ตอนที่ 4 พลิกกลับมาชนะ
เมื่อได้คิดตริตรองให้ถี่ถ้วนแล้ว ตั้งแต่มารดาของอันหลิงเกอสิ้นใจไป หลี่ซื่อก็กลายมาเป็นนายหญิงของจวน เรื่องต่าง ๆ ภายในจวนรวมทั้งเรื่องการเงิน นางล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คอยจัดการ วันนี้มิเพียงแค่เกิดเรื่องที่บ่าวรับใช้ใส่ร้ายเจ้านายแล้ว อีกทั้งยังมีการลักขโมยเกิดขึ้นในจวนอีก ซึ่งคงจะแปลกถ้าหากอันอิงเฉิงมิโทษหลี่ซื่อในครั้งนี้
หลี่ซื่อรู้สึกวิตกกังวลกับเรื่องที่กำลังเผชิญอยู่ จึงรีบลุกขึ้น “เจ้าอย่ามาพูดเหลวไหล ! มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร ! ”
แม่ลูกคู่นั้นกลับคุกเข่าลงตรงหน้าของอันฉิงเฉิงแล้วกล่าวร้องอ้อนวอนของความเป็นธรรม “นายท่านเจ้าคะ พวกเรามิใช่ขโมยนะเจ้าคะ นี่เป็นเงินที่คนในจวนนี้ให้แก่ข้าน้อยมา พวกเขากล่าวว่าลูกชายข้าน้อยทำงานในจวนได้ดี จึงมอบให้พวกเราเป็นรางวัลเจ้าค่ะ”
คนเป็นแม่ร่างกายดูย่ำแย่น่าเวทนาเป็นอย่างมาก เมื่อพูดได้มิกี่คำก็ไอออกมา
อันหลิงเกอมิรอให้หลี่ซื่อและอันหลิงอีสองแม่ลูกได้เอ่ยปาก จึงได้เอ่ยถามออกไปว่า “ลูกของเจ้าคือผู้ใดหรือ ? ”
คนเป็นแม่กวาดสายตามองออกไปรอบ ๆ ห้องโถง กลับมิกล้าเอ่ยปากออกมา แต่สายตากลับไปหยุดอยู่ตรงที่บ่าวรับใช้ผู้นั้นที่คุกเข่าอยู่ตรงพื้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น เป็นเหตุทำให้อันอิงเฉิงกล่าวอย่างโมโหออกมา “เจ้าจงกล่าวออกมา ว่าผู้ใดในจวนแห่งนี้ที่เป็นคนให้เงินแก่เจ้าเพื่อให้มาใส่ร้ายเจ้านายของตนเอง ? ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นมีสีหน้าที่ลำบากใจ แต่ปี้จูที่นั่งอยู่ด้านข้างของเขากล่าวออกมาด้วยเสียงกระซิบเบา ๆ ว่า “วันนี้หากมิใช่เพราะข้า พวกนางสองแม่ลูกคงได้ไปปรโลกเสียแล้ว หากเจ้าช่วยคุณหนูของข้า คุณหนูของข้าก็จะต้องช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”
สายตาของบ่าวรับใช้ผู้นั้นหันไปสบสายตากับอันหลิงเกอ เมื่อมองเห็นแววตาอันอบอุ่นและเย็นชาของนาง ในที่สุดเขาก็กัดฟันพูดขึ้นมาว่า “เป็นคุณหนูรองขอรับ ! นายท่าน”
“เจ้าเอ่ยวาจาเหลวไหลอันใดออกมา ! ” อันหลิงอีกล่าวขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มันช่างแตกต่างกับสิ่งที่นางและมารดาของนางคาดการณ์เอาไว้เป็นอย่างมาก !
นางรีบทรุดตัวนั่งลงตรงแทบเท้าของอันอิงเฉิงผู้เป็นพ่อ แล้วเอ่ยอ้อนวอนว่าตนเองนั้นมิได้ทำผิดอันใด “ท่านพ่อเจ้าคะ มิใช่ข้า มิใช่ข้าจริง ๆ นะเจ้าคะ ข้าเคารพพี่หญิงเสมอมา จะทำเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
แต่บ่าวรับใช้ผู้นั้นตัดสินใจแล้ว จึงเอ่ยตอบกลับไปทันที “เมื่อเช้าคุณหนูรองได้มาพบข้า นางรู้ว่าท่านแม่ของข้านั้นป่วยหนักต้องการใช้เงิน นางจึงได้ให้เงินข้าและบอกให้ข้าใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ ! นางยังบอกอีกว่า ขอเพียงข้านั้นทำตามที่นางสั่ง ต่อแต่นี้ไปชีวิตของข้าจะดีขึ้นแน่นอน”
“เจ้า ! เจ้าเอ่ยเหลวไหลอันใดออกมา เจ้าคนชั้นต่ำ ใส่ร้ายพี่หญิงของข้าแล้วยังมิพอ แล้วยังจะกล้ามาใส่ร้ายข้าอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ” อันหลิงอีเอ่ยออกมาอย่างร้อนรน ภายในใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
“ข้าน้อยมีหลักฐานขอรับ ! ” บ่าวรับใช้กล่าวขึ้น จากนั้นก็กระชากเสื้อของตนเองออก บนร่างกายที่ผอมแห้งเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกเฆี่ยนตี มีทั้งคราบเลือดและรอยช้ำเต็มไปหมด
“ในคราแรกข้าน้อยมิยินยอมทำตาม คุณหนูรองจึงใช้แส้เฆี่ยนตีข้าน้อย จนท้ายที่สุดแล้วข้าน้อยทนกับความเจ็บปวดมิไหว จึงต้องจำยอม”
ตอนนั้นเองปี้จูจึงคุกเข่าลง พร้อมกับกล่าวเสริมออกไปว่า “แส้ของคุณหนูรองนั้นเป็นแส้ที่สั่งทำพิเศษ เมื่อตรวจดูที่บาดแผลก็จะรู้ได้เลยเจ้าค่ะ ขอนายท่านได้โปรดช่วยตรวจสอบบาดแผลของเขา เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อปี้จูเอ่ยจบ ทั้งห้องโถงต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ
คนรับใช้ทั้งหมดล้วนแต่ก้มหน้าหลบตา เกรงว่าจะเผลอสบตาอันอิงเฉิง
อันอิงเฉิงหายใจเข้าออกถี่กระชั้นและหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยอารมณ์โกรธ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นอยู่ภายใต้แขนเสื้อ สายตากวาดมองคนที่คุกเข่าอยู่ภายในห้องโถง สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่หลี่ซื่อ “เจ้าดูบุตรสาวสุดที่รักของเจ้าสิ ! ”
หลี่ซื่อทรุดลงกอดขาอันอิงเฉิงแล้วร้องไห้ออกมา “นายท่าน อีเอ๋อถูกใส่ร้ายนะเจ้าคะ”
“ใส่ร้าย ? หรือเจ้าอยากให้มีการตรวจสอบบาดแผลกันล่ะ ? ” อันอิงเฉิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงดุดัน
หลี่ซื่อได้ยินก็ตกตะลึงงันไป ทำได้เพียงแสร้งใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา จ้องมองไปทางอันหลิงอี
อันหลิงอีแม้จะมิเต็มใจ แต่นางกลัวที่จะสูญเสียความรักจากอันอิงเฉิงมากกว่า จึงรีบคุกเข่าลงที่ข้างกายอันอิงเฉิง “ท่านพ่อ ลูกแค่หลงผิดไปชั่วขณะ ลูกผิดไปแล้ว ต่อไปลูกจะมิทำเยี่ยงนี้อีกแล้ว”
อันหลิงอีนั้นมีความผูกพันสนิทชิดเชื้อกับอันอิงเฉิงผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่เล็ก ความรู้สึกเมื่อเห็นนางนั่งร้องไห้คร่ำครวญ อันอิงเฉิงมีหรือจะใจแข็งพอ “ข้าจะลงโทษเจ้า จงกักตนเองเพื่อสำนึกผิดเป็นเวลาครึ่งเดือนซะ ! ”
พูดจบแล้วก็เดินออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว ภายในห้องโถงเหลือไว้เพียงอันหลิงเกอ หลี่ซื่อและอันหลิงอีอยู่ในนั้น
หลี่ซื่อลุกขึ้นยืนตามทันที พร้อมกับออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ “เด็ก ๆ นำบ่าวรับใช้ผู้นี้ออกไปโบย 50 ที จากนั้นก็ขับออกจากจวนไป”
อันหลิงเกอที่สงบนิ่งมาตลอดกลับลุกขึ้นยืนช้า ๆ “อี๋เหนียงเจ้าคะ มิทราบว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้ทำผิดอันใด ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถามเพียงคำถามเดียว ทำให้หลี่ซื่ออดที่จะหันมาจ้องมองมิได้
เมื่อสายตาประสานตา บรรยากาศโดยรอบราวกับมีเปลวไฟปะทุอยู่รอบ ๆ แต่อันหลิงเกอกลับมิถอย จ้องมองหลี่ซื่อกลับด้วยสายตาที่สงบนิ่ง “ข้าขอถามอี๋เหนียง เหตุใดต้องโบยเขาถึง 50 ที แล้วเหตุใดต้องขับเขาออกจากจวนด้วยเจ้าคะ ? ”
หลี่ซื่อหรี่ตาแคบลง ยิ่งรู้สึกว่าอันหลิงเกอในวันนี้ช่างแตกต่างจากทุกวัน เปลี่ยนไปมากราวกับคนละคนกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางรู้สึกคับแค้นใจที่ตนเองนั้นประมาท ประเมินอันหลิงเกอต่ำเกินไปจนอีกฝ่ายพลิกกลับมาชนะนางได้ “ข้าคือนายหญิงของจวนนี้ ข้าจะลงโทษคนต้องรายงานเจ้าด้วยหรืออย่างไร ? ”
อันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นมุมปากเล็กน้อย “มิต้องหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่หากท่านพ่อถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา…”
หลี่ซื่อหน้าซีดลงทันที “นี่เจ้ากล้าขู่ข้าเช่นนั้นหรือ ? ”
“มิกล้าเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของอันหลิงเกอนั้นยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าเพียงแต่คิดแทนอี๋เหนียง หากอี๋เหนียงจะมิยอมให้บ่าวใช้ผู้นี้อยู่ในจวนต่อก็ช่างเถอะ แต่เกรงว่าเรื่องที่น้องรองทำกับข้าในวันนี้นั้น พรุ่งนี้อาจมีผู้ล่วงรู้ทั่วทั้งเมืองหลวงก็เป็นได้”
อันหลิงเกอแอบหัวเราะภายในใจ นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่าข่มขู่
นางพูดจบก็เบนสายตาไปที่ใบหน้าของอันหลิงอี “น้องหญิงนั้นช่างงดงามพริ้มเพราถึงเพียงนี้ หากเป็นเพราะเรื่องนี้ อาจทำให้มิสามารถแต่งเข้าตระกูลใหญ่ ๆ ก็เป็นได้นะเจ้าคะ…”
“ท่านแม่ ! ”
อันหลิงอีรีบกอดขาของมารดาเอาไว้ แต่ก่อนนางได้ดูถูกอันหลิงเกอเรื่องที่ร่างกายของนางนั้นอ่อนแอ มิกล้ามีปากเสียงกับผู้ใด แต่วันนี้อันหลิงเกอกลับทำให้นางกลัวจนตัวสั่น นางมิกล้าเดิมพันด้วยเป็นอันขาด
“ท่านแม่เจ้าคะ แค่คนชั้นต่ำไร้ประโยชน์ นางจักทำอันใดก็ปล่อยนางไปเถิดเจ้าค่ะ ! ” อันหลิงอีกล่าวอย่างร้อนรน ยิ่งกลัวว่ามารดาของตนจะตัดสินใจด้วยความโมโหจนทำลายอนาคตของนาง
หลี่ซื่อมิได้เต็มใจนัก แต่ก็กลัวว่าอันหลิงเกอจะนำเรื่องที่เกิดในวันนี้ไปเอ่ยต่อ ยากที่กล่าวออกมาจริง ๆ และเรื่องนี้จะต้องส่งผลกระทบต่อบุตรสาวของนางเป็นแน่ จึงได้แต่กัดฟันพูดว่า “เจ้าจะรักษาคำพูดได้หรือไม่ ? ”
ใบหน้าของอันหลิงเกอยังคงประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ข้าจะรักษาคำพูดได้หรือมิได้นั้น ขึ้นอยู่กับอี๋เหนียงว่าจะรักษาคำพูดหรือไม่”
อันหลิงเกอพูดจบมิรอให้หลี่ซื่อตอบกลับ ก็หมุนกายก้าวออกไปจากห้องโถงอย่างสง่างาม
ชายกระโปรงถูกลมพัด กระโปรงสีเงินม้วนขึ้นคล้ายดวงดาวที่เปล่งประกายบนท้องฟ้า ภายใต้ดวงตะวันที่อบอุ่น แต่ดวงตาของนางกลับเปล่งประกายยิ่งกว่าดวงดาวพวกนั้นเป็นไฉน
“ปี้จู พาบ่าวรับใช้ผู้นี้กลับไปด้วย” … เรือนฉีอู๋เป็นเรือนส่วนตัวของอันหลิงเกอ
ในจวนโหวที่กว้างใหญ่ ทว่าเรือนฉีอู๋กลับเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลจากอันอิงเฉิงที่สุด และโดดเดี่ยวมากที่สุดอีกด้วย
ต้นอู๋ถงในเรือนบานสะพรั่ง จึงเป็นที่มาของชื่อเรือนหลังนี้
ยามนี้เป็นช่วงต้นเหมันต์ ใบอู๋ถงร่วงจนหมดเหลือเพียงลำต้นสีเงินอันแข็งแกร่ง กิ่งก้านแตกกิ่งขึ้นบนฟ้า รั้วที่อยู่ใต้ต้นฝั่งหนึ่งมีดอกสายน้ำผึ้งแสนสวย ใบปกคลุมไปครึ่งกำแพง มองแล้วทำให้จิตใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
อันหลิงเกอรับน้ำชาที่ปี้จูยกมาให้ เป่าไล่ไอร้อนด้านบนเบา ๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่วันนี้เพื่อช่วยเจ้า ข้าถึงกลับล่วงเกินอี๋เหนียงและน้องรองไป ? ”
บ่าวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าของนางได้ทำการก้มหัวคำนับลงกับพื้นทันที “ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่ที่เมตตาช่วยชีวิตข้าน้อย ชาติหน้าต่อให้ข้าน้อยเกิดเป็นม้าหรือเป็นวัว ข้าน้อยก็จะทดแทนบุญคุณคุณหนูใหญ่อย่างแน่นอนขอรับ”
อันหลิงเกอจิบชาเสร็จและกล่าวต่อว่า “ชาติหน้านั้นมิมีประโยชน์อันใดหรอก ข้าดูแล้วเจ้านับว่ามีความกล้าหาญและมีความรับผิดชอบ เจ้าจะยอมติดตามข้าหรือไม่ ? ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปชั่วครู่ และตอบออกไปอย่างดีใจว่า “ขอเพียงคุณหนูใหญ่มิรังเกียจข้าน้อย นับจากนี้ไปข้าน้อยจะขอติดตามคุณหนูใหญ่ หากผิดคำพูดขอให้มิตายดีขอรับ”
มุมปากของอันหลิงเกอยกขึ้นอย่างพอใจ “แล้วเจ้าพอจะรู้หนังสือบ้างหรือไม่ ? ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นอายจนหน้าแดง “บ้านข้าน้อยนั้นยากจน ดังนั้น…”
เมื่อกล่าวออกไปแล้วจากนั้น เขาก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้า และได้ยินเสียงของอันหลิงเกอเอ่ยว่า “มิเป็นไร ตั้งแต่นี้ไปข้าจะสอนหนังสือให้เจ้าเอง และจะช่วยดูแลแม่และน้องสาวของเจ้าด้วย”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น ขอบตาของบ่าวรับใช้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันที เขาจึงรีบก้มศีรษะลงเพื่อเก็บซ่อนความอาย แต่น้ำเสียงยังคงอึกอักเก็บความเก้อเขินไว้มิมิด “ขอบพระคุณคุณหนูขอรับ”
“เจ้ามีชื่อว่าเยี่ยงไร ? ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเงยหน้าขึ้นเอ่ยตอบ “ลู่อวี่ขอรับ”
เมื่อได้รับฟัง เป็นเหตุทำให้อันหลิงเกอหัวเราะออกมา “ขนนกนั้นช่างเบานัก เจ้าเป็นชายยอกสามศอก มิควรจะเป็นเยี่ยงนั้น ข้าจะเติมอีกคำให้เจ้าเป็น หลู่จิงอวี่ ? เพื่อให้คู่ต่อสู้กลัวเจ้าเยี่ยงนกที่กลัวธนู ต่อแต่นี้ไปจะมิมีลู่อวี่อีกต่อไป”
หลู่จิงอวี่ได้ฟังก็มองไปยังอันหลิงเกอ ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ผู้ที่มีดวงตาอันอบอุ่น แต่ยามนี้แววตากลับนั้นลุ่มลึก ราวกับสระน้ำอันหนาวเย็นที่มองมิเห็นก้นสระ
เมื่อนึกย้อนกลับไปก็เป็นเหตุทำให้เขาตกตะลึงงันเล็กน้อย ทำให้ตระหนักได้ว่าแผนที่คุณหนูใหญ่นั้นได้วางเอาไว้ต้องมิใช่แผนการธรรมดาเป็นแน่ แต่เขาก็ยังคุกเข่าอยู่อย่างมั่นคง “หลู่จิงอวี่ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่ที่มอบชื่อใหม่ให้แก่ข้า แต่นี้ต่อไปหลู่จิงอวี่จะภักดีต่อคุณหนูใหญ่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าผ่าตาย ! ”
*อวี่ แปลว่าขนนก