สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 144 อัจฉริยะทางการแพทย์

        ทุกคนรวมถึงซูจิ่นซีต่างตกตะลึง

        พวกเขาทำได้เพียงฟังเยี่ยโยวเหยากล่าวเท่านั้น “นับแต่นี้เป็นต้นไปบนจวนโยวอ๋อง พบพระชายาก็เท่ากับพบข้า หากกล้าขัดคำสั่งพระชายา ฆ่าโดยไม่ต้องปราณี! ”

        เยี่ยโยวเหยาผสานมือไว้ด้านหลัง ผมยาวปลิวไสว หว่างคิ้วเต็มไปด้วยร่องรอยของความกล้าหาญ ความเยือกเย็นที่โดดเด่นเป็นเลิศ

        ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะรับสั่งเช่นนี้

        “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ! ในอนาคตจะปฏิบัติตามพระชายาอย่างเคร่งครัด พบพระชายาที่ใดก็เท่ากับท่านอ๋องอยู่ที่นั่นด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”

        ทหารอารักขาด้านนอกทั้งหมด รวมทั้งแม่นมฮวาที่อยู่ด้านในห้องต่างคุกเข่าลงบนพื้นอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

        เมื่อเวลานี้มาถึง ซูจิ่นซีรู้สึกราวกับไม่ใช่ความจริง

        แม่นมฮวามองไปยังซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอย่างตะลึงงันเช่นกัน

        แม่นมฮวามีชีวิตมากว่าครึ่งชีวิตถึงเพียงนี้ ทว่านางไม่เคยเห็นพระชายาหรือเจ้านายนางใดในจวนที่มีสิทธิเทียบเคียงบารมีกับบุรุษของตนได้

        แม้จะเป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง ก็ควรดูแลเรื่องจวนชั้นในให้กับบุรุษของตนอย่างดีที่สุด ทว่าไม่ถึงกับที่องครักษ์ลับหรือทหารคุ้มกันจะต้องฟังคำสั่งจากพวกนางอย่างเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ประทับอยู่เบื้องหน้ายังเป็นโยวอ๋องผู้ทรงดำรงอยู่ราวกับประทับอยู่บนวิมานสวรรค์ ที่พำนักอันศักดิ์สิทธิ์และแผ่นดินใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

        ท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาด้วยความโปรดปรานและเอื้ออาทรเหลือคณานับ!

        ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาอย่างตกตะลึง แสงนัยน์ตาของเยี่ยโยวเหยาที่ลึกซึ้งมืดมิดดั่งมหาสมุทรค่อยๆ มองมายังซูจิ่นซี

        เป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งที่พวกเขาทั้งสองไม่มีบทสนทนา บางสิ่งในบรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมทีละน้อย

        “ท่านอ๋อง พระชายา แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ทันใดนั้นเสียงของพ่อบ้านก็ดังมาจากด้านนอก ทลายความหนาวเหน็บในบรรยากาศไปจนสิ้น

        “ว่ามา! ”

        เยี่ยโยวเหยากล่าวขึ้นอย่างเย็นชา

        “ท่านอ๋อง หมอเทวดาหวาแจ้งว่าสอนท่านชายน้อยอวี้ต่อไปไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาต้องไปแล้ว พระองค์โปรดดู… ”

        ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว เจ้าหนูซูอวี้ทำบ้ากระไร?

        เยี่ยโยวเหยาเหลือบมองซูจิ่นซี พลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “บอกเขา สอนไม่ไหวก็ไสหัวออกไปจากวิหารวิญญาณของข้า ข้าไม่เก็บขยะไร้ค่าไว้! ”

        “ท่านอ๋อง ข้าน้อยสมควรตาย! ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่เต็มใจสอน ความจริงคือ… ความจริงคือ… ความสามารถของท่านชายน้อยอวี้สูงส่งเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ความสามารถของข้าน้อยต่ำต้อย ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณาพ่ะย่ะค่ะ”

        “หือ? ”

        เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?

        ผู้ที่สามารถทำให้เยี่ยโยวเหยาโปรดปรานได้ ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา หมอเทวดาหวาเหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?

        เขาเป็นคนถ่อมตัวหรือว่ามีความจริงอื่นใดที่ต้องการปกปิดกัน

        ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาสบตากัน

        ซูจิ่นซีลุกขึ้นจากเตียงและเดินออกไปนอกตำหนัก

        พ่อบ้าน หมอเทวดาหวา และซูอวี้ ทั้งสามคนต่างยืนอยู่ด้านนอก

        ซูอวี้เห็นเยี่ยโยวเหยาเดินออกมาตามหลังซูจิ่นซี ทันใดนั้นก็เกิดความตื่นตระหนกบนใบหน้าเล็กๆ ที่สงบนิ่งนั้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย

        “อวี้เอ๋อร์ มานี่! ”

        ซูจิ่นซียื่นมือออกไปหาซูอวี้

        ซูอวี้มองไปที่เยี่ยโยวเหยาอย่างขลาดกลัว เขาเดินไปหาซูจิ่นซีอย่างระมัดระวัง

        “อวี้เอ๋อร์ เจ้าซุกซนเข้าแล้วใช่หรือไม่ กวนท่านหมอเทวดาหวาให้ไม่สบายใจหรือ? ”

        “ท่านพี่จิ่นซี ข้าไม่ได้ทำอันใดแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ! ” ดวงตาใสแจ๋วคู่หนึ่งจ้องไปที่ซูจิ่นซีและตอบกลับอย่างจริงใจยิ่งนัก

        “ในเมื่อเจ้าไม่ได้กวนใจหมอเทวดาหวา แล้วเหตุใดหมอเทวดาหวาจึงปฏิเสธการสอนให้เจ้าเล่า? ”

        ซูอวี้อยากเอ่ยบางอย่างทว่ากลับไม่พูดออกมา เขาก้มศีรษะลงอย่างสงบนิ่ง

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ แท้จริงแล้วท่านชายน้อยอวี้ไม่ได้กวนข้าน้อยให้โกรธ ตรงกันข้าม เขานิสัยดีและเป็นเด็กที่เชื่อฟังยิ่งนัก ทว่าเหตุผลที่ข้าน้อยไม่สามารถสอนท่านชายน้อยอวี้ต่อไปได้เพราะทักษะทางการแพทย์ของท่านชายน้อยอวี้สูงส่งกว่าข้าน้อย ข้าน้อยไม่สามารถไร้ยางอายเป็นอาจารย์ของท่านชายน้อยอวี้ได้ ข้าน้อยรู้สึกละอายอย่างสุดซึ้งพ่ะย่ะค่ะ” หมอเทวดาหวากล่าวขึ้น

        กระไรนะ?

        ไม่หรอกกระมัง?

        ปัจจุบันซูอวี้อายุเพียงแปดขวบเท่านั้น ตอนนี้หมอเทวดาหวาเป็นหมอวัยกลางคนและได้ฝึกฝนทักษะด้านการแพทย์มานานกว่าสองทศวรรษแล้ว

        นอกจากเหล่าบัณฑิตที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ล้วนเรียนรู้อย่างมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย เดิมทีไม่ได้อาศัยทางลัดเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าซูอวี้จะเรียนรู้จากพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวข้ามทักษะทางการแพทย์อัจฉริยะของหมอเทวดาหวา!

        เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?

        ซูจิ่นซีมองไปยังซูอวี้

        ซูอวี้ยิ่งก้มศีรษะลงต่ำ

        “หมอเทวดาหวา ท่านล้อเล่นอยู่ใช่หรือไม่? ต่อให้ไม่อยากสอนก็ไม่ต้องดูถูกตนเองเช่นนี้กระมัง? ” ซูจิ่นซียิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น

        ใบหน้าของหมอเทวดาหวาลำบากใจยิ่งนัก “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยผิดไปแล้วจริงๆ ! ท่านชายน้อยซูอวี้เป็นอัจฉริยะทางการแพทย์ที่แท้จริงท่านหนึ่ง หากพระชายาไม่ทรงเชื่อ ตอนนี้สามารถทดสอบท่านชายน้อยอวี้ได้ในทันทีพ่ะย่ะค่ะ”

        ทดสอบในทันที

        นี่เป็นวิธีที่ดีจริงๆ

        “อวี้เอ๋อร์ ท่านหมอเทวดาหวาพูดจริงหรือไม่? ทักษะการแพทย์ของเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนั้นแล้วหรือ? ”

        ซูจิ่นซีนั่งยองลงเสมอซูอวี้และถามซึ่งหน้า

        “อวี้เอ๋อร์ไม่รู้! ” ซูอวี้ส่ายหน้า “แม้ท่านพ่อและท่านแม่ของอวี้เอ๋อร์จะสอนทักษะทางการแพทย์ให้ ทว่าข้าก็ได้อ่านตำราทางการแพทย์มาบ้างแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่เคยให้ข้าตรวจโรคมาก่อน”

        ซูจิ่นซีจำได้ว่าเมื่อตอนที่อนุปี้พาซูอวี้ไปพบนางที่เรือนฮั่นเซียงในคืนนั้น ซูอวี้ไม่ต้องชิมยา ไม่ต้องดูกากของยาต้มที่หลงเหลืออยู่ เพียงอาศัยการดมกลิ่นของยาเท่านั้นก็สามารถรู้ส่วนผสมของยาได้

        คราแรกซูจิ่นซีไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพียงคิดว่าซูอวี้แตกต่างจากเด็กผู้อื่น กลับไม่ได้คิดมากมาย

        บัดนี้เมื่อคิดขึ้นมาได้ เจ้าตัวเล็กนี่คุ้มค่ากับการทดสอบเสียจริง

        “อวี้เอ๋อร์ เจ้าท่องตำราใดได้บ้าง? ”

        “ ‘ตำราซังหานจ๋าปิ้งลุ่น [1] ’ ‘ตำราเชียนจินฟาง [2] ’ ‘ตำราหวงตี้เน่ยจิง [3] ’ ‘ตำราเซิ่งจี่จ่งลู่ [4] ’ ‘ตำราหลินเจิ้งจื่อหนานอีอ้าน [5] ’ … ”

        เมื่อพูดถึงเรื่องทางการแพทย์ ซูอวี้พูดจาได้คล่องแคล่ว สามารถพูดพร้อมกันหลายสิบอย่างภายในลมหายใจเดียว หากไม่ใช่เพราะซูจิ่นซีหยุดไว้ เขาอาจท่องต่อไป

        ทุกคนมองมาที่ซูอวี้อย่างประหลาดใจเล็กน้อย เจ้าตัวเล็กที่พึ่งเป็นต้นอ่อน รู้อะไรมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่ใช่ว่ากำลังคุยโวกระมัง?

        ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น แม้แต่ซูจิ่นซียังไม่อยากจะเชื่อ

        หากที่ซูอวี้พูดเป็นความจริง คุณภาพชีวิตของเจ้าตัวเล็กนี่จะสูงส่งเกินไปแล้วกระมัง?

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงเลือกหนังสือสองสามเล่มเพื่อให้ซูอวี้ท่อง คิดไม่ถึงว่าซูอวี้จะจำหนังสือเหล่านั้นได้จริงๆ

        สายตาของทุกคนที่มองมาที่ซูอวี้ค่อยๆ เปลี่ยนจากความแปลกใจเป็นประหลาดใจ

        แววตาที่ซูจิ่นซีมองซูอวี้ก็ลึกซึ้งขึ้นเช่นกัน เจ้าตัวเล็กนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ !

        “ในตำราหลินเจิ้งจื่อหนานอีอ้านมีฮูหยินนางหนึ่งที่ปวดท้องและท้องเสียไม่หยุดเป็นเวลาสามวัน หมอสั่งยาฟู่จื่อ [6] ขิงแห้ง และขมิ้นสำหรับอาการแก้ท้องร่วง ทว่าเหตุใดฮูหยินถึงเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น? ” ซูจิ่นซีเริ่มตรวจสอบ

        “ท่านพี่จิ่นซี กรณีศึกษานี้ไม่ใช่ตำราหลินเจิ้งจื่อหนานอีอ้านพ่ะย่ะค่ะ ทว่าเป็นตำราในกรณีศึกษาหลินหนาน กล่าวถูกต้อง หมอสั่งน้ำแกงตำรับยาฟู่จื่อ [7] อุ่น ๆ ให้กับฮูหยินท่านนั้น ใบสั่งยาสำหรับรักษาอาการเจ็บป่วยของฮูหยินท่านนั้นไม่มีอันใดผิด ทว่าคำแนะนำของหมอไม่ได้อธิบายว่าฮูหยินท่านนั้นไม่สามารถกินปูได้หลังจากกลับถึงบ้าน ปูเป็นข้อห้ามสำหรับยานี้ ฮูหยินเสียชีวิตเพราะกินยาแล้วกินปูต่อ”

        ซูจิ่นซีตกตะลึง สีหน้าท่าทางยังเก้อเขินเล็กน้อย

        แท้จริงแล้วนางจำกรณีศึกษานี้ไม่ครบเท่าไร แม้ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยนางจะเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ ทว่าเนื่องจากไม่ได้แตะต้องมันมาเป็นเวลานาน และนางไม่ได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่อยู่ด้านใน ดังนั้นจึงแทบลืมไปหมดแล้ว

        “เจ้าตัวเล็ก เจ้านี่ไม่ธรรมดาเสียจริง! ” ซูจิ่นซีบีบแก้มของซูอวี้แล้วกล่าวขึ้น

        “บอกแล้วว่าอย่าเอะอะกระไรก็ลวนลามข้า ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ! ” ทันใดนั้นซูอวี้ก็ตีมือของซูจิ่นซี

        “เจ้าตัวเล็ก เช่นนั้นเจ้าดูให้ข้าหน่อยสิ ภูมิแพ้อากาศเย็นของข้าจะดีขึ้นเมื่อใดเล่า! ” ซูจิ่นซียื่นมือไปทางซูอวี้

        คาดไม่ถึงว่าจะซูอวี้จะกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่จิ่นซี ท่านไม่ต้องแสดงแล้ว คืนนั้นท่านเจตนาไอให้ข้าและท่านแม่ได้ยินกระมัง? แท้จริงแล้วท่านไม่ได้ป่วย แม้จะดื่มยาจริงๆ ทว่าท่านกลับดื่มไม่มาก ทั้งยังไม่ได้ดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาใหญ่ต่อร่างกาย”

        โอ้พระเจ้า…

        คาดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องนี้ก็สามารถมองออก

        ดวงตาของซูจิ่นซีหรี่มองซูอวี้ไม่หยุด

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset