สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 119 เปิดเผยและความลับของหยกกิเลน

        เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะตื่นเต้นขึ้นมาเพราะการตอบสนองของซูจิ่นซี ลมหายใจของเขาเริ่มรุนแรงขึ้น น้ำหนักของการจูบก็หนักหน่วงขึ้นเช่นกัน ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับปล่อยซูจิ่นซีให้เป็นอิสระในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี

        ทันใดนั้นภายในใจของซูจิ่นซีก็เกิดความว่างเปล่าขึ้นเล็กน้อย

        ดวงตาที่ลึกล้ำของเยี่ยโยวเหยามองแก้มของซูจิ่นซีที่แดงระเรื่อ คิ้วและดวงตาของนางราวกับลูกท้อ ริมฝีปากแดงบวมเล็กน้อย มุมปากวาดรอยยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา

        “เยี่ยโยวเหยา… ”

        ซูจิ่นซีหลับตาลงอย่างเขินอาย ส่งเสียงออกมาแผ่วเบา

        “อย่าขยับ! ”

        ทันใดนั้นน้ำเสียงขุ่นมัวของเยี่ยโยวเหยาพลันทวีความรุนแรงขึ้น ราวกับว่าเขากำลังอดกลั้นกับสิ่งใดบางอย่างอยู่

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ… ”

        ซูจิ่นซีเงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย

        เยี่ยโยวเหยาเอื้อมมือใหญ่ออกมาและใช้แขนเสื้อยาวบังหน้าซูจิ่นซีไว้

        แสงจันทร์สว่างไสว ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมทั่วเรือนชิงโยว สาวงามก้มหน้าลงด้วยรอยยิ้มเหนียมอาย นับเป็นสิ่งล่อใจอย่างยิ่งสำหรับบุรุษเพศ นอกจากนั้น เมื่อครู่ยังพึ่งผ่านการสัมผัสถึงจูบที่แสนหอมหวาน บัดนี้ร่างกายของเยี่ยโยวเหยาจึงราวกับมีไฟแผดเผา

        เยี่ยโยวเหยาเกรงว่าหากได้ยินเสียงของซูจิ่นซีอีกครั้ง หรือเห็นใบหน้าที่สวยงามราวกับภาพวาดของซูจิ่นซีอีกครา เขาคงจะอดทนเอาไว้ไม่ได้ อดทนไม่ไหวอีกครั้ง…

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ… ”

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากอยู่ภายใต้แขนเสื้อยาวของเยี่ยโยวเหยา มือของนางบีบเอวของเยี่ยโยวเหยาอย่างแผ่วเบา

        พวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว นอกจากนั้นยังเคยร่วมรักกันในสวนหลังบ้านสกุลซู อีกทั้งตอนนี้ต่างฝ่ายก็ต่างหลงใหลกันทั้งคู่ หากพวกเขาปรารถนาจะกระทำการสิ่งใดที่มากกว่านี้ก็นับว่าถูกหลักทำนองคลองธรรม ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่ได้ทำอย่างนั้น

        หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยโยวเหยาก็ปล่อยซูจิ่นซีให้เป็นอิสระ

        ในเวลานี้ ทั้งสองพึ่งจะพบว่าท้องฟ้าเริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมาอย่างบางเบา

        นี่เป็นหิมะแรกที่ซูจิ่นซีเห็นหลังจากข้ามภพมายังสถานที่แห่งนี้ และยังเป็นหิมะแรกของปลายฤดูใบไม้ร่วงและต้นฤดูหนาวในปีนี้อีกด้วย

        ที่แท้ช่วงเวลาและสถานที่แห่งนี้ก็เหมือนกับช่วงเวลาและสถานที่ก่อนหน้าของนาง ช่วงเวลาของปลายฤดูใบไม้ร่วงและต้นฤดูหนาวไม่ชัดเจน เพิ่งจะย่างเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวยังมาไม่ถึง ทว่าหิมะก็โปรยปรายลงมาเสียแล้ว

        “สวยจริงเชียว! ”

        ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือออกไปสัมผัสกับเกล็ดหิมะที่ตกลงมา

        ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เกล็ดหิมะก็ราวกับถูกปกคลุมด้วยแสงสีเหลืองทองพร่างพราย โปรยปรายลงมาราวกับดอกไม้ไฟที่ตกจากฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น สวยงามยิ่งนัก

        “เอ๊ะ นี่คือกระไรเพคะ? ”

        ทันใดนั้น เท้าของซูจิ่นซีก็เหยียบเข้ากับสิ่งใดบางอย่าง หลังจากหยิบขึ้นมาก็พบว่าเป็นหยกที่แกะสลักลายกิเลน

        คงเป็นเมื่อครู่ที่เยี่ยโยวเหยาจูบซูจิ่นซีและไม่ทันระวังจึงทำให้ของสิ่งนี้ตกลงมาจากตัวเขา

