สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 167 สถานการณ์ของเยี่ยโยวเหยา

        ฮ่องเต้รับปากกับซูจิ่นซีแล้วว่าสามารถให้นางเข้าพบเยี่ยโยวเหยาได้ กลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะปฏิเสธ

        นางต้องการจะทำสิ่งใด?

        “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น

        “หม่อมฉันต้องการพบท่านอ๋องก่อนแล้วค่อยทำการวินิจฉัยเพื่อถอนพิษให้ฮองเฮาเพคะ”

        “นี่เจ้าไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ? ”

        ไม่ต้องพูดอันใด ซูจิ่นซีก็แทบไม่เชื่อฮ่องเต้อยู่แล้ว

        อย่างไรเสีย ซูจิ่นซีทำเพียงยืนเงียบ ไม่พูดไม่จาอันใด

        “พระชายาโยวอ๋อง เจ้ามันได้คืบจะเอาศอก” ฮ่องเต้เริ่มกัดฟัน

        “แท้จริงแล้วหม่อมฉันไม่พบท่านอ๋องก็ได้ ฝ่าบาทเรียกใช้หมอมีฝีมือท่านอื่นก็แล้วกันนะเพคะ”

        ซูจิ่นซีกำลังข่มขู่มากขึ้นอีกขั้น

        เมื่อมองไปทั่วทั้งจงหนิง ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือพสกนิกร เกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีเท่านั้นที่กล้าข่มขู่ฮ่องเต้เช่นนี้

        ไม่คิดว่าการให้ซูจิ่นซีอภิเษกกับเยี่ยโยวเหยาจะทำให้พระองค์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งคับอกคับใจทั้งถูกกระทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าภายในพระทัยของฮ่องเต้จะนึกเสียใจจนกระอักเลือดไปแล้วกี่ครั้ง

        “ได้ๆๆ พระชายาโยวอ๋อง เจ้ากล้าหาญพอสมควร” ฮ่องเต้ถูกซูจิ่นซีทำให้กริ้วครั้งแล้วครั้งเล่า

        “จิ่นซี อย่างไรเจ้าก็ถอนพิษให้เสด็จแม่ก่อนเถิด! ชีวิตของมนุษย์สูงส่งเทียมฟ้าไม่อาจล่าช้าหมางเมิน! ไม่รู้ว่าพิษนี้จะกำเริบขึ้นมาเมื่อใด หากรอให้เจ้ากลับมาจากการพบท่านอาโยวอ๋อง พิษในตัวเสด็จแม่ก็คง… ”

        เยี่ยเซินรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าคำพูดประโยคหลังที่อาจเป็นการเนรคุณและทรยศนั้น ท้ายที่สุดก็ติดอยู่ในลำคอของเขา ไม่ได้พูดออกมา

        “ในเมื่อข้าพูดแล้วว่าจะถอนพิษให้ฮองเฮาหลังจากได้พบท่านอ๋อง นั่นเพราะข้ามั่นใจว่าฮองเฮาสามารถอยู่ได้ถึงเวลานั้น หากไท่จื่อไม่เชื่อข้า เหตุใดถึงเชิญข้ามาเล่า”

        “ได้ ซูจิ่นซี ข้ารับปากเจ้า หากถึงเวลานั้นแล้วฮองเฮาเคราะห์หามยามร้ายหรือเจ้ายังไม่สามารถถอนพิษให้ฮองเฮาได้ ก็อย่ามาโทษข้าที่ไม่เกรงใจเจ้า”

        ซูจิ่นซีไม่สนใจ นางหันหลังเดินไปข้างพระวรกายของฮองเฮาและหยิบขวดขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ ซูจิ่นซีเทยาลูกกลอนสีขาวขุ่นออกมาหนึ่งเม็ดให้ฮองเฮาเสวย

        “นี่คือดอกไม้เก้าชนิดต้านพิษ แม้จะถอนพิษในพระวรกายของฮองเฮาไม่ได้ ทว่ามันสามารถระงับพิษในพระวรกายของฮองเฮาไม่ให้กำเริบได้ชั่วคราว อยู่ได้จนถึงหม่อมฉันกลับมา”

        ซูจิ่นซีช่างอาจหาญข่มขู่ฮ่องเต้ ไม่เหลือเกียรติให้ฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย

        ฮ่องเต้โกรธกริ้วไปทั้งร่าง หากไม่ใช่เพราะต้องถอนพิษให้ฮองเฮา เกรงว่าพระองค์คงรับสั่งให้คนมาลากตัวซูจิ่นซีไปประหารตั้งนานแล้ว

        ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอพระทัยเล็กน้อยพร้อมสะบัดแขนเสื้อเสด็จออกนอกประตูไป “ไท่จื่อ พาพระชายาโยวอ๋องไปตำหนักเจิ้นหนาน”

        ในเวลานี้ แม้ซูจิ่นซีจะแสดงใบหน้าเมินเฉยทว่าในใจลึกๆ กลับถอนหายใจยาว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผลลัพธ์ที่นางต้องคำนวณนั้นยากเย็นเพียงใด ฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น

        เวลาผ่านไปไม่นาน เยี่ยเซินก็พาซูจิ่นซีไปถึงฝั่งตำหนักเจิ้นหนาน

        ตำหนักเจิ้นหนานเป็นสถานที่ที่เฉินไท่เฟยและเยี่ยโยวเหยาอาศัยอยู่ในคราแรก เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่

        เป็นจริงอย่างที่เยี่ยเซินพูด บริเวณโดยรอบของตำหนักเจิ้นหนานได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่นและเข้มงวด ทว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่ซูจิ่นซีสามารถใช้สายตามองเห็นเท่านั้น บริเวณที่สายตาของซูจิ่นซีมองไม่เห็นยังมีทหารของราชวงศ์ที่ไม่รู้ว่าหลบซ่อนอยู่มากน้อยเพียงใด

        ซูจิ่นซียกยิ้มภายในใจอย่างขมขื่น

        ที่จริงแล้วยิ่งฮ่องเต้ทำเช่นนี้มากเท่าไร ยิ่งเป็นการอธิบายถึงความเก่งกาจของเยี่ยโยวเหยามากเท่านั้น

        มันยิ่งอธิบายว่าฮ่องเต้กลัวเยี่ยโยวเหยามากเพียงใด!

        “จิ่นซี ท่านอาโยวอ๋องอยู่ด้านใน”

        เมื่อทหารเปิดประตูตำหนักเจิ้นหนาน เยี่ยเซินก็กล่าวด้วยถ้อยคำที่ซับซ้อน

        ซูจิ่นซีทำเหมือนว่าเยี่ยเซินไม่อยู่ตรงนี้ นางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว

        ทว่าในขณะที่ซูจิ่นซีกำลังก้าวเข้าประตู เท้าที่ยื่นออกไปก็ชะงักด้วยความสับสนลังเลครู่หนึ่ง

        เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้ที่มีบุคลิกสูงส่งและหยิ่งยโสเช่นนั้น ตอนนี้กลับเป็นนักโทษของฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นเช่นไรบ้าง

        จะตกระกำลำบากหรือไม่?

        จะอดทนได้หรือไม่?

        เขาจะยอมให้ผู้อื่นเห็นเขาในสภาพนี้หรือไม่?

        ทว่าท้ายที่สุดซูจิ่นซีก็ก้าวเท้าเข้าไปอย่างกล้าหาญและแน่วแน่

        สิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงคือ เยี่ยโยวเหยากำลังนั่งอยู่ที่ลานในตำหนักเจิ้นหนาน เขายังคงมีท่าทางทะนงตน สูงศักดิ์ และเยือกเย็น แม้จะถูกลดค่าเป็นนักโทษ ทว่าเขายังคงสูงส่งและไม่อาจล่วงละเมิดให้ขุ่นเคือง

        ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมฆทางฝั่งตะวันตกถูกย้อมด้วยสีแดงโชติช่วง สว่างไสวราวอาทิตย์อัสดงสาดส่องจากฟากฟ้าลงมาสู่ตำหนักเจิ้นหนานอย่างเงียบสงัด ดั่งของขวัญจากสวรรค์

        เยี่ยโยวเหยาสวมชุดสีดำเข้มราวกับท่านอ๋องผู้ลึกลับ ในมือถือหมากรุกจีน เขากำลังเล่นหมากรุกจีนกับตนเองอย่างเงียบสงบ

        ในที่สุดก็ได้เห็นเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง เป็นเวลาเพียงหนึ่งวันสองคืนยี่สิบเอ็ดชั่วยาม ทว่าในหัวใจของซูจิ่นซีราวกับผ่านไปแล้วหลายปี เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีวิตกกังวลมากเพียงใดในยี่สิบเอ็ดชั่วยามนี้

        เยี่ยโยวเหยาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่ประตูจึงหันหน้ามามองอย่างเชื่องช้า

        แสงแดดส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า การแสดงออกของเขาไม่มีอาการตกใจเมื่อเห็นซูจิ่นซี ทว่ากลับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้นาง เป็นรอยยิ้มเพื่อซูจิ่นซีโดยเฉพาะ

        ช่วงเวลานี้ ดูเหมือนว่าแสงสนธยาของดวงอาทิตย์ถูกบดบังไปไม่น้อย

        ซูจิ่นซีเก็บอารมณ์ความเจ็บปวดภายในใจเอาไว้ นางยิ้มและเดินไปหาเยี่ยโยวเหยาทีละก้าว

        ซูจิ่นซีเป็นคนพูดขึ้นก่อน “เยี่ยโยวเหยาเพคะ แสงสนธยายามพลบค่ำในตำหนักเจิ้นหนานไม่น่าดูเท่าจวนโยวอ๋องเลย! ”

        “ซูจิ่นซี เจ้ามาได้อย่างไร? ”

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ บอกข้าได้หรือไม่ว่ามันเกิดอันใดขึ้น? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วถามขึ้น

        “กลับไป นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! ”

        “เหตุใดถึงไม่ใช่เรื่องของหม่อมฉันเล่า? เยี่ยโยวเหยาเพคะ หม่อมฉันเป็นชายาของท่าน! ”

         ซูจิ่นซีดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งสวรรค์ก็รู้ว่านางพยายามมากเพียงใดกว่าจะได้มาพบกับเยี่ยโยวเหยา คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะเฉยชากับนางเช่นนี้ ขณะนี้ซูจิ่นซีรู้สึกว่ารอยยิ้มที่ตนเห็นบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเมื่อครู่นั้นเป็นภาพลวงตาของนางเอง

        เยี่ยโยวเหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกแปลกประหลาดแวบผ่านเข้ามาในดวงตา เขาทำเสียงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อยว่า “ซูจิ่นซี ฟังนะ กลับไป! ข้าไม่ได้เป็นกระไร”

        “ไม่เป็นกระไรได้อย่างไรเพคะ? ด้านนอกมีทหารเฝ้ามากมายถึงเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของฮ่องเต้ในครั้งนี้ก็ดูเหมือนพระองค์ไม่ได้โกหก”

        ซูจิ่นซีไม่ใช่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ปรารถนาที่จะกำจัดจวนโยวอ๋องและโค่นล้มเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอด

        ซูจิ่นซียังต้องการถามบางอย่างต่อ ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ก้าวมาจับมือซูจิ่นซีและพานางมานั่งบนเก้าอี้หินที่เขานั่งเมื่อครู่

        “เจ้าเล่นหมากรุกจีนเป็นหรือไม่? เล่นเป็นเพื่อนข้าเป็นอย่างไร?”

        จนถึงเวลานี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยายังคิดจะเล่นหมากรุกจีนอีก

        ซูจิ่นซีกังวลยิ่ง คำพูดที่กำลังจะถามเยี่ยโยวเหยาติดอยู่ที่ริมฝีปาก ทว่านางเห็นหางตาของเยี่ยโยวเหยาพยายามมองไปที่ชายคาของตำหนักที่เชื่อมต่อกันอยู่

        ทันใดนั้นนางก็มองไปยังทิศทางที่เยี่ยโยวเหยามอง พลันเห็นร่างสีดำรีบซ่อนตัวที่ด้านหลังชายคาอย่างรวดเร็ว ไม่นานซูจิ่นซีก็เข้าใจกระไรบางอย่างในทันที

        ซูจิ่นซีเอ่ยขึ้นอย่างสงบว่า “เล่นเป็นบ้าง ทว่าฝีมืออาจไม่ดีนัก”

        “เพียงเล่นเป็นก็พอแล้ว! ”

        ขณะที่พูดอยู่ เยี่ยโยวเหยาก็วางตัวหมากรุกจีนสีดำลงบนกระดานหมากรุก

        ซูจิ่นซีเป็นตัวสีขาว

        พวกเขาเล่นหมากรุกจีนอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วยาม การเข้าโอบล้อมของซูจิ่นซีไม่ดีนัก แน่นอนว่านางไม่อาจเอาชนะเยี่ยโยวเหยาได้เลย

        ทว่าหลังจากการวางหมากรุกจีน ซูจิ่นซีก็ต้องตกใจเมื่อมองดูการวางตัวของหมากรุกบนกระดาน

        ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset