ตอนที่ 102 ละครฉากเด็ด
อันหลิงเฉว่พูดจบก็หันไปมองอันหลิงเกอ “พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ เรื่องเมื่อครู่ท่านก็เห็นว่าน้องหญิงสามไร้เหตุผล มิสามารถตามใจนางได้นะเจ้าคะ ! “
อันหลิงเฉว่กำลังดึงนางลงน้ำด้วยหรือ ?
อันหลิงเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย พลันริมฝีปากก็ยกยิ้มเป็นเหตุให้ใบหน้าที่งดงามน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ใบหน้าของอันหลิงเกอราวกับยิ้มก็มิยิ้ม นางมองไปที่อันหลิงเฉว่ นัยน์ตาสีดำสดใสราวกับสามารถมองแผนการทั้งหมดของอันหลิงเฉว่ออกจนทำให้อีกฝ่ายต้องหลบสายตา
อันหลิงเกอกล่าวด้วยน้ำเสียงมิร้อนรน ทว่าแววตาจริงจังยามเอ่ยขอโทษเจียงหนิง “นิสัยของน้องหญิงสามมุทะลุและตรงไปตรงมา ข้าในฐานะพี่ใหญ่ต้องขอโทษคุณหนูเจียงแทนนางด้วย หวังว่าคุณหนูเจียงจักมิเก็บไปใส่ใจ”
อันหลิงเกอเอ่ยขอโทษเจียงหนิงก่อน จากนั้นจึงหันไปมองอันหลิงอี แววตาคมกริบแฝงไปด้วยความตำหนิ “วันนี้คือวันแรกที่เข้าเรียนในสำนักศึกษาจิงตู หากอีเอ๋อก่อเรื่องที่นี่ ข้าจักกลับไปรายงานท่านพ่อและท่านย่า ให้พวกท่านลงโทษเจ้า”
เมื่อได้ฟังที่อันหลิงเกอกล่าว อันหลิงอีก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด หากเรื่องนี้ไปถึงหูท่านพ่อและท่านย่า นางต้องได้รับโทษมิน้อยเลย
อันหลิงอีเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ รู้สึกว่าอันหลิงเกอร่วมมือกับอันหลิงเฉว่รังแกตน เมื่อกลับถึงจวนนางต้องให้ท่านแม่หาทางสั่งสอนอันหลิงเกอและอันหลิงเฉว่ให้ได้ !
“พี่หญิงใหญ่สั่งสอนถูกแล้วเจ้าค่ะ พี่หญิงสามมีนิสัยตรงไปตรงมา ยามผู้อื่นพูดจามิน่าฟังจึงอารมณ์ร้อนจนลงมือผลักคุณหนูเจียง ตอนนี้พี่หญิงสามสำนึกผิดแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถิดเจ้าค่ะ” อันหลิงเหมิงกล่าวพร้อมเหลือบมองอันหลิงอี พยายามให้เรื่องนี้คลี่คลายลงด้วยดี นางมิลืมเอ่ยถึงอันหลิงเฉว่ด้วย “พี่หญิงรองและคุณหนูเจียงสนทนากันถูกคอราวกับเป็นสหายเก่าแก่ เยี่ยงนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าพี่หญิงรอง ขอคุณหนูเจียงอย่าเก็บเรื่องนี้ใส่ใจเลยเจ้าค่ะ วันนี้เปิดเรียนวันแรกหากเกิดเรื่องวุ่นวายจนอาจารย์รู้เข้าจักมิดี”
อันหลิงเกอหันไปมองอันหลิงเหมิง น้องสี่ผู้นี้ชอบก้มหัวให้ผู้อื่นเสมอ มีนิสัยอ่อนแอและชอบอยู่เงียบ ๆ จึงมิเป็นที่จดจำของผู้คนมากนัก ทว่าตอนนี้นางช่วยพูดแทนอันหลิงอี ท่าทางใจกว้างมิเลว อันหลิงเกอจึงอดหันมองมิได้
อันหลิงเฉว่โดนเอ่ยถึงก็มิอาจมิแยแส นางจึงฉีกยิ้มแล้วกล่าว “เรื่องนี้เป็นข้ามิดีเอง หากข้ามิโต้เถียงกับน้องหญิงสาม คุณหนูเจียงคงมิต้องลำบาก”
นางแสร้งยอมรับความผิดเอาไว้ที่ตนและก้มหน้าทำตัวอ่อนแอน่าสงสารยิ่งนัก