        “เจ้าไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อนหรือ? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย

        ตามหลักการแล้ว สิ่งนี้ควรจะเป็นของซูจิ่นซี นางไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้จัก

        “เหมือนว่า… เคยเห็นมาก่อนเพคะ” ซูจิ่นซีคิดอยู่นาน “นี่คงจะเป็นของของพี่สี่กระมัง? ตอนที่ยังไม่ได้เข้ามาในจวนโยวอ๋อง หม่อมฉันเคยเห็นที่เรือนของนาง นางไม่ทันระวังจึงทำหล่นไว้เพคะ”

        คงเป็นในตอนนั้นที่องครักษ์เงาจับซูเมิ่งเหยามาด้วยความเข้าใจผิด

        “เจ้าดูอีกรอบ! ” เยี่ยโยวเหยาต้องการยืนยันอีกครั้ง

        ซูจิ่นซีพลิกของในมือไปมา มันก็คือหยกที่แกะสลักลายกิเลนอันหนึ่งไม่ใช่หรืออย่างไร! เป็นหยกชิ้นนั้นที่นางเคยเห็นในเรือนของซูเมิ่งเหยามาก่อน

        ซูจิ่นซีมั่นใจว่าไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อนอย่างแน่นอน

        ดังนั้นนางจึงส่ายศีรษะ

        การแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาราวกับคลางแคลงใจเป็นอย่างยิ่งมาก

        “เอ๊ะ มันเหมือนว่าจะแตกแล้วเพคะ ตรงนี้มีช่องว่าง” สายตาที่ว่องไวและเฉียบแหลมของซูจิ่นซีสังเกตเห็นถึงความแตกต่าง ในขณะที่ใช้นิ้วมือลูบไปบนช่องว่างนั้น นางก็ส่งเสียงร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมาในทันที

        นิ้วมือถูกช่องว่างของหยกบาดจนเป็นแผล

        “โง่จริง! ”

        เยี่ยโยวเหยาแทบไม่หยุดคิด เขาดึงนิ้วของซูจิ่นซีเข้าไปในปากของตนเองทันที

        เมื่อนิ้วมือของนางถูกดูด ในใจของซูจิ่นซีรู้สึกชาวาบ นางมองท่าทางของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นก็หัวเราะ “พรืด” ออกมา

        “ขำกระไร? ”

        เยี่ยโยวเหยาปล่อยมือของซูจิ่นซีออก พลางขมวดคิ้วถามขึ้น

        ซูจิ่นซีเพียงยิ้มตอบ ไม่ได้พูดจาอันใด ทว่าภายในใจกำลังคิดว่า ที่แท้ผู้ที่บุคคลภายนอกเพียงแค่ได้ยินเรื่องราวก็พากันขวัญหนีดีฝ่อ ผู้ที่ภายในมีความเยือกเย็น วางท่าทีเคร่งขรึมจนทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าหา ราชาผู้ชั่วร้ายที่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจมนุษย์ก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกันนี่!

        เมื่อเขาตกหลุมรัก เขาก็ยังทำในสิ่งที่เด็กชายและเด็กหญิงทำเมื่อมีความรักเช่นนั้น

        ดูเหมือนว่าระหว่างเทพเซียนและมนุษย์นั้นจะไม่แตกต่างกันมากนัก!

        เยี่ยโยวเหยาเปลี่ยนแปลงท่าทีไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นี้ยังแสดงออกอย่างหนาวเย็นราวกับหิมะ คาดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นความอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาแบบใดก็ล้วนทำให้ซูจิ่นซีชอบจนแทบจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงยิ่งใกล้ชิดกับนางมากขึ้น

        ทันใดนั้นหยกที่อยู่ในมือเปื้อนเลือดของซูจิ่นซีพลันส่องแสงสว่างแวววาวขึ้นมาจนทำให้คนแสบตา ซูจิ่นซีตกใจผงะและรีบโยนหยกออกไปอย่างรวดเร็ว

        เมื่อหยกหล่นลงบนพื้น แสงจากหยกก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากการระเบิดของแสงก็มีดอกปี่อั้นดอกหนึ่งโบยบินออกมาจากด้านในของหยก ขณะที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้นั้น ดอกปี่อั้นก็ได้โบยบินร่อนลงมาบนแผ่นหลังของซูจิ่นซี

        ดวงตาของซูจิ่นซีเบิกกว้าง ทันใดนั้นนางก็หมดสติไป

        ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเยี่ยโยวเหยาไม่ทันได้ปกป้องซูจิ่นซี

        “จิ่นซี… จิ่นซี… ”

        บนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

        ทว่าซูจิ่นซีไม่รับรู้สิ่งใดเลย

        “จิ่นซี… จิ่นซี… ”

        เยี่ยโยวเหยาเอ่ยเรียกซูจิ่นซีด้วยความกังวล

        ทันใดนั้นหยกกิเลนที่อยู่บนพื้นก็กลายเป็นแสงสว่างวาบขึ้นมา แสงนั้นลอยเข้าไปยังตำแหน่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

        ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลงเล็กน้อย เขาพบว่าบนแผ่นหลังที่ส่องแสงเจิดจ้าของนาง ภายใต้ชุดขนห่านสีอ่อนบางเบา ได้ปรากฏรูปลักษณ์แปลกประหลาดขึ้น

        “ท่านอ๋อง เป็นอย่างไรเพคะ? เกิดอันใดขึ้นเพคะ? ”

        แม่นมฮวารีบเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว

        เยี่ยโยวเหยารีบยกแขนเสื้อกว้างปิดแผ่นหลังของซูจิ่นซีเอาไว้ เขาโอบอุ้มซูจิ่นซีขึ้นมาและเดินไปยังเรือนอวิ๋นไค

        “พระชายาหมดสติไป รีบไปตามหมอหลวงมาเร็ว”

        “เพคะ! ” แม่นมฮวามีใบหน้ากังวลเช่นกัน

        เดินไปได้เพียงสองก้าว เยี่ยโยวเหยาก็หันกลับมา “เชิญหมอหลวงอวิ๋น”

        ลวี่หลีก็มาถึงแล้วเช่นกัน ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ให้ลวี่หลีตามขึ้นมาด้านบน

        เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีมาวางบนเตียง เขามีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบรรจงถอดเสื้อผ้าของซูจิ่นซีออกอย่างแผ่วเบา

        ผิวที่บอบบางของซูจิ่นซีและส่วนโค้งเว้าที่งดงามทำให้เยี่ยโยวเหยาชะงักไปชั่วขณะ ทว่าตอนนี้เยี่ยโยวเหยาค่อนข้างกังวลมากเกี่ยวกับลวดลายบนแผ่นหลังของซูจิ่นซี

        มันคือลวดลายของกิเลนที่เหยียบเท้าลงบนดอกปี่อั้น

        องค์ประกอบของกิเลนและดอกปี่อั้นในภาพ เทียบกับหยกเปื้อนเลือดที่โบยบินเข้าไปในร่างกายของซูจิ่นซีเมื่อครู่นั้น มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ

        เพียงแต่รอยบนหลังของซูจิ่นซีดูสมจริงยิ่งกว่าตอนที่อยู่บนหยกเสียอีก

        ท่าทางวางอำนาจของกิเลน ศีรษะเย้ยสวรรค์ ราวกับสัตว์เดรัจฉานคำราม

        ใต้เท้าเหยียบดอกปี่อั้นที่กำลังเบ่งบานอย่างสวยงาม สีสันดั่งเพลิงไฟ ราวกับภาพที่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น มันกระตือรือร้นที่จะพุ่งออกมาจากผิวหนังขาวเนียนของซูจิ่นซี

        ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีบอกว่านางไม่เคยเห็นหยกกิเลนมาก่อน ทว่าจากที่เยี่ยโยวเหยาทราบ เจ้าของหยกกิเลนก็คือซูจิ่นซี

        เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?

        นอกจากนั้นเยี่ยโยวเหยายังนึกขึ้นได้ว่า สายลับที่อยู่ในจวนสกุลซูรายงานว่าเยี่ยเซินและซูเซียนฮุ่ยได้ค้นทั่วร่างของซูจิ่นซีแล้ว แต่ก็หาหยกกิเลนไม่พบ ทว่าหลังจากนั้นที่เขากับซูจิ่นซีได้มีความสัมพันธ์กันในสวนด้านหลังจวนสกุลซู หยกกิเลนก็ถูกเยี่ยโยวเหยาเก็บขึ้นมาได้

        หมายความว่าหยกกิเลนนั้นอยู่บนร่างกายของซูจิ่นซีมาโดยตลอด

        ทว่าในเมื่อมันอยู่บนตัวของซูจิ่นซีมาตลอด เหตุใดเยี่ยเซินกับซูเซียนฮุ่ยถึงหาไม่พบเล่า?

        หรือว่า…

        เยี่ยโยวเหยาเหลือบตามองแผ่นหลังของซูจิ่นซี จ้องไปยังภาพของกิเลนที่เหยียบเท้าลงบนดอกปี่อั้น

        หรือว่าตอนนั้นหยกกิเลนปรากฏเป็นภาพอยู่บนหลังของซูจิ่นซีแล้ว?

        กิเลนหล่นลงมาจากภาพนี้หรือ?

        เช่นนั้นชีวิตของซูจิ่นซี…

        ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เรื่องที่คาดไม่ถึงมีมากมาย ทว่าเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้กลับไม่ใช่เรื่องที่จะพบเห็นได้ทั่วไป และไม่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ใดก็ได้

        นอกเสียจากว่าซูจิ่นซีเป็น…

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset