ตานี้เยี่ยโยวเหยาถือตัวสีดำ ซูจิ่นซีถือตัวสีขาว
ซูจิ่นซีไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากเล่นหมากรุกเสร็จแล้ว หมากรุกสีดำที่วางอยู่บนกระดานจะประกอบเป็นตัวอักษรสองคำ
“ปิงฝู! ”
นี่คือวังหลวงของฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสายพระเนตรของฮ่องเต้จับจ้องอยู่โดยรอบ แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาไม่สามารถพูดบางอย่างกับซูจิ่นซีได้โดยตรง
ดังนั้นจึงใช้วิธีการเช่นนี้
ซูจิ่นซีตกใจไม่นานก็สงบสติลง
นางเก็บหมากรุกบนกระดานทีละตัวใส่ลงในภาชนะอย่างนิ่งเฉย “ฝีมือการเล่นหมากรุกของท่านอ๋องช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก หม่อมฉันจำนนต่อความพ่ายแพ้”
“ซูจิ่นซี ฝีมือของเจ้าก้าวหน้าได้อย่างแน่นอน”
การแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาดูนิ่งขรึมเป็นปกติ ไม่แสดงท่าทางใดๆ
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากแผ่วเบา “เช่นนั้นหม่อมฉันจะรอท่านอ๋องที่จวนนะเพคะ ท่านอ๋องต้องรีบกลับจวนในเร็ววันแล้วมาสอนหม่อมฉันเล่นหมากรุกจีนนะเพคะ”
“ได้! ”
“ท่านอ๋อง… ”
ซูจิ่นซียังคงวิตกกังวล นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าคำพูดบางอย่างก็ไม่สะดวกที่จะพูดในที่แห่งนี้ นางจึงยอมอดกลั้นไม่พูดออกมา
เยี่ยโยวเหยาเข้าใจสิ่งที่ซูจิ่นซีต้องการจะกล่าว เขาเผยแววตาอบอุ่นให้ซูจิ่นซี “วางใจ ข้าไม่เป็นกระไร! กลับไปรอข้าที่จวนอย่างสบายใจเถิด”
“ท่านอ๋องต้องกลับมาโดยเร็วนะเพคะ อย่าให้หม่อมฉันคอยนานจนเกินไป! ” ซูจิ่นซีเน้นย้ำอีกรอบ
“อืม! ”
“ท่านอ๋องต้องการสิ่งใด หม่อมฉันจะให้คนส่งมาให้! ” ซูจิ่นซีพูดเป็นนัยแฝงว่าเยี่ยโยวเหยาต้องการความช่วยเหลือจากนางหรือไม่
เยี่ยโยวเหยายกถ้วยน้ำชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นดื่มพลางเหลือบมองไปยังประตูที่ปิดสนิทอย่างสงบจิตสงบใจและจงใจพูดขึ้นว่า “ไม่จำเป็น คนของเสด็จพี่รับใช้ข้าเป็นอย่างดี ข้าไม่มีสิ่งใดขาดเหลือ”
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวกลับก่อนนะเพคะ! ” ซูจิ่นซีเม้มปากและลุกยืนขึ้น
ก่อนไปซูจิ่นซีได้มองเข้าไปในดวงตาของเยี่ยโยวเหยา ทว่ากลับไม่พบข้อมูลอันใดในดวงตาดำมืดที่ลึกซึ้งคู่นั้น
หลังจากที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาสื่อสารกัน เมื่อซูจิ่นซีผลักประตูออกไป ขันทีนายหนึ่งที่กำลังเอาหูแนบประตูดักฟังอยู่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นก็เกือบจะโถมตัวไปอยู่ที่พื้นแล้ว
ขันทีผู้นั้นแสร้งจัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยสีหน้าลนลานพลางยิ้มอย่างเอาใจว่า “พระ… พระชายาโยวอ๋อง เรียบร้อยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
ซูจิ่นซีไม่สนใจ ทำราวกับขันทีเป็นเพียงลมห่าหนึ่งเท่านั้น นางยิ่งไม่สนใจเยี่ยเซินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ซูจิ่นซีทำเพียงเดินตรงไปยังตำหนักจ้งหวา
ใบหน้าของเยี่ยเซินค่อนข้างประหลาดใจ เขาเดินตามหลังซูจิ่นซีไป
ซูจิ่นซีเป็นคนวางพิษในพระวรกายของฮองเฮา นางเดินไปตรวจชีพจรตามปกติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และทดลองพิษเพื่อหลอกสายตาผู้คน ขั้นตอนทั้งหมดซูจิ่นซีทำได้อย่างไหลลื่น
แม้ระบบถอนพิษจะมียาแก้พิษตามเทียบยา ทว่าซูจิ่นซียังคงเขียนใบสั่งยาเพื่อรับยาจากสำนักหมอหลวง
ประการแรก ซูจิ่นซีมาที่นี่เพื่อตบตาผู้คน ประการที่สอง แม้นางไม่คิดหลอกลวงผู้คน ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่คิดนำเครื่องปรุงยาในระบบถอนพิษมาใช้กับคนเช่นฮองเฮา
พื้นที่ว่างสำหรับเก็บของในระบบถอนพิษนั้นเหลือไม่มากนัก เดิมทีเครื่องปรุงยาที่จัดเก็บไว้ก็มีจำนวนจำกัด เครื่องปรุงยาเหล่านี้จึงต้องใช้กับเรื่องที่จำเป็นมากที่สุด
เมื่อซูจิ่นซีทำทุกอย่างสำเร็จจึงเดินออกมาจากห้องชั้นในของฮองเฮา หมอหลวงที่รออยู่ด้านนอกมีท่าทางไม่เชื่อในสายตา “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เพียงเท่านี้ก็ดีแล้วหรือ? ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าได้ถอนพิษในพระวรกายของฮองเฮาเรียบร้อยแล้ว? ”
ซูจิ่นซีอารมณ์ไม่ดี นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นอยู่หรือ? ”
หมอหลวงท่านนั้นรีบส่ายหน้า “ข้าน้อยมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีไม่คิดเล็กคิดน้อยให้มากความ ใบหน้าของนางแสดงออกอย่างเฉยชา “ฝ่าบาท หากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว หม่อมฉันขอตัวลากลับจวนก่อนเพคะ”
“พระชายาโยวอ๋อง เจ้ารอประเดี๋ยว! ”
ชัดเจนว่าฮ่องเต้ไม่ไว้พระทัยซูจิ่นซี หลังจากขัดขวางซูจิ่นซีไว้ พระองค์ก็เหลือบมองไปยังอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นเข้าใจในทันที เขาเข้าไปในห้องฮองเฮา ใช้เวลาครู่ใหญ่ถึงออกมาและกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฝีมือการถอนพิษของพระชายายอดเยี่ยมเสียจริง พิษในพระวรกายของฮองเฮาถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ฮองเฮารู้สึกพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของอวิ๋นจิ่น ฮ่องเต้และเหล่าผู้คนจึงกล้าเชื่อว่าพิษในร่างกายของฮองเฮานั้นถูกถอนไปหมดแล้ว
เหล่าหมอหลวงล้วนรู้สึกว่าพิษของฮองเฮาจัดการได้ยากยิ่ง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความเลื่อมใสในตัวซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีถามขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันกลับได้หรือยังเพคะ? ”
“ไปเถิด ไท่จื่อไปส่งพระชายาโยวอ๋อง! ”
พระพักตร์ของฮ่องเต้ปรากฏรอยยิ้ม ทว่าพระเนตรกลับปิดบังความอาฆาตไว้ไม่อยู่
แม้ฮองเฮาจะฟื้นแล้ว ทว่าฮ่องเต้ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในห้องของฮองเฮา พระองค์ยังคงทอดพระเนตรแผ่นหลังของซูจิ่นซีที่เดินออกไปด้วยสายตามืดมน
หลังจากที่ร่างของซูจิ่นซีหายลับไปจากสายพระเนตรของฮ่องเต้ ขันทีผู้หนึ่งก็เดินมาที่ด้านหลังของพระองค์ คนผู้นั้นคือขันทีที่ยืนฟังตรงประตูของตำหนักเจิ้นหนาน
เขาป้องปากกระซิบบางอย่างข้างพระกรรณของฮ่องเต้ พระพักตร์มืดมนของฮ่องเต้ยิ่งมืดมนมากขึ้นกว่าเดิม “เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าซูจิ่นซีและโยวอ๋องพูดเช่นนี้ที่ตำหนักเจิ้นหนาน? ”
ขันทีรีบโค้งตัวลงและกล่าวด้วยความหวาดหวั่นว่า “ข้าน้อยมิบังอาจพูดความเท็จ แม้ระยะห่างค่อนข้างไกล ทว่าการได้ยินของข้าน้อยเหนือกว่าผู้ใด หลังจากที่พระชายาพบกับโยวอ๋อง นางก็พูดข้อความเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ ข้าน้อยฟังไม่ตกหล่นสักประโยคพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้คนไปเฝ้าดูที่จวนโยวอ๋อง รายงานการเคลื่อนไหวของซูจิ่นซีมาให้ข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
“ส่งผู้ที่มีความสามารถไปสืบมาให้แน่ชัดว่าฮองเฮาถูกวางยาพิษครั้งนี้ได้อย่างไร ต้องสืบมาให้ข้าอย่างละเอียด”
แม้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาจะไม่ได้พูดอะไร ทว่าฮ่องเต้ยังไม่ยอมปักใจเชื่อว่าซูจิ่นซีไม่ได้วางแผนอันใดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ฮองเฮาถูกวางยาพิษในครั้งนี้ มันดูน่าแปลกมากเกินไป
ขันทีออกไปตามคำสั่ง ฮ่องเต้ยืนอยู่บนขั้นบันไดของตำหนักจ้งหวาเพียงผู้เดียว พระหัตถ์ที่ไขว้อยู่ด้านหลังกำแน่น
ลมหนาวพัดผ่าน ใบไม้เหี่ยวแห้งปลิวไสวตามสายลมและร่วงโรยลงบนพื้น พระวรกายและสายพระเนตรของฮ่องเต้พลันมืดมนขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
เยี่ยโยวเหยา ครั้งนี้ข้าต้องบีบเจ้าให้ตายคามือให้ได้
เจ้าหนีไม่พ้นแน่!
ความจริงแล้วที่เยี่ยเซินจำเป็นต้องทำมีเพียงไปส่งซูจิ่นซีที่นอกตำหนักจ้งหวา จากนั้นจะมีคนจากในวังหลวงมาพาซูจิ่นซีออกจากวัง ทว่าเขากลับไปส่งซูจิ่นซีถึงหน้าประตูวัง
ระหว่างทางทั้งสองไม่พูดคุยอันใดกันแม้แต่น้อย
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะขึ้นรถม้า เยี่ยเซินก็ถามขึ้นว่า “จิ่นซี เจ้ากับท่านอาโยวอ๋อง… ”
ซูจิ่นซียืนอยู่บนรถม้ายังไม่ได้ก้าวเข้าไป นางไม่เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยเซินและไม่พูดอันใดแม้แต่น้อย
เยี่ยเซินกล่าวต่ออีกครึ่งประโยคที่เมื่อครู่นี้เขายังไม่ได้ถามออกไปว่า “จิ่นซี ท่านกับท่านอาโยวอ๋องมีความรู้สึกเกิดขึ้นแล้วใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีทำหน้านิ่ง ไม่พูดอันใด นางเดินตรงเข้าไปในรถม้า
เยี่ยเซินเป็นกังวล เขารีบวิ่งเข้าไปขวางการเคลื่อนที่ของรถม้า “ซูจิ่นซี เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบข้า? ”
ดวงตาสุกใสของซูจิ่นซีพลันเยือกเย็นขึ้นมา ในที่สุดนางก็เงยหน้าขึ้น “เยี่ยเซิน ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่น่าสะอิดสะเอียนและน่ารังเกียจที่สุด? ”
เยี่ยเซินไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะไม่ยอมพูด ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้นางเปิดปาก คาดไม่ถึงว่าเมื่อพูดประโยคแรกขึ้นมาก็เป็นประโยคนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เยี่ยเซินไม่เข้าใจว่าซูจิ่นซีหมายถึงสิ่งใด ใบหน้าของเขาดูงุนงงเล็กน้อย
ซูจิ่นซียกยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก “มันคือแมลงวันเน่าเหม็นที่ตีไม่ตายและก่อกวนสร้างความรำคาญอยู่เบื้องหน้าคน”
ซูจิ่นซีต่อว่าเยี่ยเซินเป็นแมลงวันที่เน่าเหม็น!
เยี่ยเซินชะงักไปเล็กน้อย ไม่นานก็ได้สติกลับมา มุมปากยิ้มเยาะขึ้นมาชั่วขณะ “ไม่คิดว่าตอนนี้เจ้าจะจงเกลียดจงชังข้าถึงเพียงนี้”
“ไม่เพียงแค่เกลียดเท่านั้น! เยี่ยเซิน หากไม่ใช่ว่ายังต้องรับผิดชอบพระราชโองการจากท่านอย่างเป็นทางการ ข้าคงวางพิษท่านด้วยความเริงร่าจนท่านถึงแก่ความตาย ไสหัวไปเสีย! ”
เมื่อพูดจบ ซูจิ่นซีก็แย่งแส้จากมือคนขับและตีลงบนม้าอย่างรุนแรง รถม้าจึงเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยเซินยืนอยู่ใกล้ล้อรถม้ายิ่งนัก หากสายตาของเขาไม่ว่องไวคงถูกรถม้าชนไปแล้ว
ณ เวลานั้น เยี่ยเซินมองตามรถม้าที่กำลังแล่นออกไปอย่างงุนงง ภายในใจรู้สึกราวกับสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป รู้สึกว่างเปล่า
รถม้าของซูจิ่นซีคลุ้งไปด้วยฝุ่นตลอดทาง นางรีบกลับไปยังจวนโยวอ๋องด้วยความเร็วสูง
ทว่าสิ่งที่ซูจิ่นซีไม่คาดคิดคือ เมื่อนางกลับมาถึงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่จวนโยวอ๋อง
เรื่องอึกทึกครึกโครมจนทำให้ผู้คนคาดเดาไปถึงห้วงลึกแห่งความตาย!