ตอนที่ 86 ช่วยเว่ยอี๋เหนียง
ในยามที่ฮูหยินใหญ่ของอันอิงเฉิงแต่งเข้าจวนโหว ท่านโหวผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่จึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้พาหวังซื่อและเจิ้งซื่อกลับบ้านเดิม ฉะนั้นจึงพักอาศัยร่วมกับสะใภ้ใหญ่อันอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมีความผูกผันและมีความทรงจำอันดีร่วมกับสะใภ้ใหญ่อันอยู่มาก
สำหรับเว่ยอี๋เหนียงผู้นี้ เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้ว่านางเป็นสาวใช้ข้างกายของสะใภ้ใหญ่อันมาก่อน
ต่อมาถูกสะใภ้ใหญ่อันยกตัวไปเป็นอี๋เหนียงของท่านโหว ส่วนเรื่องอื่นฮูหยินผู้เฒ่าก็มิรู้อีกแล้ว
ตอนนี้ได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวว่าเว่ยซื่อชำนาญเรื่องพิธีชงชา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกดีใจขึ้นมาทันใด
ทุกคนจากฝั่งเรือนเก่าล้วนชื่นชอบการดื่มชา ฮูหยินผู้เฒ่าใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานสิบกว่าปี
จึงพลอยชื่นชอบการดื่มชาไปด้วย เมื่อได้ยินว่ามีผู้เชี่ยวชาญพิธีชงชาอยู่ที่นี่ก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก
“ช่วงนี้เว่ยซื่อมีเวลาว่างหรือไม่ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามพร้อมยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เมื่อน้ำชาสัมผัสต้องปลายลิ้นก็รับรู้ได้ถึงความหอมกรุ่นไปทั่วทั้งปากพลันทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า ใบหน้าของอันหลิงเกอก็ฉายรอยยิ้มขึ้นมาจนดวงตากลมโตโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“เว่ยอี๋เหนียงมีเวลาว่างมากทีเดียว วันทั้งวันนางอยู่แต่เรือนโดยมิได้ทำอันใดเลย นางจึงถือเป็นสตรีเกียจคร้านอันดับหนึ่งในจวนโจวเลยก็ว่าได้ บัดนี้ท่านย่ากลับมายังจวน คงต้องรบกวนให้จัดการนางเสียหน่อยเจ้าค่ะ มิสมควรให้นางเกียจคร้านเยี่ยงนี้อีกต่อไป” กิริยาออดอ้อนของอันหลิงเกอเยี่ยงนี้เป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้วยื่นนิ้วมือไปจิ้มหน้าผากของนางด้วยความเอ็นดูเสียหนึ่งครา
“เจ้าอยากให้เว่ยซื่อมารับใช้ข้างกายย่าก็กล่าวออกมาตามตรงเถิด เจ้าจักกล่าวอ้อมไปอ้อมมาเพื่อเหตุใด ? “
“ท่านย่าเข้าใจหลานผิดแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอแสร้งน้อยใจแล้วเติมชาให้ฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นนางก็เอ่ยแก้ตัวอย่างจริงจัง
“เว่ยอี๋เหนียงมิได้เป็นญาติฝ่ายใดของหลานก็จริง ทว่าที่เกอเอ๋อต้องคิดแทนนางเยี่ยงนี้เป็นเพราะอยากให้ท่านย่าได้ดื่มชาเลิศรสที่สุดเจ้าค่ะ เกอเอ๋อได้ยินสาวใช้พูดกันว่า ช่วงหลายปีมานี้ท่านย่าชอบดื่มชายิ่งนัก หลานจึงนึกขึ้นมาได้และเสนอให้เว่ยอี๋เหนียงมาดูแลข้างกายท่านย่าเจ้าค่ะ หากท่านย่ามิเห็นด้วยก็ถือว่าเกอเอ๋อมิเคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเจ้าค่ะ”
“โธ่…ข้าทำให้เกอเอ๋อที่รู้ความที่สุดในจวนโกรธเสียแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวติดขำขันออกมา มองก็รู้แล้วว่านางอารมณ์ดีมิน้อย
“ย่าเพียงหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น เหตุใดเจ้าต้องถือเป็นจริงด้วยเล่า ? ส่วนเว่ยซื่อที่เจ้ากล่าวถึงผู้นั้น ย่าได้คิดไว้แล้วว่าหากฝีมือการชงชาของนางดีจริง ย่าจักเรียกนางมาที่เรือนวันละ 1 ชั่วยามและจักมิให้นางหลบอยู่แต่ในเรือนเด็ดขาด”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเอาใจอันหลิงเกอโดยยังมิรู้สถานการณ์ของเว่ยอี๋เหนียงภายในจวนโหวมากนัก
ทว่าเมื่อได้ฟังหลานสาวกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ก็รู้ว่าอนุนางนี้ใช้ชีวิตอย่างไร
หากจักเอ่ยให้น่าฟังหน่อยก็คือนิสัยเงียบขรึม มิชอบแข่งขันกับผู้ใด
ถ้ากล่าวมิน่าฟังคือนางโดนหลี่ซื่อกดขี่จนไร้กำลังโต้กลับจึงได้แต่หลบอยู่ในเรือนเพียนของตน
ในเมื่ออันหลิงเกอกล่าวถึงเว่ยอี๋เหนียงและมีใจอยากช่วยนาง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงอยากทำตามใจหลาน
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ามิชอบหลี่ซื่อ หากมีพรรคพวกเพิ่มมาอีกหนึ่งคนก็จักช่วยลดความหยิ่งผยองของหลี่ซื่อได้บ้าง ส่วนนางก็จักได้อยู่ในจวนอย่างสงบสุข
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็สั่งให้สาวใช้ข้างกายไปจัดการอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปมิถึงครึ่งถ้วยชา สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึงเรือนของเว่ยอี๋เหนียง
พร้อมนำคำสั่งของเจ้านายถ่ายทอดต่อเว่ยอี๋เหนียง
“ท่านแม่ให้ข้าไปรับใช้ที่เรือนเป็นเวลา 1 ชั่วยามของทุกวันอย่างนั้นหรือ ? “
เว่ยอี๋เหนียงเอ่ยถามสาวใช้ที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า นางมิเชื่อในสิ่งที่ได้ยินจึง
หันไปหยิบเหรียญทองแดงออกมาเพื่อมอบให้สาวใช้ผู้นี้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงมีคำสั่งเยี่ยงนี้ออกมา ? “
เมื่อสาวใช้เห็นเหรียญทองแดงที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ นางก็เผยสายตาว่างเปล่าและมิยอมรับเอาไว้ ตรงกันข้ามคือผลักคืนไปให้เว่ยอี๋เหนียง
แววตาของสาวใช้ตวัดมองเว่ยอี๋เหนียงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงว่าตนเหนือกว่า
“เรือนของท่านเรียบง่ายเกินไป แม้แต่ของใช้ดูดีสักชิ้นยังมิมี จอกกระเบื้องที่บิ่นก็สมควรเปลี่ยนตั้งนานแล้ว เหตุใดท่านยังมิเปลี่ยนเจ้าคะ ? หากคนนอกมาพบเห็นจักคิดได้ว่าจวนโหวตกต่ำถึงขั้นต้องใช้เครื่องเรือนที่เก่าชำรุด”
เมื่อเว่ยอี๋เหนียงได้ฟังเยี่ยงนั้นก็ทำตัวมิถูก เดิมทีนางเป็นเพียงบ่าวที่ถูกยกขึ้นเป็นอี๋เหนียงจึงมิมีของกำนัลติดตัวเลย เบี้ยรายเดือนที่ต้องได้รับก็โดนหลี่ซื่อตัดจนเหลือเพียงเหรียญทองแดงมิกี่เหรียญ เป็นสิ่งที่นางเก็บออมมานานแสนนาน ทว่าคนอื่นมิเห็นมันอยู่ในสายตาเลย
นางฝืนยิ้มแล้วพยายามหาข้ออ้างให้ตน
“ข้ามิชอบใช้ของสิ้นเปลือง จอกกระเบื้องนี้โดนกระแทกจนบิ่นไปเล็กน้อย มิเป็นปัญหาต่อการใช้งานเลย”
สาวใช้ผู้นั้นพลันหัวเราะออกมา แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ทว่าอยู่ ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงมองเว่ยอี๋เหนียงอย่างจริงจัง ใบหน้ามีความเป็นมิตรขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เว่ยอี๋เหนียงช่างโง่เขลาเสียจริง ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านไปรับใช้ข้างกายย่อมเป็นเรื่องดียิ่งนัก เพียงแค่ดูแลฮูหยินผู้เฒ่าให้ดี ท่านก็จักได้รับผลประโยชน์มิน้อย หรือท่านอยากเฝ้าเรือนเพียนนี้ไปชั่วชีวิตเจ้าคะ ? “
หลังจากกล่าวจบก็นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วลอบสังเกตแววตาอันลังเลของเว่ยอี๋เหนียง จากนั้นก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมออกมามิหยุด
“โอกาสดีเยี่ยงนี้ลอยมาอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว หากท่านมินึกถึงตนเองก็ควรนึกถึงอนาคตของคุณชายอวี่บ้างเจ้าค่ะ ทว่านี่เป็นบุญคุณที่คุณหนูใหญ่ออกหน้าแทน ท่านอย่าทำลายความหวังดีของคุณหนูใหญ่เลยเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้เป็นความคิดของคุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ ?
เว่ยอี๋เหนียงตกตะลึงโดยพลัน จากนั้นก็บังเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจและยากจักอธิบายออกมา นางเผยท่าทีลังเลอยู่ชั่วครู่จึงตัดสินใจ
“ข้าขอเตรียมตัวสักพักแล้วจักรีบไปคำนับท่านแม่”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น สาวใช้ก็ฉีกยิ้มออกมา
“เว่ยอี๋เหนียง ท่านตัดสินใจถูกแล้วเจ้าค่ะ ชีวิตต่อจากนี้ของบ่าวก็มิแน่ว่าอาจได้พึ่งพิงท่านเจ้าค่ะ”
คำกล่าวนี้แฝงไปการตีสนิท เว่ยอี๋เหนียงจับผ้าเช็ดหน้าไว้แน่นโดยมิกล่าวสิ่งใดออกมาอีก
ของจำเป็นที่เว่ยอี๋เหนียงต้องจัดเตรียมนั้นมีมิมาก ฉุนเซี่ยนสาวใช้ข้างกายช่วยเก็บของและตรวจสอบความครบถ้วนอยู่หลายรอบ เพียงห่อผ้าขนาดเล็กก็บรรจุของทั้งหมดเต็มแล้ว
ห่อผ้าสีเขียวอ่อนมีเพียงเสื้อผ้าเก่ามิกี่ตัวและเครื่องประดับเก่าแสนล้าสมัยสองสามชิ้น
เว่ยอี๋เหนียงแห่งจวนโหวมีทรัพย์สินเพียงเท่านี้ ช่างใช้ชีวิตอย่างยากลำบากยิ่งนัก เมื่อนึกถึงสาเหตุก็ทำให้ฉุนเซี่ยนน้ำตาไหลอย่างห้ามมิอยู่ นางพยายามกะพริบตาเพื่อไล่น้ำตาออกไป
มิง่ายเลยที่เว่ยอี๋เหนียงจักมีโอกาสแสดงตนต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยงนี้ แม้เว่ยอี๋เหนียงยังมิรู้ใจฮูหยินผู้เฒ่าไปเสียทั้งหมด ทว่านางก็จักปฏิบัติตามคำสั่งจนกว่าได้รับความโปรดปรานเพื่อนางจักมิโดนหลี่ซื่อรังแกอีก
เว่ยอี๋เหนียงคิดได้เยี่ยงนี้ก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของอันหลิงเกอมากเหลือเกิน นางมิรู้หรอกว่าอันหลิงเกอช่วยเหลือเพราะเหตุใด แต่นางจักยอมรับเอาไว้อย่างแสนยินดี
หลังจากนั้นสาวใช้ก็พาเว่ยอี๋เหนียงมาถึงเรือนชิ่งฟง
เว่ยอี๋เหนียงย่อกายลงคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและเอ่ยอย่างเปี่ยมความเคารพ
“คาราวะท่านแม่เจ้าค่ะ “
ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังดื่มชาอยู่กับอันหลิงเกอ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็วางถ้วยชาในมือแล้วมองไปทางเว่ยอี๋เหนียง
นางมีลักษณะมิโดดเด่นอันใดนัก เพียงแค่มีใบหน้าอ่อนโยนเยี่ยงสตรีธรรมดาทั่วไป โดยรวมแล้วดูสะอาดสะอ้าดมิน่าเกลียดแต่อย่างใด
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามอง พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับอาภรณ์ที่นางสวมใส่ ใบหน้าชราจึงแปรเปลี่ยนไปในทันใด
“เหตุใดเจ้าสวมเสื้อผ้าเยี่ยงนี้มาพบข้า ? “