ่งครา
เยี่ยโยวเหยารู้สึกเจ็บปวดชั่วครู่ จึงปล่อยปากของซูจิ่นซีออก
“ไม่ยอมหรือ? ว่าอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาถามเสียงเย็นชา
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันสัตว์ร้าย! ”
เยี่ยโยวเหยาปล่อยมือของซูจิ่นซี และเช็ดเลือดที่มุมปาก
“คืนนั้นเจ้าก็ดูเหมือนสัตว์ร้ายเช่นกันไม่ใช่หรือ? ” เยี่ยโยวเหยาถามเสียงเย็น
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ถึงดอกท้อที่พลิ้วไหว ค่ำคืนแห่งความสัมพันธ์ที่อ่อนหวาน แก้มของนางพลันแดงก่ำขึ้นมาในทันที
“เยี่ยโยวเหยา ท่านหน้าไม่อาย นั่นมันเป็นเพียงอุบัติเหตุนะเพคะ”
“ดังนั้น เจ้าเป็นหนี้ข้า เจ้าต้องชดใช้คืนทุกอย่าง”
ชดใช้?
เอาอันใดมาชดใช้?
ซูจิ่นซียังไม่ทันคิด จูบของเยี่ยโยวเหยาก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง
เดิมทีซูจิ่นซีคิดจะดิ้นรนขัดขืน ทว่าทันใดนั้นร่างของนางก็ถูกทำให้ขยับไม่ได้
……
เชิงอรรถ
[1] ยักษะ แปลว่า บุคคลที่มีหน้าตาอัปลักษณ์และโหดร้ายหรือบุคคลที่ดูดุร้าย
[2] สามเศียรหกกร คือสำนวนจีน หมายถึง ความสามารถล้ำเลิศ มีฤทธิ์เดชมาก หรือมีอิทธิฤทธิ์มาก