สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 132 แผ่นป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลของประมุขสกุลซู

        ฮั่วซื่อแอบนำเข็มเล่มหนึ่งแทงเข้าที่ท้ายทอยของซูจวิ้น ดวงตาทั้งสองข้างของซูจวิ้นพลันเลือนลางขึ้นมา

        ก่อนหน้าที่ซูจวิ้นจะหมดสติไป เขากำแขนเสื้อของฮั่วซื่อไว้แน่นพลางพูดว่า “ท่านแม่ ท่านต้องฆ่าซูจิ่นซี ต้องฆ่านางให้ได้”

        หลังจากที่ซูจวิ้นหมดสติไป ฮั่วซื่อก็จัดการสงบสติอารมณ์ทั้งหมด นางลุกขึ้นยืน บนใบหน้ายังคงปรากฏความเมตตาต่อซูจิ่นซีดังเช่นที่ผ่านมา “จิ่นซี! เป็นแม่เองที่สอนไม่ถูกวิธี สอนน้องชายเจ้าได้ไม่ดี ทว่าเขาก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เจ้าอย่าได้เอามาใส่ใจเลย”

        มุมปากของซูจิ่นซียกยิ้มเย็นชา นางไม่ไว้หน้าฮั่วซื่อเลยแม้แต่น้อย “ท่านแม่ควรดูแลน้องจวิ้นให้ดี เขาคิดว่าตนเป็นลูกของฮูหยิน เพราะถูกท่านและท่านพ่อตามใจจนเสียคน ไม่รู้ว่ายังคิดว่า… ”

        ซูจิ่นซีจงใจลากเสียงยาว ไม่ยอมพูดต่อจนจบ

        “คิดว่ากระไร? ” ฮั่วซื่อถาม

        รอยยิ้มของซูจิ่นซีกลับมาชื่นบานอีกครั้ง “คิดว่าท่านแม่มีจิตใจเมตตาที่เสแสร้งต่อหน้าลูกอย่างไรเล่า! ซูจวิ้นเรียนรู้สิ่งที่ไม่ดีมาจากท่าน วันนี้ล่วงเกินข้าก็ช่างปะไร หากวันหน้ากล้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ต่อหน้าท่านอ๋องอีก คงถูกตัดหัวเป็นแน่”

        ใบหน้าของฮั่วซื่อพลันซีดลงทันที ทว่าไม่นาน ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนมายิ้มชื่นบานเหมือนกับซูจิ่นซี “จิ่นซี เจ้าก็พูดเล่นเก่งจริงเชียว แม่จะเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า! ต่อไปแม่จะดูแลน้องชายเจ้าให้ดี”

        “ไม่ใช่เช่นนั้นก็ดี! ”

        ความหมายที่ซูจิ่นซีกล่าว ผู้คนไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก

        จากนั้นซูจิ่นซีก็เหลือบมองไปยังหลิงจือ สุนัขสีขาวที่นอนตายอยู่บนพื้น นางกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ในจวนนี้มีผู้ที่ปรารถนาให้ข้าตาย ท่านแม่ ท่านว่าอย่างไรเล่า? ”

        รอยยิ้มบนใบหน้าของฮั่วซื่อเหือดแห้งเล็กน้อย “จิ่นซี เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ แม่จะต้องสืบหาความจริงมาอธิบายต่อเจ้าให้ได้”

        “ดี!”

        สิ่งที่ซูจิ่นซีต้องการคือคำพูดนี้ของฮั่วซื่อ

        “ในเมื่อท่านแม่แสดงท่าทีเช่นนี้ ข้าในฐานะบุตรสาวก็วางใจ ข้าให้เวลาท่านเจ็ดวัน! หลังจากเจ็ดวัน หากท่านแม่ยังหาฆาตกรไม่พบว่าคือผู้ใด ตำแหน่งฮูหยินของสกุลซู ท่านก็ไม่ต้องเป็นมันแล้ว”

        กระไรนะ?

        คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะเอาอำนาจมาคุกคามฐานะฮูหยินของฮั่วซื่อ?

        ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นล้วนเบิกตากว้าง มองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อ

        ทราบมาว่า ผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ คนที่มีความเคียดแค้นต่อฮั่วซื่อนั้นมีไม่น้อย เพียงแต่พวกเขาทั้งหมดต้องทนทุกข์ทรมานรับเคราะห์จากตำแหน่งในจวนของฮั่วซื่อและอิทธิพลจากเหนียงเจียของนาง พวกเขาต่างโกรธแค้นทว่าไม่กล้าเอ่ยปากพูด

        ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของฮั่วซื่อในจวนได้

        มิเช่นนั้นซูจ้งที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งยังเป็นผู้นำสำนักหมอหลวงคงไม่แสดงความเฉื่อยชาต่อจวนหลายปีถึงเพียงนั้น

        “หึ น่าตลก! ”

        อนุหลิ่วส่งเสียงเยาะ จ้องมองซูจิ่นซีอย่างดูถูกดูแคลน

        ซูเซียนฮุ่ยก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันเช่นกัน “ซูจิ่นซี เมื่อเช้าเจ้ากินกระไรมา? ถึงได้ปากเหม็นเสียจริง”

        ซูจิ่นซียิ้มเย็นชา ไม่ได้พูดกระไร

        ภายในใจของฮั่วซื่อมั่นคงยิ่งนัก คาดว่าไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนตำแหน่งฮูหยินสกุลซูของตนเองได้

        “ได้ เจ็ดวันก็เจ็ดวัน เมื่อถึงเวลาแม่จะต้องอธิบายให้เจ้าทราบอย่างแน่นอน”

        ในจวนนี้ ฮั่วซื่อคิดว่านางพูดกระไรก็ต้องเป็นเช่นนั้น แม้จะหาฆาตกรตัวจริงไม่ได้ในตอนนี้ แค่เพียงคิดหาแพะรับบาปไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายหรอกหรือ?

        ทว่าคิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะพูดเสริมขึ้นมาอีกครั้ง “ภายในเจ็ดวันนี้ ขณะที่ท่านแม่ตามหาฆาตกร อนุท่านอื่นก็สามารถตามหาได้ด้วยเช่นกัน หากมีผู้ใดพบตัวฆาตกรก่อนท่านแม่ ข้าและท่านอ๋องจะให้การสนับสนุน จากนี้ต่อไปหัวหน้าจวนสกุลซูก็ยกให้เป็นผู้นั้น”

        นี่ไม่ชัดเจนหรือว่าเป็นการยุยงให้เกิดความขัดแย้ง?

        ทันใดนั้นเหล่าอนุที่มักโดนฮั่วซื่อกดขี่ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

        แม้แต่อนุหลิ่วที่อยู่กับฮั่วซื่อและซูเซียนฮุ่ยตลอดเวลา ก็ยังมีแสงสว่างสุกใสในดวงตาเช่นกัน

        มุมปากฮั่วซื่อกระตุกสองครั้ง “จิ่นซี เจ้าจะทำเช่นนี้กับแม่จริงหรือ? ”

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างใสซื่อ ทว่าคำตอบของนางกลับไม่ชัดเจน “ท่านแม่ ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า? ”

        ดวงตาของฮั่วซื่อหดหู่และห่อเหี่ยวใจ

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ลุกขึ้น “เอาละ เรื่องของวันนี้ก็พอเท่านี้เถิด! ยังไม่สายจนเกินแก้ ข้าจะกลับไปพักผ่อนแล้ว ทุกท่านก็รีบแยกย้ายเถิด”

        จากนั้นซูจิ่นซีก็ถามฮั่วซื่อว่า “ท่านแม่ ข้ายังต้องอยู่ที่เรือนฮั่นเซียงเก่าหรือไม่? ”

        ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ซูจิ่นซีเปลี่ยนคำเรียกตนเอง

        เป็นการสร้างความกดดันให้ฮั่วซื่อ

        ซูจิ่นซีเป็นพระชายาโยวอ๋องแล้ว นางจะอยู่ในเรือนเก่าที่ทรุดโทรมนั้นได้อย่างไร “เรือนที่ท่านเคยอยู่ไม่ได้ทำความสะอาดมานานมากแล้ว ให้ท่านไปอยู่ตอนนี้คงมิควร แม่ให้คนไปจัดการทางเหนือสุดของเรือนฮั่นเซียงแล้ว สภาพแวดล้อมที่นั่นดียิ่งนัก เป็นตำแหน่งที่ตั้งและฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในจวน ท่านไปอยู่ที่นั่นเถิด! ”

        “เจ้าค่ะ! ลำบากท่านแม่แล้ว! ”

        ซูจิ่นซียิ้มและพูดกับฮั่วซื่อ หลังจากนั้นจึงพาแม่นมฮวาและลวี่หลีไปยังเรือนฮั่นเซียง ก่อนไปก็ไม่ลืมที่จะชำเลืองตามองซูเซียนฮุ่ยอย่างยั่วยุ

        ซูเซียนฮุ่ยโมโหจนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว

        หากไม่ใช่เพราะท่านแม่กำชับนักกำชับหนาว่าให้อดทน ตอนนี้นางคงทนไม่ไหวแล้ว

        เรือนฮั่นเซียงคือที่อยู่ก่อนหน้าที่ท่านแม่ยินยอมให้ซูเซียนฮุ่ยไปอยู่อาศัย

        เดิมทีลานนั้นได้รับการทำความสะอาดแล้ว เครื่องเรือนที่อยู่ภายในก็ทำการจัดซื้อมาใหม่ ซูเซียนฮุ่ยย้ายเข้าไปอยู่แล้ว ทว่าทันใดนั้นก็มีข่าวลือว่าซูจิ่นซีจะกลับเหนียงเจีย

        ท่านแม่จึงขอให้นางออกมาและยกให้ซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีผู้นี้ ช่างน่ารังเกียจเสียจริง บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็เปรียบดั่งน้ำที่ได้สาดออกนอกบ้านไป [1] นางยังจะกลับมาทำกระไรอีก?

        ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อซูจิ่นซีกลับมาก็ก่อเรื่องวุ่นวายในจวน ผู้คนไม่ได้รับความสงบ น่ารังเกียจเสียจริง

        เมื่อครู่ที่ซูจิ่นซีเดินผ่านไป แววตาของนางสื่อถึงสิ่งใดกันแน่?

        ท้าทายหรือ?

        ดูถูกนางหรือ?

        ซูจิ่นซีอาศัยกระไรมาทำเช่นนี้เล่า?

        คิดว่าเป็นพระชายาท่านอ๋องแล้วผู้คนต้องสรรเสริญหรืออย่างไรกัน?

        ในเรือนฮั่นเซียง

        พื้นได้รับการปูเสียใหม่ กำแพงก็ทาสีใหม่ สีของเสาและหน้าต่างก็ทาใหม่ ลวดลายและสีสันของผ้าม่านทั้งหมดล้วนเป็นที่นิยมที่สุดในเมืองตี้จิงช่วงนี้

        โต๊ะทำจากกระจก กาน้ำชาจากงาช้าง และยังมีผ้านวม

        ทุกอย่างล้วนเปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับหรูหรา

        ฮั่วซื่อพูดถูก ที่นี่ล้วนเป็นที่ที่หรูหราที่สุดในจวนสกุลซู

        เมื่อก่อนซูจิ่นซีไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะเข้าใกล้ลานแห่งนี้ ทว่าตอนนี้นางกลับได้อาศัยอยู่ที่นี่อย่างยุติธรรม

        “หึ ฮั่วซื่อยังนับว่ามีจิตสำนึก” แม่นมฮวากล่าวพลางมองไปที่ลานและสิ่งของตกแต่งภายในบ้านที่ถือว่าไม่เลว

        คิดว่าฮั่วซื่อคงต้อนรับซูจิ่นซีอย่างดี

        ทว่าภายในใจของซูจิ่นซีทราบดี เมื่อมองข้าวของและสีสันในห้อง ซูจิ่นซีก็รู้ว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่ซูเซียนฮุ่ยชอบ

        เดิมทีที่นี่คงได้รับการตกแต่งเพื่อซูเซียนฮุ่ย เมื่อทราบว่าซูจิ่นซีไม่เหมาะสมที่จะอยู่ที่ลานเดิม ฮั่วซื่อจึงให้ซูเซียนฮุ่ยออกมาแล้วให้ซูจิ่นซีอาศัยอยู่ชั่วคราว

        เป็นเรื่องที่ฮั่วซื่อถนัดทำเสียจริง

        เสแสร้งเหมือนเดิม… ไม่เคยเปลี่ยน

        อย่างไรเสีย ลวี่หลีก็โตมากับซูจิ่นซีในสกุลนี้และรู้ว่าฮั่วซื่อเป็นคนเช่นไร

        ลวี่หลีขมวดคิ้วกล่าวด้วยใบหน้าเป็นกังวลว่า “คุณหนูเจ้าคะ ข้าน้อยรู้สึกว่าฮูหยินฮั่วไม่มีเจตนาดี คุณหนูต้องระมัดระวังนะเจ้าคะ! ”

        “วางใจเถิด! ผู้ใดจะจัดการผู้ใดก็ยังไม่รู้! ”

        ซูจิ่นซีกล่าว

        ตลอดทั้งวันไม่มีบทสนทนาอันใดอีก พอตกเย็นฮั่วซื่อได้ส่งคนมาเชิญซูจิ่นซีไปรับประทานอาหารที่ห้องโถงใหญ่ ซูจิ่นซีไม่อยากไป ฮั่วซื่อจึงให้คนนำอาหารมาส่งให้ที่เรือนฮั่นเซียง

        ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหารเย็น แม่นมฮวาชงชาให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีดื่มชาพลางครุ่นคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งตลอดเวลา

        ป้ายสัญลักษณ์ประจำสกุลของประมุขสกุลซู

        ซูจ้งเคยบอกนางตอนอยู่ในคุกหลวงว่ามันวางอยู่ในห้องหนังสือ

        ไม่แน่ว่ามันอาจถูกฮั่วซื่อค้นหาไปแล้วหรือไม่

……

เชิงอรรถ

[1] บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็เปรียบดั่งน้ำที่ได้สาดออกนอกบ้านไป สุภาษิตจีน หมายถึง บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับบ้านสามี ไม่ควรมาข้องเกี่ยวกับครอบครัวตนเองอีกแล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset