ตอนที่ 34 สารภาพความในใจ
มู่จวินฮานรับรู้ได้ว่าอันหลิงเกอกำลังคิดสิ่งใดอยู่ภายในใจ จึงอดที่จะกล่าวออกมามิได้ว่า “อันหลิงเกอ เจ้าเป็นว่าที่เจ้าสาวของข้า เจ้าจะอ้างชื่อของจวนอ๋องมู่เพื่อให้อี๋เฟยเกรงกลัว จนมิกล้าทำอันใดเจ้าก็ได้ เหตุใดเจ้าถึงมิทำเยี่ยงนั้นเล่า?”
“แต่ข้ากับท่านสุดท้ายก็ต้องยกเลิกงานแต่งอยู่ดี”
เมื่ออันหลิงเกอพูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าของมู่จวินฮานก็เย็นชาลงไปในทันที
“ใครบอกว่าข้ากับเจ้าสุดท้ายจะต้องยกเลิกงานแต่ง ? ”
มู่จวินฮานกล่าวถามพร้อมกับบีบที่คางของอันหลิงเกอ บังคับให้นางหันมามองที่ตนเอง
สายตาของอันหลิงเกอมองตรงไปที่มู่จวินฮาน
“มู่ซือจื่อ ท่านเองก็รู้ดีว่าที่ฝ่าบาททรงพระราชทานสมรสระหว่างจวนโหวและจวนอ๋องมู่นั้นก็เพื่อจะทดสอบทั้งสองจวนเพียงเท่านั้น หากพวกเราแต่งงานกันจริงแล้วล่ะก็ เกรงว่าฝ่าบาทคงจะกินมิได้นอนมิหลับเป็นแน่”
เมื่อได้คิดตามที่อันหลิงเกอกล่าวมานั้นก็มิผิด เพราะในตอนนี้ขุนนางมากมายมีอำนาจ ฝ่าบาทหวังจะทำลายอำนาจของเหล่าขุนนางเพื่อจะได้กุมอำนาจเอาไว้ในมือ แล้วเหตุใดถึงจะยอมให้จวนโหวและจวนอ๋องมู่แต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กันจริง ๆ เป็นเหตุให้ทั้งสองจวนยิ่งใหญ่ขึ้นเล่า ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น มู่จวินฮานมิคิดว่าอันหลิงเกอจะมองเรื่องในราชสำนักได้ทะลุปรุโปร่งเยี่ยงนี้ เขาเองยังตกใจจนต้องเลิกคิ้วขึ้น
“แล้วเยี่ยงไรเล่า ? ขอเพียงฝ่าบาทมิได้ถอนคืนราชโองการ เจ้าก็คือว่าที่เจ้าสาวของข้า ต่อไปก็จะเป็นพระชายาของมู่ซือจื่อ”
เมื่อได้ฟังมู่จวินฮานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดื้อรั้น อันหลิงเกอก็ส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็ปรับอารมณ์ให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง
“มู่ซือจื่อ ท่านจะมั่นใจได้เยี่ยงไรว่าข้าจะแต่งเข้าจวนอ๋องมู่ของท่าน ? หากฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัย หรือหากท่านพบผู้หญิงที่ตัวเองชื่นชอบเข้าล่ะเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอกล่าวเหตุผลของตนออกไปเนื่องจากนางคิดหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อยกเลิกงานแต่งกับมู่จวินฮานมาโดยตลอด เพื่อมิให้อันหลิงอีคอยจ้องจะกัดนางตลอดเวลาราวกับเป็นหมาบ้าเยี่ยงนี้ อีกทั้งยังหาเรื่องนางได้ทุกวี่ทุกวัน
“ผู้หญิงที่ข้าชื่นชอบคือเจ้า”
คำพูดของมู่จวินฮานเต็มไปด้วยความจริงจัง
“มิว่าฝ่าบาทจะเปลี่ยนพระทัยหรือไม่ จะถอนคืนราชโองการหรือไม่ ข้า มู่จวินฮาน ก็จะขอชอบเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
คำสารภาพที่บอกออกมาแบบมิมีปี่มีขลุ่ยทำเอาอันหลิงเกอถึงกับตกตะลึง
มู่ซือจื่อชอบข้า
นี่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
ชาติที่แล้วพวกเขาสองคนเป็นว่าที่สามีภรรยาเพียงในนามเท่านั้น มิได้มีการพูดคุยอันใดกันเกิดขึ้น มาชาตินี้นางและมู่จวินฮานก็เจอหน้ากันเพียงมิกี่ครั้ง แล้วมู่จวินฮานจะมาชอบตนได้เยี่ยงไรกัน ?
“เรื่องเช่นนี้ ท่านมู่ซือจื่อมิควรนำมาล้อเล่นนะเจ้าคะ”
อันหลิงเกอกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกสับสนจนต้องหันไปมองทางอื่น มิกล้าสบกับดวงตาที่จริงจังของมู่จวินฮาน
“ข้ามิได้ล้อเล่น อันหลิงเกอ ใจเจ้ามิรู้บ้างเลยหรือ ? ”
มู่จวินฮานตอบกลับพร้อมตัวเขาขยับเข้าไปใกล้อันหลิงเกอขึ้นไปอีก จนอังหลิงเกอถอยไปจนชิดกับมุมกำแพง
จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงมองใบหน้างดงามของอันหลิงเกอที่อยู่ด้านหน้าตน แล้วกล่าวถามออกไปว่า “หรือว่าเจ้ามีผู้อื่นอยู่ในใจแล้ว ถึงต้องการยกเลิกการแต่งงานกับข้าให้ได้ ? ”
มู่จวินฮานกล่าวถามขึ้น ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ขณะที่พูดออกไปก็รู้สึกเจ็บปวดภายในใจ
ถ้าหากอันหลิงเกอชอบคนอื่น…
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ! ”
อันหลิงเกอปฏิเสธทันที
“ข้าต้องการยกเลิกการแต่งงานกับมู่ซือจื่อก็เพราะข้ามิต้องการออกจากบ้านที่มีแต่การแย่งชิง แล้วยังต้องแต่งเข้าไปอยู่ในบ้านที่มีแต่การวางแผนกันไปวางแผนกันมาอีกก็เท่านั้น”
“มู่ซือจื่อโดดเด่นทั้งรูปร่างหน้าตาและฐานะ จะต้องเป็นชายในดวงใจของคุณหนูตระกูลใหญ่มากมายอย่างแน่นอน ตัวข้านั้นหวังเพียงแค่มีชายเพียงคนเดียวที่จะอยู่เคียงคู่กันไปตลอดชีวิต มีชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนั้น มู่ซือจื่อ ท่านมิเหมาะกับข้าหรอกเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานได้ฟังนางอธิบาย ก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมา เขายกยิ้มขึ้นที่มุมปาก กลับมาแสดงท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำราญดังเดิม
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าคุณหนูตระกูลใหญ่มากมายในเมืองนั้นชอบข้า ? หรือว่าเจ้าเองก็ชอบข้ามานานแล้ว นี่เจ้ากำลังกินน้ำส้มอยู่ใช่หรือไม่ ? ”
มู่จวินฮานกล่าวถามออกไป พร้อมกับเขาขมวดคิ้วเข้าหากัน แสร้งทำเป็นประเมินอันหลิงเกอ
แต่คาดมิถึงอันหลิงเกอจะยกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลายว่า
“อันหลิงอีคือตัวอย่างชั้นดีเจ้าค่ะ”
โง่จริง ข้าลืมคนผู้นี้ไปได้ยังไง
มู่จวินฮานแอบด่าตนเองอยู่ภายในใจ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโกรธแค้นอันหลิงอีขึ้นมา หญิงสาวคนนั้นใจดำอำมหิต กล้าทำร้ายพี่สาวตัวเอง และยังอยากจะแต่งงานกับตนให้ได้
เดิมทีเขามิเคยสนใจอันหลิงอีมาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอันหลิงเกอแล้ว คิดว่าควรต้องกำจัดมารความรักอย่างอันหลิงอีก่อนซะแล้ว
อันหลิงเกอเมื่อเห็นสีหน้าของมู่จวินฮานที่เปลี่ยนไป เป็นเหตุให้นางหัวเราะออกมา เมื่อนึกไปถึงครั้งแรกที่พบกันตอนนั้นเขากำลังถูกคนตามล่า เขามีอาการขัดเขินอยู่บ้าง นอกนั้นมู่จวินฮานก็มีท่าทางสง่างามเป็นหนุ่มเจ้าสำราญอยู่ตลอดเวลา ถ้าว่าท่าทางโกรธแค้นที่แสดงอยู่บนใบหน้าของเขาในตอนนี้นั้น มิรู้เหตุใดถึงได้ดูน่ารักเยี่ยงนี้
“เจ้าหัวเราะอันใดกัน ? ”
มู่จวินฮานทำหน้าเครียด จ้องใบหน้าที่งดงามของอันหลิงเกอ แต่ก็โกรธนางมิลง
ใครทำให้เขาชอบผู้หญิงคนนี้กันเล่า ?
เสียงหัวเราะของอันหลิงเกอดังขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาคู่สวยโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
“คิดมิถึงว่ามู่ซือจื่อจะมาเป็นทุกข์เพราะมีคนมาชื่นชอบมากเกินไปเยี่ยงนี้ นี่เป็นเรื่องดีที่หลายคนต้องการเลยนะเจ้าคะ”
“ใครเสียดายเรื่องดีแบบนี้กัน ข้าอยากได้เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคที่มู่จวินฮานกล่าวออกมา ตรงยิ่งกว่าคำสารภาพเมื่อครู่ของเขาเสียอีก
เสียงหัวเราะของอันหลิงเกอชะงักลงทันที ใบหูค่อย ๆ แดงขึ้น จนนางมิกล้าสบตาที่จริงจังของมู่จวินฮานอีก รู้สึกว่าหัวใจเริ่มจะมิฟังคำสั่งของตัวเอง มันเต้นเร็วราวกับจะหลุดออกมาจากอกเยี่ยงนั้น
“มู่ซือจื่อ ต่อไปท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ”
นางกล่าวถึงเหตุผล เพื่อปกปิดความตื่นตระหนกของตัวเอง
“ถึงแม้จวนโหวและจวนอ๋องมู่จะกำหนดเรื่องงานแต่งของเราแล้ว แต่ว่าเราก็ยังมิได้แต่งกัน ท่านพูดจาเช่นนี้ หากคนอื่นมาได้ยินเข้า จะทำให้ข้าเสียชื่อเสียงได้เจ้าค่ะ”
ในยุคที่เคร่งครัดเรื่องการวางตัวระหว่างชายหญิงเช่นนี้ ระหว่างว่าที่สามีภรรยาก็มิควรจะมาพูดล้อเล่นกัน หากมู่จวินฮานมิเห็นความตระหนกและเขินอายในดวงตาของอันหลิงเกอกับใบหูที่เป็นสีแดงระเรื่อของนางแล้วล่ะก็ คงจะถูกคำพูดของนางหลอกเอาได้เสียแล้ว
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ออกมาพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ท่านหัวเราะอันใดกันเจ้าคะ”
อันหลิงเกอกลอกตามองเขา พร้อมเอ่ยถามออกมา แต่มิกล้าพอที่จะมองใบหน้าของมู่จวินฮานโดยตรง
มู่จวินฮานเห็นอาการขัดเขินที่มิได้เกิดขึ้นบ่อยนักของอันหลิงเกอ ก็รู้สึกว่าใบหน้าที่งดงามนั้นมีความไร้เดียงสาเพิ่มขึ้นมา ยิ่งเห็นก็ยิ่งทำให้ใจของเขาหวั่นไหว
“ข้าก็หัวเราะเจ้านะสิ”
เสียงของมู่จวินฮานดังกังวาน น้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความสุขจนปิดมิมิด
“เหตุใดเจ้าถึงได้น่ารักถึงเพียงนี้นะ ? ข้าเหมือนจะชอบเจ้ายิ่งกว่าเดิมซะอีก ทำเยี่ยงไรดี ? ”
จากนั้นเขาเข้าใกล้อันหลิงเกอด้วยท่าทีคุกคาม ดึงมือของอันหลิงเกอไปวางไว้บนอกของตน
“เจ้าดูสิว่าข้าชอบเจ้าขนาดไหน”
เมื่อฝ่ามือได้สัมผัสที่แผ่นอกที่กว้าง นางก็รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงอยู่ใต้ฝ่ามือ ครานี้หูของอันหลิงเกอก็แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงใบหน้าที่งดงามนั้นด้วย
“อันธพาล ! ”
อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยความโกรธ แล้วก็ชักมือของตนกลับ
มู่จวินฮานเองก็มิได้รั้งนางไว้ และยังคงหัวเราะเสียงดังออกมา
“เจ้าแต่เดิมก็เป็นว่าที่ภรรยาข้าอยู่แล้ว ข้าชอบเจ้าก็สมเหตุสมผลแล้วนี่ ? ”
แต่เมื่อนึกถึงคำกล่าวเมื่อครู่ของอันหลิงเกอขึ้นมา ท่าทีขี้เล่นก็หายไปจนหมดเหลือไว้แต่ความจริงจัง
“อันหลิงเกอ เจ้าฟังข้าให้ดี ในเมื่อข้าชอบเจ้าก็จะมีเจ้าเพียงผู้เดียว เรื่องมีบ้านเล็กบ้านน้อยจะมิมีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในเมื่อเจ้าต้องการเพียงคนผู้เดียวที่อยู่เคียงคู่กันไปชั่วชีวิต ข้าก็จะเป็นคนผู้นั้นที่อยู่เคียงคู่เจ้าไปชั่วชีวิต จะมิมีวันมีหญิงอื่นอย่างแน่นอน เช่นนั้นอย่าได้คิดที่จะยกเลิกการแต่งงานกับข้าอีก”
อันหลิงเกอเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในดวงตาของมู่จวินฮานได้เป็นอย่างดี เพียงแต่รู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบ มิได้เจ็บปวดแต่กลับรู้สึกมึนงงจนสับสนไปหมด