สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 129

      ซูจิ่นซีใช้เวลาในช่วงบ่ายทั้งหมดจัดเก็บสิ่งของเหล่านี้ให้เป็นระเบียบใหม่อีกครั้ง

        นางเลือกของที่ตนเองชอบและใช้จริงไม่กี่ชิ้น มอบให้ลวี่หลีสองถึงสามชิ้น และเลือกให้แม่นมฮวาอีกจำนวนหนึ่ง ข้าวของที่เหลือก็ตัดสินใจเก็บเอาไว้ก้นหีบ

        ตกดึก ซูจิ่นซีฝันอีกแล้ว

        จิตสำนึกของนางไม่ได้เข้าไปในกำไลข้อมือปี่อั้น ทว่านางฝันเห็นมารดาของตนเอง

        ในความฝัน ใบหน้ามารดาของนางเปื้อนเลือดจนดูเลือนราง ซูจิ่นซีมองไม่เห็นว่าหน้าตาของนางเป็นอย่างไร

        ทว่านางกลับบีบคอของซูจิ่นซี ถามซูจิ่นซีว่า “จิ่นซี แม่ตายอย่างไร้ความยุติธรรมยิ่งนัก… เหตุใดเจ้าไม่แก้แค้นแทนแม่ เหตุใดจึงไม่ยอมมาหาแม่เลย เหตุใด… ”

        ซูจิ่นซีตกใจพรวดขึ้นมาจากเตียง จึงจะพบว่าตนเองเพียงฝันร้ายเท่านั้น

        นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก ลุกจากเตียงด้วยเท้าเปล่าเพื่อจุดตะเกียง นางนอนไม่หลับ เฝ้าแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับความกังวลของนางทั้งคืน

        เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เยี่ยโยวเหยาออกไปวิหารวิญญาณ ซูจิ่นซีก็ไปที่คุกหลวงอีกครั้ง

        “พูดมา! ท่านจะบอกเรื่องราวทุกอย่างที่ท่านรู้เกี่ยวกับมารดาของข้าได้อย่างไร! ”

        ในห้องขังที่มืดมิดและเปียกชื้น ซูจิ่นซีพยายามอดทนกับอารมณ์ที่หลากหลาย นางถามซูจ้งด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก

        ซูจ้งลุกขึ้นจากเตียงเย็นเยือกอย่างเชื่องช้า มุมปากเย้ยหยัน “ซูจิ่นซี ตาแก่อย่างข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องมาหาข้า ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก ตาแก่อย่างข้ายังคงเข้าใจนิสัยของเจ้า”

        แววตาของซูจิ่นซีเฉียบคม นางกระแทกหมัดลงบนเตียงอันเย็นชืดของซูจ้ง ใบหน้ายื่นเข้าไปแทบชิดกับใบหน้าของเขา “พูดมา! ต้องการให้ข้าทำกระไร? ”

        หนวดขาวของซูจ้งสั่นไหว ไม่ได้พูดตอบอันใด เขาลุกขึ้นจากเตียง เดินมายืนข้างโต๊ะทรุดโทรมและเย็นเยียบ เทน้ำให้ตนเองถ้วยหนึ่ง หลังจากดื่มเสร็จก็นั่งลงแล้วกล่าวว่า “บัดนี้ข้าถูกคุมขังอยู่ ชั่วชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะได้ออกไปอีกแล้ว ทว่าความรุ่งโรจน์ในวันวานของจวนสกุลซูที่มีมานั้นเป็นความพยายามอันอุตสาหะของบรรพบุรุษสกุลซูสิบชั่วอายุคน ไม่อาจถูกทำลายให้พังพินาศได้ด้วยน้ำมือของข้า จิ่นซี ไม่ว่าเจ้าจะมีความแค้นต่อสกุลนี้มากเพียงใด ทว่าอย่างไรก็ตามเจ้ายังเป็นคนแซ่ซู เจ้าไม่ควรมองดูสกุลซูเสื่อมโทรมตกต่ำโดยไม่สนใจกระไรแม้แต่น้อย!”

        ความโกรธเกรี้ยวบนใบหน้าของซูจิ่นซีไม่ได้จางหายไป นางหันมามองซูจ้งด้วยสายตาเย็นชา

        ซูจ้งกล่าวต่อว่า “บัดนี้ แม้ว่าฮ่องเต้ไม่ทรงสอบสวนจวนสกุลซูในเรื่องราวของซิ่งหลิวหลี ทว่านางกลับปลอมตัวมาอยู่ในสกุลซูนานหลายปีถึงเพียงนั้น ในพระทัยของฮ่องเต้ยังคงอาฆาตและแค้นเคืองจวนสกุลซู พระองค์ลอบปราบปรามหอโอสถทั้งหมดของสกุลซูที่อยู่ในเมืองตี้จิงอย่างลับๆ ”

        ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่ซูจ้งพูดมาก เขาแสร้งทำเป็นกล้ำกลืนความทุกข์ยากลำบาก ดังนั้นนางจึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านต้องการให้ข้าทำกระไร พูดออกมาตามตรงเถิด! ”

        ซูจ้งชะงักไปชั่วครู่ กล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้ากลับไปยังจวนสกุลซูอีกครั้ง คอยหนุนหลังประมุขสกุลซูคนใหม่ หลังจากนั้นเพื่อเกียรติยศและฐานะของสกุลซู เจ้าต้องฟื้นคืนหอโอสถทั้งหมดของสกุลในเมืองตี้จิงแห่งนี้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”

        ดวงตาของซูจิ่นซีหรี่ลง คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุด ซูจ้งจะขอให้นางทำเรื่องเช่นนี้ เมื่อถึงจุดที่ไม่สามารถปกป้องตนเองได้แล้วเขายังสามารถนึกถึงทรัพย์สินของสกุลซู

        สำหรับบรรพบุรุษสกุลซู ซูจ้งอาจเป็นลูกหลานที่มีคุณสมบัติมากมาย ทว่าสำหรับซูจิ่นซี เขากลับไม่ใช่บิดาที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

        ซูจิ่นซีไม่อาจลืมได้ว่าซูจ้งเคยแทงกริชที่อกมารดาแท้ๆ ของนางอย่างต่ำช้า ครั้งหนึ่งเขาเคยผลักนางด้วยความรังเกียจและไร้ยางอาย เพื่อให้นางจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ

        “ซูจ้ง หากข้าไม่รับปากเล่า? ” ซูจิ่นซีเอ่ยเสียงเย็น

        “เช่นนั้นเจ้าคงไม่ต้องการทราบว่าแม่แท้ๆ ของเจ้า แท้จริงแล้วตายอย่างไร พูดอีกอย่างก็คือ แม้ว่านางจะตายไปแล้ว ทว่าก็ตายตาไม่หลับ”

        “น่ารังเกียจอย่างที่คิดไว้” ซูจิ่นซีเอ่ยขึ้น

        ซูจ้งยิ้มเยาะที่มุมปาก ทั้งยังรินน้ำให้ตนเองดื่มอีกถ้วย โดยไม่กล่าวอันใด

        แสงสลัวฉายลงมาจากหน้าต่างบานแคบ ส่องกระทบใบหน้าของซูจ้ง ยิ่งขับให้ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอกแห่งความทุกข์ของเขาดูโหดร้ายน่ากลัวขึ้นไปอีก

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็รู้สึกว่า แม้นางจะเคยอาศัยและใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันกับบิดาแท้ๆ ผู้นี้ของตนมานานกว่าสิบปี ทว่านางไม่เคยเข้าใจเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยเข้าใจมาโดยตลอด

        “ได้! ซูจ้ง ข้ารับปากท่าน ทว่าหลังจากนี้ข้าจะต้องได้รู้ความจริงทั้งหมด”

        “ที่ผนังชั้นบนสุดทางทิศตะวันออกของหอโอสถสกุลซูมีรูปภาพอยู่เจ็ดภาพ ใต้รูปภาพที่สามนับจากทางซ้ายมือมีช่องลับอยู่ช่องหนึ่ง ด้านในนั้นมีสิ่งของที่เจ้าอาจสนใจ หลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น เจ้าจงนำของสิ่งนั้นมาพบข้า ข้าจะบอกเจ้าในทุกอย่างที่เจ้าต้องการรู้ ทว่าอย่าพึ่งดีใจไป ตอนนี้ข้ายังถูกจองจำอยู่ในคุก กุญแจหอโอสถสกุลซูและสมุดบัญชีทั้งหมดอยู่ในมือของฮั่วซื่อ และสกุลซูก็ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา หากเจ้าต้องการล้มล้างฮั่วซื่อ ต้องการสับเปลี่ยนอำนาจของสกุลซู ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย ”

        ฮั่วซื่อที่ซูจ้งกล่าวถึงไม่ใช่จวนของแม่ทัพฮั่ว ทว่าเป็นภรรยาของซูจ้ง

        แม้นางจะแซ่ฮั่วและพอมีความเกี่ยวข้องกับจวนของแม่ทัพฮั่วอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้ใกล้ชิด

        “ฮั่วซื่อไม่ใช่คนธรรมดา จวนจงอู่โหว [1] ที่อยู่เบื้องหลังของนางก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนคิดจะเป็นปฏิปักษ์ได้” ซูจ้งเตือนซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซียกยิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก “จวนโยวอ๋องก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เรื่องเหล่านี้ไม่ลำบากให้บิดาแท้ๆ อย่างท่านต้องมากังวลหรอก”

        นางไม่คิดว่าซูจ้งจะมีเจตนาดีกับนางถึงเพียงนั้น

        “ได้ ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า”

        ซูจ้งส่งเสียงเยาะเย้ยราวกับไม่ต้องการพูดสิ่งใดกับซูจิ่นซีอีก ก่อนจะเอนหลังลงบนเตียงที่เย็นชืดและเก่าโทรมอีกครั้ง

        ซูจิ่นซีออกมาจากคุกหลวงก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว

        เมื่อกลับถึงจวนโยวอ๋องก็พบว่าเยี่ยโยวเหยากลับมาแล้ว ซูจิ่นซีจึงไปตำหนักฝูอวิ๋นเพื่อหารือกับเยี่ยโยวเหยาถึงเรื่องที่นางจะกลับไปสกุลซูอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาไม่ได้คัดค้าน ซูจิ่นซีจึงกลับไปที่เรือนอวิ๋นไคและเข้านอนอย่างรวดเร็ว

        เช้าวันต่อมา ซูจิ่นซีพาลวี่หลีและแม่นมฮวากลับจวนสกุลซูด้วย

        ข่าวการมาของซูจิ่นซี พ่อบ้านได้แจ้งจวนสกุลซูไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นเมื่อรถม้าของซูจิ่นซีหยุดอยู่ที่หน้าประตูหลักของจวนสกุลซูอย่างสง่างาม ฮั่วซื่อจึงได้ออกมาต้อนรับทุกคนที่หน้าประตู

        “จิ่นซีเอ๋ย! เจ้ากลับมาแล้ว ช่วงนี้แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”

        เมื่อซูจิ่นซีก้าวลงมาจากรถม้า ฮั่วซื่อก็แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก นางเดินลงมาที่พื้นด้านล่างเพื่อประคองมือทั้งสองของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีก้มศีรษะมองลงไปที่มือของฮั่วซื่อ ภายในใจยกยิ้มอย่างเย็นชา

        ดูเหมือนว่าขิงแก่ยังคงเผ็ด [2] อยู่!

        ซูจ้งพูดไม่ผิด ฮั่วซื่อไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน [3] อย่างแน่นอน

        ตอนที่ยังไม่ได้อภิเษกเข้าจวนโยวอ๋องนั้น นางผ่านวันเวลาที่มืดมิดมาได้อย่างไรกัน? ชั่วชีวิตนี้ซูจิ่นซีไม่อาจลืมเลือนได้

        ทว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนว่าฮั่วซื่อจะลืมมันไปหมดแล้ว!

        “ท่านแม่คิดถึงข้าจริงหรือเจ้าคะ? หากคิดถึงข้า เหตุใดจึงไม่เคยไปหาข้าที่จวนโยวอ๋องเลยเล่า? ”

        ไม่ต้องพูดถึงการไปมาหาสู่เลย แม้ซูจิ่นซีจะถูกเยี่ยโยวเหยาทำให้ซี่โครงหัก นางก็ไม่เคยเห็นหน้าของฮั่วซื่อแม้แต่น้อย

        ซูจิ่นซีกระชากใบหน้าเจ้าเล่ห์เสแสร้งของฮั่วซื่อออกอย่างรุนแรง

        ฮั่วซื่อไม่คิดเลยว่าซูจิ่นซีจะไม่ไว้หน้านางต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้  นางจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนไปชั่วครู่

        ใบหน้าของซูจิ่นซียิ้มอย่างใสซื่อ “ฮิฮิ จิ่นซีกำลังหยอกท่านแม่เล่นเจ้าค่ะ! ท่านแม่ไม่คิดจริงจังใช่หรือไม่? ”

        “จะคิดได้อย่างไรเล่า? แม่รู้อยู่แล้วว่าจิ่นซีซุกซนที่สุด”

        การแสดงออกที่ล้ำเลิศบนใบหน้าของฮั่วซื่อหายไปในทันใด นางยกยิ้มพลางตอบกลับ

        ซูจิ่นซีมองไปยังซูเซียนฮุ่ยที่ยืนอยู่ในฝูงชนอีกครั้ง ซูเซียนฮุ่ยคุกเข่าลงกับพื้น ไม่รู้ว่านางกำลังโกรธตนเองหรือกำลังอับอายซูจิ่นซีอยู่กันแน่ ทันใดนั้นร่างกายของซูเซียนฮุ่ยก็สั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีปล่อยมือจากฮั่วซื่อ นางก้าวไปยังด้านข้างของซูเซียนฮุ่ยทีละก้าวๆ

……

เชิงอรรถ

[1] จงอู่โหว เทียบกับฐานะพระยายุทธภักดีของไทย เป็นบรรดาศักดิ์ลำดับที่สองจากห้าลำดับของสังคมศักดินาจีนโบราณ

[2] ขิงแก่ยังคงเผ็ด หรือ สำนวนจีนที่ว่าขิงแก่ย่อมเผ็ด เปรียบเปรยถึง ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยที่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็วกว่า ดีกว่า เนื่องจากสั่งสมประสบการณ์มามากแล้ว

[3] ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน เปรียบเปรยถึง คนที่เรื่องมาก มักจะสร้างความยุ่งอยากให้ผู้อื่นเสมอ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset