ทุกคนรวมถึงซูจิ่นซีต่างตกตะลึง
พวกเขาทำได้เพียงฟังเยี่ยโยวเหยากล่าวเท่านั้น “นับแต่นี้เป็นต้นไปบนจวนโยวอ๋อง พบพระชายาก็เท่ากับพบข้า หากกล้าขัดคำสั่งพระชายา ฆ่าโดยไม่ต้องปราณี! ”
เยี่ยโยวเหยาผสานมือไว้ด้านหลัง ผมยาวปลิวไสว หว่างคิ้วเต็มไปด้วยร่องรอยของความกล้าหาญ ความเยือกเย็นที่โดดเด่นเป็นเลิศ
ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะรับสั่งเช่นนี้
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ! ในอนาคตจะปฏิบัติตามพระชายาอย่างเคร่งครัด พบพระชายาที่ใดก็เท่ากับท่านอ๋องอยู่ที่นั่นด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารอารักขาด้านนอกทั้งหมด รวมทั้งแม่นมฮวาที่อยู่ด้านในห้องต่างคุกเข่าลงบนพื้นอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
เมื่อเวลานี้มาถึง ซูจิ่นซีรู้สึกราวกับไม่ใช่ความจริง
แม่นมฮวามองไปยังซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอย่างตะลึงงันเช่นกัน
แม่นมฮวามีชีวิตมากว่าครึ่งชีวิตถึงเพียงนี้ ทว่านางไม่เคยเห็นพระชายาหรือเจ้านายนางใดในจวนที่มีสิทธิเทียบเคียงบารมีกับบุรุษของตนได้
แม้จะเป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง ก็ควรดูแลเรื่องจวนชั้นในให้กับบุรุษของตนอย่างดีที่สุด ทว่าไม่ถึงกับที่องครักษ์ลับหรือทหารคุ้มกันจะต้องฟังคำสั่งจากพวกนางอย่างเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ประทับอยู่เบื้องหน้ายังเป็นโยวอ๋องผู้ทรงดำรงอยู่ราวกับประทับอยู่บนวิมานสวรรค์ ที่พำนักอันศักดิ์สิทธิ์และแผ่นดินใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาด้วยความโปรดปรานและเอื้ออาทรเหลือคณานับ!
ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาอย่างตกตะลึง แสงนัยน์ตาของเยี่ยโยวเหยาที่ลึกซึ้งมืดมิดดั่งมหาสมุทรค่อยๆ มองมายังซูจิ่นซี
เป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งที่พวกเขาทั้งสองไม่มีบทสนทนา บางสิ่งในบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมทีละน้อย
“ท่านอ๋อง พระชายา แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”
ทันใดนั้นเสียงของพ่อบ้านก็ดังมาจากด้านนอก ทลายความหนาวเหน็บในบรรยากาศไปจนสิ้น
“ว่ามา! ”
เยี่ยโยวเหยากล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
“ท่านอ๋อง หมอเทวดาหวาแจ้งว่าสอนท่านชายน้อยอวี้ต่อไปไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาต้องไปแล้ว พระองค์โปรดดู… ”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว เจ้าหนูซูอวี้ทำบ้ากระไร?
เยี่ยโยวเหยาเหลือบมองซูจิ่นซี พลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “บอกเขา สอนไม่ไหวก็ไสหัวออกไปจากวิหารวิญญาณของข้า ข้าไม่เก็บขยะไร้ค่าไว้! ”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยสมควรตาย! ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่เต็มใจสอน ความจริงคือ… ความจริงคือ… ความสามารถของท่านชายน้อยอวี้สูงส่งเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ความสามารถของข้าน้อยต่ำต้อย ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ”
“หือ? ”
เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?
ผู้ที่สามารถทำให้เยี่ยโยวเหยาโปรดปรานได้ ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา หมอเทวดาหวาเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?
เขาเป็นคนถ่อมตัวหรือว่ามีความจริงอื่นใดที่ต้องการปกปิดกัน
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาสบตากัน
ซูจิ่นซีลุกขึ้นจากเตียงและเดินออกไปนอกตำหนัก
พ่อบ้าน หมอเทวดาหวา และซูอวี้ ทั้งสามคนต่างยืนอยู่ด้านนอก
ซูอวี้เห็นเยี่ยโยวเหยาเดินออกมาตามหลังซูจิ่นซี ทันใดนั้นก็เกิดความตื่นตระหนกบนใบหน้าเล็กๆ ที่สงบนิ่งนั้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
“อวี้เอ๋อร์ มานี่! ”
ซูจิ่นซียื่นมือออกไปหาซูอวี้
ซูอวี้มองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างขลาดกลัว เขาเดินไปหาซูจิ่นซีอย่างระมัดระวัง
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าซุกซนเข้าแล้วใช่หรือไม่ กวนท่านหมอเทวดาหวาให้ไม่สบายใจหรือ? ”
“ท่านพี่จิ่นซี ข้าไม่ได้ทำอันใดแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ! ” ดวงตาใสแจ๋วคู่หนึ่งจ้องไปที่ซูจิ่นซีและตอบกลับอย่างจริงใจยิ่งนัก
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้กวนใจหมอเทวดาหวา แล้วเหตุใดหมอเทวดาหวาจึงปฏิเสธการสอนให้เจ้าเล่า? ”
ซูอวี้อยากเอ่ยบางอย่างทว่ากลับไม่พูดออกมา เขาก้มศีรษะลงอย่างสงบนิ่ง
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ แท้จริงแล้วท่านชายน้อยอวี้ไม่ได้กวนข้าน้อยให้โกรธ ตรงกันข้าม เขานิสัยดีและเป็นเด็กที่เชื่อฟังยิ่งนัก ทว่าเหตุผลที่ข้าน้อยไม่สามารถสอนท่านชายน้อยอวี้ต่อไปได้เพราะทักษะทางการแพทย์ของท่านชายน้อยอวี้สูงส่งกว่าข้าน้อย ข้าน้อยไม่สามารถไร้ยางอายเป็นอาจารย์ของท่านชายน้อยอวี้ได้ ข้าน้อยรู้สึกละอายอย่างสุดซึ้งพ่ะย่ะค่ะ” หมอเทวดาหวากล่าวขึ้น
กระไรนะ?
ไม่หรอกกระมัง?
ปัจจุบันซูอวี้อายุเพียงแปดขวบเท่านั้น ตอนนี้หมอเทวดาหวาเป็นหมอวัยกลางคนและได้ฝึกฝนทักษะด้านการแพทย์มานานกว่าสองทศวรรษแล้ว
นอกจากเหล่าบัณฑิตที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ล้วนเรียนรู้อย่างมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย เดิมทีไม่ได้อาศัยทางลัดเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าซูอวี้จะเรียนรู้จากพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวข้ามทักษะทางการแพทย์อัจฉริยะของหมอเทวดาหวา!
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
ซูจิ่นซีมองไปยังซูอวี้
ซูอวี้ยิ่งก้มศีรษะลงต่ำ
“หมอเทวดาหวา ท่านล้อเล่นอยู่ใช่หรือไม่? ต่อให้ไม่อยากสอนก็ไม่ต้องดูถูกตนเองเช่นนี้กระมัง? ” ซูจิ่นซียิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น
ใบหน้าของหมอเทวดาหวาลำบากใจยิ่งนัก “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยผิดไปแล้วจริงๆ ! ท่านชายน้อยซูอวี้เป็นอัจฉริยะทางการแพทย์ที่แท้จริงท่านหนึ่ง หากพระชายาไม่ทรงเชื่อ ตอนนี้สามารถทดสอบท่านชายน้อยอวี้ได้ในทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
ทดสอบในทันที
นี่เป็นวิธีที่ดีจริงๆ
“อวี้เอ๋อร์ ท่านหมอเทวดาหวาพูดจริงหรือไม่? ทักษะการแพทย์ของเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนั้นแล้วหรือ? ”
ซูจิ่นซีนั่งยองลงเสมอซูอวี้และถามซึ่งหน้า
“อวี้เอ๋อร์ไม่รู้! ” ซูอวี้ส่ายหน้า “แม้ท่านพ่อและท่านแม่ของอวี้เอ๋อร์จะสอนทักษะทางการแพทย์ให้ ทว่าข้าก็ได้อ่านตำราทางการแพทย์มาบ้างแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่เคยให้ข้าตรวจโรคมาก่อน”
ซูจิ่นซีจำได้ว่าเมื่อตอนที่อนุปี้พาซูอวี้ไปพบนางที่เรือนฮั่นเซียงในคืนนั้น ซูอวี้ไม่ต้องชิมยา ไม่ต้องดูกากของยาต้มที่หลงเหลืออยู่ เพียงอาศัยการดมกลิ่นของยาเท่านั้นก็สามารถรู้ส่วนผสมของยาได้
คราแรกซูจิ่นซีไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพียงคิดว่าซูอวี้แตกต่างจากเด็กผู้อื่น กลับไม่ได้คิดมากมาย
บัดนี้เมื่อคิดขึ้นมาได้ เจ้าตัวเล็กนี่คุ้มค่ากับการทดสอบเสียจริง
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าท่องตำราใดได้บ้าง? ”
“ ‘ตำราซังหานจ๋าปิ้งลุ่น [1] ’ ‘ตำราเชียนจินฟาง [2] ’ ‘ตำราหวงตี้เน่ยจิง [3] ’ ‘ตำราเซิ่งจี่จ่งลู่ [4] ’ ‘ตำราหลินเจิ้งจื่อหนานอีอ้าน [5] ’ … ”
เมื่อพูดถึงเรื่องทางการแพทย์ ซูอวี้พูดจาได้คล่องแคล่ว สามารถพูดพร้อมกันหลายสิบอย่างภายในลมหายใจเดียว หากไม่ใช่เพราะซูจิ่นซีหยุดไว้ เขาอาจท่องต่อไป
ทุกคนมองมาที่ซูอวี้อย่างประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าตัวเล็กที่พึ่งเป็นต้นอ่อน รู้อะไรมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่ใช่ว่ากำลังคุยโวกระมัง?
ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น แม้แต่ซูจิ่นซียังไม่อยากจะเชื่อ
หากที่ซูอวี้พูดเป็นความจริง คุณภาพชีวิตของเจ้าตัวเล็กนี่จะสูงส่งเกินไปแล้วกระมัง?
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงเลือกหนังสือสองสามเล่มเพื่อให้ซูอวี้ท่อง คิดไม่ถึงว่าซูอวี้จะจำหนังสือเหล่านั้นได้จริงๆ
สายตาของทุกคนที่มองมาที่ซูอวี้ค่อยๆ เปลี่ยนจากความแปลกใจเป็นประหลาดใจ
แววตาที่ซูจิ่นซีมองซูอวี้ก็ลึกซึ้งขึ้นเช่นกัน เจ้าตัวเล็กนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ !
“ในตำราหลินเจิ้งจื่อหนานอีอ้านมีฮูหยินนางหนึ่งที่ปวดท้องและท้องเสียไม่หยุดเป็นเวลาสามวัน หมอสั่งยาฟู่จื่อ [6] ขิงแห้ง และขมิ้นสำหรับอาการแก้ท้องร่วง ทว่าเหตุใดฮูหยินถึงเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น? ” ซูจิ่นซีเริ่มตรวจสอบ
“ท่านพี่จิ่นซี กรณีศึกษานี้ไม่ใช่ตำราหลินเจิ้งจื่อหนานอีอ้านพ่ะย่ะค่ะ ทว่าเป็นตำราในกรณีศึกษาหลินหนาน กล่าวถูกต้อง หมอสั่งน้ำแกงตำรับยาฟู่จื่อ [7] อุ่น ๆ ให้กับฮูหยินท่านนั้น ใบสั่งยาสำหรับรักษาอาการเจ็บป่วยของฮูหยินท่านนั้นไม่มีอันใดผิด ทว่าคำแนะนำของหมอไม่ได้อธิบายว่าฮูหยินท่านนั้นไม่สามารถกินปูได้หลังจากกลับถึงบ้าน ปูเป็นข้อห้ามสำหรับยานี้ ฮูหยินเสียชีวิตเพราะกินยาแล้วกินปูต่อ”
ซูจิ่นซีตกตะลึง สีหน้าท่าทางยังเก้อเขินเล็กน้อย
แท้จริงแล้วนางจำกรณีศึกษานี้ไม่ครบเท่าไร แม้ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยนางจะเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ ทว่าเนื่องจากไม่ได้แตะต้องมันมาเป็นเวลานาน และนางไม่ได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่อยู่ด้านใน ดังนั้นจึงแทบลืมไปหมดแล้ว
“เจ้าตัวเล็ก เจ้านี่ไม่ธรรมดาเสียจริง! ” ซูจิ่นซีบีบแก้มของซูอวี้แล้วกล่าวขึ้น
“บอกแล้วว่าอย่าเอะอะกระไรก็ลวนลามข้า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ! ” ทันใดนั้นซูอวี้ก็ตีมือของซูจิ่นซี
“เจ้าตัวเล็ก เช่นนั้นเจ้าดูให้ข้าหน่อยสิ ภูมิแพ้อากาศเย็นของข้าจะดีขึ้นเมื่อใดเล่า! ” ซูจิ่นซียื่นมือไปทางซูอวี้
คาดไม่ถึงว่าจะซูอวี้จะกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่จิ่นซี ท่านไม่ต้องแสดงแล้ว คืนนั้นท่านเจตนาไอให้ข้าและท่านแม่ได้ยินกระมัง? แท้จริงแล้วท่านไม่ได้ป่วย แม้จะดื่มยาจริงๆ ทว่าท่านกลับดื่มไม่มาก ทั้งยังไม่ได้ดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาใหญ่ต่อร่างกาย”
โอ้พระเจ้า…
คาดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องนี้ก็สามารถมองออก
ดวงตาของซูจิ่นซีหรี่มองซูอวี้ไม่หยุด
……