ตอนที่ 6 ช่วยหน่อย อย่าส่งเสียงดัง
อันหลิงอีหันไปทางแม่ของนาง แต่กลับเห็นนางยืนนิ่งเฉย และมิพูดอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว เป็นเหตุให้มือที่อยู่ในแขนเสื้อของนางนั่นกำเข้าหากันจนแน่น
“ยังมิรีบไสหัวกลับเรือนของเจ้าอีก เจ้าทำให้ข้าอับอายผู้คนเสียจริง แล้วพาบ่าวรับใช้ทั้งสามคนนั้นกลับไปกับเจ้าด้วย”
อันหลิงอีทำได้เพียงกัดริมฝีปากของตนเองและมิได้พูดอันใดออกมา หลังจากนั้นอันอิงเฉิงมองไปยังอันหลิงเกอ แล้วกล่าวออกไปเสียงเข้ม “เจ้าเองก็อยู่อย่างสงบ ๆ บ้างเถอะ” แล้วเขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง สายตามองไปที่ลู่จิงอวี่ “เหตุใดบ่าวรับใช้ผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ? ”
อันหลิงเกอโค้งคำนับแล้วเอ่ยตอบว่า “เมื่อยามเว่ย อี๋เหนียงอนุญาตให้ลูกเป็นคนจัดการกับบ่าวรับใช้ผู้นี้ ลูกเห็นแล้วก็อดสงสารมิได้ อีกทั้งเรือนฉีอู๋มีเพียงลูกและปี้จูเพียง 2 คน งานใช้แรงหลายอย่างก็ทำได้มิสะดวกเท่าใดนัก ลูกจึงได้เก็บเขาเอาไว้ใช้งานเจ้าค่ะ”
อันอิงเฉิงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าเรือนฉีอู๋นั้นดูรกร้างจริง ๆ จึงกล่าวว่า “ในเมื่ออี๋เหนียงของเจ้าอนุญาตแล้ว เจ้าก็เก็บมันไว้ก็แล้วกัน”
“ลูกขอบพระคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอมีท่าทีความอ่อนโยน ท่วงท่าดูสง่างาม
มีเสน่ห์บางอย่างที่อธิบายมิถูก และมิเหมือนว่าเป็นการแสร้งทำ อันอิงเฉิงจ้องมองอันหลิงเกออยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เรือนนี้หากขาดเหลือสิ่งใด ก็บอกอี๋เหนียงของเจ้าได้”
อันหลิงเกอได้ยินเยี่ยงนั้นก็ยิ้มออกมา ดวงตาส่องประกายคล้ายดวงดาราที่ระยิบระยับอยู่บนทางช้างเผือก ยิ่งเมื่อต้องกับแสงไฟยิ่งส่องประกายจนจับใจคน รอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้ที่ผลิบาน เมื่อจ้องมองใบหน้าของนางก็ทำให้หลงลืมท่าทางเงียบขรึมและเศร้าหมองที่พบเห็นอยู่เป็นประจำทิ้งไป พบเห็นเพียงแต่เสน่ห์ที่ควรมีในช่วงวัยของนาง
เมื่อพบเห็นเยี่ยงนั้น คิ้วบนใบหน้าของอันอิงเฉิงคลายออก แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าก็รีบพักผ่อนเสียเถอะ”
“เจ้าค่ะ” เมื่ออันอิงเฉิงและคนอื่นๆ จากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลิงเกอก็เลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เย้ยหยันขึ้นมาทันที
เรื่องคืนนี้อันอิงเฉิงต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเป็นฝีมือของอันหลิงอีที่มาหาเรื่องตน แต่สุดท้ายก็แค่ตำหนิอันหลิงอีเพียงเท่านั้น การทดสอบในครานี้ทำให้นางยิ่งมั่นใจมากขึ้น ขอเพียงแค่หลี่กุ้ยเฟยยังอยู่ก็มิมีทางทำอันใดหลี่ซื่อและอังหลิงอีได้อย่างแน่นอน
แต่ความจริงคืนนี้นางก็มิได้คาดหวังอันใด เพียงแค่อยากให้อันอิงเฉิงได้รับรู้ว่านางที่เป็นบุตรของฮูหยินใหญ่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงใด และให้อันอิงเฉิงอนุญาตให้ลู่จิงอวี่อยู่ติดตามข้างกายตนเองเพียงเท่านั้น เมื่อบรรลุจุดมุ่งหมายก็ถือว่าได้รับชัยชนะแล้ว !
ต่อแต่นี้ไปนางจะค่อย ๆ ลอบทำร้ายสองแม่ลูก เพื่อแก้แค้นให้กับท่านแม่ของนางที่จากไป !
และอย่างน้อยจากนี้ไปอีกครึ่งเดือนก็ยังได้อยู่อย่างสงบบ้าง
อันหลิงอีหลังจากหาเรื่องอันหลิงเกอถึง 2 คราติด ก็มิกล้ากำเริบเสิบสานมากนัก ทำได้เพียงอยู่แต่ในเรือนของนางอย่างสงบ มิกล้าไปหาเรื่องอันหลิงเกออีก ส่วนหลี่ซื่อมัวแต่ยุ่งอยู่กับการปลอบโยนอันหลิงอี จึงมิได้นึกถึงนางเท่าใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางยังพ่ายแพ้ให้แก่อันหลิงเกอถึงสองครั้งสองครา หลี่ซื่อจึงต้องการเวลาในการไตร่ตรอง หากทำการโดยประมาทอีกครั้ง นั่นก็หาใช่นิสัยของพวกนางไม่
…
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาอันหลิงเกอก็หาได้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ ในวัน ธรรมดานั่นนางนอกจากจะสอนหนังสือให้กับปี้จูและลู่จิงอวี่แล้ว ก็ได้ออกไปพูดคุยกับชาวบ้านตามท้องถนน อันหลิงเกอจำได้ดีว่าตอนที่นางมีอายุ 17 ปีนั้น เมืองหลวงเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้น จนวังหลวงเกือบจะเกิดวิกฤตขึ้น ส่วนวิธีรักษานั้นนางยังจำได้ดีถึงทุกวันนี้
และนางก็ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า คิดไว้ว่าจะกักตุนตัวยาบางตัวในใบสั่งยาเอาไว้เพื่อ เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนถึงยามจำเป็น
วันนี้อากาศดี อันหลิงเกอวางแผนที่จะพาปี้จูและลู่จิงอวี่ท่องเที่ยวไปตามท้องถนนในเมืองหลวง นางจึงไปขออนุญาตหลี่ซื่อซึ่งเป็นฮูหยินรอง โชคดีที่หลี่ซื่อเองก็มิอยากเห็นหน้านางเช่นกัน นางจึงได้ไปขออนุญาตกับอันอิงเฉิงให้แก่นาง ใครจะคาดคิดว่าช่วงนี้ในจวนโหวสงบสุข อันอิงเฉิงจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ อีกทั้งยังสั่งให้พ่อบ้านมอบเงินให้อันหลิงเกอ 100 ตำลึงเพื่อใช้จ่ายและซื้อชุดสำหรับใส่ปีใหม่อีกด้วย
เมื่อทั้งสามออกจากจวนโหวด้วยรถม้าเดินทางไปตามถนนในเมือง ปี้จูผู้ที่ได้ถือเงิน 100 ตำลึงอยู่นั่นนั่งยิ้มจนตาหยี ปากก็พร่ำเอ่ยว่าจะไปกินของอร่อยที่นั้นที่นี่ รวมทั้งซื้อของสวย ๆ งาม ๆ อีกมากมาย
อันหลิงเกอนั่งอ่านหนังสืออยู่ในรถม้า ได้ยินดังนั้นก็เพียงแค่มองนางอย่างขบขัน ปี้จูอายุน้อยกว่านาง 2 ปี ซึ่งมีอายุ 14 ปีเท่ากับอันหลิงอี ซึ่งนับว่ายังเด็กนัก
อันหลิงเกอมองใบหน้าของปี้จู เมื่อมองดูใบหน้าด้านข้างของนางยังดูเด็กนัก แต่เมื่อมองด้านหน้ากลับดูดุดัน และเมื่อนึกย้อนถึงวันแต่งงานของตนเองเมื่อชาติก่อน ปี้จูก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกสังหารด้วยการปาดคอ เป็นเหตุให้เมื่อจ้องมองใบหน้าของนางแล้ว ใบหน้านั่นกลับเป็นเหมือนดั่งมีดอันแหลมคมที่คอยกรีดให้เป็นแผลลึกอยู่ในใจของนาง
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกหมดความสนใจกลับหนังสือที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเสียดื้อๆ หลังจากนั้นก็เก็บหนังสือไว้ด้านข้าง แล้วกล่าวออกไปว่า “เอาล่ะ ๆ ก็แค่รายการอาหารใหม่ของร้านเค่อหรูอวิ๋นมิใช่หรือ ? ข้าฟังจนเบื่อแล้ว”
ปี้จูได้ยินดังนั้นก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แล้วเปิดม่านขึ้น “จิงอวี่ จิงอวี่ หยุดตรงนี้ล่ะ คุณหนูจะพาพวกเราไปกินเมนูใหม่ของร้านเค่อหรูอวิ๋น ! ” นางพูดเสร็จก็กระโดดลงจากรถ แล้วยื่นมือมารับอันหลิงเกอ
เมื่ออันหลิงเกอลงจากรถ ก็เกิดอาการตาพร่าชั่วขณะคล้ายกับเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย แต่เมื่อนางหันไปกลับมอง ก็มิมีผู้ใด นางรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่บนใบหน้ากลับมิแสดงอาการใด ๆ ออกมา
“อีกสักครู่เจ้าไปถามเจ้าของร้านให้ข้าหน่อยสิว่าเห็นคุณหนูรองหรือไม่”
ปี้จูรู้สึกตกตะลึงงันขึ้นมา จึงได้กระซิบถามกลับไปว่า “คุณหนูรองก็มาที่นี่หรือเจ้าคะ ? เยี่ยงนั้นพวกเรามิกินแล้วดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นใบหน้าของอันหลิงเกอพลันปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นมา นางนึกสงสารปี้จู นางจึงตบลงที่หลังมือของปี้จูเบา ๆ เพื่อให้นางลดความประหม่าลง แล้วเอ่ยออกไปว่า “นาน ๆ ทีท่านพ่อจะให้เงินมา ถ้ามิกินก็ถือว่าทำผิดต่อท่านพ่อน่ะสิ”
เมื่อปี้จูได้ฟังผู้เป็นนายกล่าวมาเยี่ยงนี้แล้ว ความประหม่าที่มีก็มลายหายไป ฉับพลันใบหน้าก็บังเกิดรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นมา หลังจากที่ปี้จูส่งอันหลิงเกอที่ห้องส่วนตัวแล้ว ปี้จูก็หมุนตัวไปที่หน้าร้านเพื่อสอบถามกับเจ้าของร้าน อันหลิงเกอรินน้ำชาให้ตนเองหนึ่งถ้วย ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นไปที่ริมหน้าต่างเพื่อดูภายนอกนั้น
ใต้ชายคากลับปรากฏชายผู้หนึ่งกำลังห้อยหัวอยู่ เป็นเหตุให้อันหลิงเกอตกตะลึงงันขึ้นมา ยังมิทันจะอุทานออกมา ก็ถูกคนผู้นั้นปิดปากเอาไว้เสียแล้ว ลมหายใจที่ร้อนผ่าวรินรดที่หลังใบหูของอันหลิงเกอเป็นเหตุให้นางหน้าแดงไปหมด
“ชู่ว ช่วยข้าหน่อย อย่าส่งเสียงดัง” เสียงของคนผู้นั้นช่างกังวานสดใส ทำให้นึกถึงท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่
บนกายของเขามีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยออกมา กลิ่นที่ทำให้รู้สึกสงบนิ่ง กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่อันหลิงเกอรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก และเสียงนี้ก็เป็นเสียงที่นางมิมีวันลืมได้ ชายผู้นี้ที่แท้ก็คือมู่จวินฮานนี่เอง !
เมื่อนึกย้อนกลับไปในชาติก่อน แม้จะเป็นฝ่าบาทที่พระราชทานสมรสให้กับนางและมู่จวินฮาน แต่พวกนางได้พบกันเพียงมิกี่คราก็แต่งงานกัน
นึกถึงท่านอ๋องน้อยในครานั้น สมแล้วที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ทั้งรูปงาม บุคลิกท่าทางโดดเด่น มีคุณสมบัติพร้อมที่จะทำให้ผู้คนหลงใหล แต่ในชาติก่อนนี่ที่นางตายอย่างอนาถใช่ว่าจะมิเกี่ยวข้องกับเขา
อันหลิงเกอไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนดูแล้วจึงตัดสินใจว่าชาตินี้จะมิขอยุ่งเกี่ยวกับชายผู้นี้อีกเป็นอันขาด และต้องรีบคิดหาหนทางยกเลิกงานแต่งงานในครานี้ให้เร็วที่สุด
ในขณะนี้นางมิมีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้แล้ว !
มิรู้ว่าเป็นเพราะความรีบร้อนหรือเพราะเหตุอันใด มือข้างหนึ่งของมู่จวินฮานปิดอยู่ที่ปากของอันหลิงเกอ ส่วนมืออีกข้างกลับกอดเข้าที่เอวของนาง บวกกลับลมหายใจของบุรุษที่รินรดอยู่ที่หลังใบหูของนาง และแผงอกกำยำที่แผ่ไอร้อนออกมา…
แม้นางจะแสร้งทำเป็นสงบนิ่งเพียงใด แต่ก็อดที่จะเขินอายมิได้ !
และความรู้สึกต่อมาก็คือความโกรธ “
นี่เจ้า…อุ๊บ…”
“ชู่ว…” อันหลิงเกออาศัยจังหวะที่มู่จวินฮานค่อย ๆ คลายมือลงตวาดออกมา แต่ก็ถูกเขาปิดปากเอาไว้แน่นอีกครา จนมิสามารถร้องเรียกออกมาได้ ในเวลานั้นเอง ด้านนอกประตูก็เกิดเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังสนั่น เมื่อจ้องมองจากช่องทางหน้าต่างอันหลิงเกอพบเห็นชายชุดดำกลุ่มหนึ่ง
ในมือถืออาวุธคล้ายกับมิใช่คนธรรมดาทั่วไป เป็นเหตุให้นางมิกล้าส่งเสียงอันใดออกมาอีก ดูท่าแล้วมู่จวินฮานคงกำลังถูกคนพวกนี้ตามตัวอยู่เป็นแน่ ต่อให้ตอนนี้นางจะทั้งโกรธทั้งอาย แต่ก็ต้องเข้าใจสถานการณ์ด้วย
คนชุดดำกลุ่มนั้นหยุดอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง เมื่อมิพบสิ่งใดผิดปกติจึงรีบไปต่อ แต่กลับมีชายชุดดำคนหนึ่งกล่าวออกมาว่า “หายไปได้เยี่ยงไร ? ข้าเห็นว่ามันมาทางนี้จริง ๆ นะ มันแอบเข้าไปในห้องนี้หรือเปล่า…”
อันหลิงเกอเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังมุ่งตรงมาทางนี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที ครุ่นคิดเล็กน้อยและรีบดึงคอของมู่จวินหานลงมาทันที เป็นเหตุให้ใบหน้าของเขาซบอยู่ที่บ่าของตน
มู่จวินฮานตกตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อดึงสติกลับมาได้แล้วก็เข้าใจความหมายของนาง เขาจึงฉวยโอกาสจุมพิตไปที่คออันผุดผ่อง ผิวอันนุ่มละมุนใต้ริมฝีปากเผยกลิ่นหอมที่ทะลุออกมานอกผ้าไหม แม้เขาจะมีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง แต่ก็อดที่จะเขินจนหูแดงมิได้
อันหลิงเกอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นตรงคอ ก็เกิดอายจนหน้าแดงก่ำขึ้นมา
ขณะนั้นเองประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา คนที่เข้ามาเห็นคนสองคนที่กำลังนัวเนียกันอยู่จึงตกตะลึงงันไปชั่วขณะ อันหลิงเกอแสร้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงโมโห “ใครให้เจ้าเข้ามา ไสหัวออกไป ! ”
คนผู้นั้นเมื่อเห็นชุดอันหรูหราของนาง ก็รู้ในทันทีว่าเป็นสตรีที่มิควรแตะต้อง จึงรีบปิดประตูแล้วออกมานอกห้อง
“มีคนอยู่ด้านในหรือไม่ ? ”
คนผู้นั้นยิ้มออกมาอย่างหยาบคาย “มิมี ข้างในมีเพียงคู่รักคู่หนึ่งเพียงเท่านั้น ! ”
“เมื่อเป็นเยี่ยงนั้น พวกเรารีบไปตามหาชายผู้นั้นให้เจอ จะให้มันหนีไปมิได้”
จากนั้นชายชุดดำกลุ่มนั้นก็พากันลงไปข้างล่างเสียงดังตึงตังราวกับห่าฝน