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น เจียงหนิงจึงโบกมือเป็นเชิงให้เลิกแล้วต่อกันไป แม้ใบหน้าจักดูมีโทสะอยู่บ้างแต่ก็ยอมกล่าวปลอบโยนอันหลิงเฉว่ “เพราะนางเอ่ยยั่วยุขึ้นมาก่อน เหตุใดจึงกลายเป็นเจ้าที่ผิด หลิงเฉว่ เจ้าใจดีเช่นนี้จักถูกเอาเปรียบได้”
อันหลิงเฉว่ส่ายศีรษะราวกับมิใส่ใจเรื่องที่ตนต้องยอมถอยให้ผู้อื่น ยิ่งมิสนใจว่าตนถูกรังแก
ท่าทีใจกว้างและรู้ความของอันหลิงเฉ่ว เพียงพริบตาก็สามารถสร้างความประทับใจให้บรรดาคุณหนูในห้องโถงได้มิน้อย
ส่วนอันหลิงอีแม้ยังโกรธ แต่ก็มิกล้าก่อเรื่องอีก เมื่อเห็นว่าโดยรอบมีคนมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงรีบคลายโทสะแล้วนั่งลงเพื่อรออาจารย์เข้าสอน
“ท่านอาจารย์มาแล้ว ! “
มิรู้ว่าเสียงผู้ใดตะโกนขึ้นมา ทำให้ทุกคนในห้องโถงหันไปมองนอกประตู
เห็นเพียงสตรีผู้หนึ่งสวมชุดยาวสีแดงชาดดูแพงและหรูหรา ปักดอกโบตั๋นสีทองอย่างละเอียด เสื้อคลุมด้านนอกสีม่วงปักดอกไม้ด้วยด้ายทอง เดินเข้ามาในห้องโถงทีละก้าวอย่างสง่างาม
นางดูอิ่มเอิบราวหยก ใบหน้าขาวนวลเนียน ริมฝีปากเคลือบด้วยสีทาปากที่แวววาวเล็กน้อย ดูละเมียดละไมอย่างยิ่ง
ดวงตาชั้นเดียวเรียวยาวเหลือบมอง แววตาที่เข้มงวดนั้นทำให้ทุกคนต้องรีบเก็บสายตาที่จ้องมองนางกลับมา
“สามีข้ามาจากสกุลเติ้ง พวกเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์เติ้งก็แล้วกัน” นางยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คน ดูมีสง่าราศีมิด้อยไปกว่าสตรีสูงศักดิ์ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าหนักแน่น
คุณหนูเหล่านั้นแต่เดิมมีความหยิ่งและถือตัว แต่พออยู่ต่อหน้าอาจารย์เติ้งก็พากันเชื่อฟัง รีบตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น อาจารย์เติ้งก็พยักหน้าอย่างพอใจ นางเปิดตำราในมือและเริ่มทำการสอนทันที
สิ่งที่นางสอนคือคุณสมบัติทั้งสี่ของสตรี คุณหนูส่วนใหญ่ในนี้เคยเรียนมาก่อนจึงมิได้มีความสนใจต่อเนื้อหานี้มากนักและมิค่อยตั้งใจฟัง
อันหลิงเกอก็เช่นกัน แม้ท่าทางดูตั้งใจฟังอาจารย์เติ้งสอน ทว่าแววตามองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา
ผู้ใดจักคาดคิดว่าอยู่ ๆ มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมา ทั้งยังส่งยิ้มกว้างให้นางอีกด้วย
อันหลิงเกอเบิกตากว้าง พลันมุมปากก็ค่อย ๆ ฉีกยิ้มกว้าง
“พี่หญิงใหญ่ยิ้มมีความสุขเช่นนี้ คงชอบการสอนของอาจารย์เติ้งใช่หรือไม่เจ้าคะ”
อันหลิงอีเห็นท่าทีของอันหลิงเกอก็เอ่ยขึ้นมา ทำให้สายตาของทุกคนในห้องนี้จ้องมองไปที่อันหลิงเกอ
อาจารย์เติ้งก็เช่นกัน เมื่อเห็นท่าทางของอันหลิงเกอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาแฝงความมิชอบใจขึ้นมา
คุณสมบัติทั้งสี่ของสตรีที่นางกำลังสอนช่างน่าเบื่อ ทว่าอันหลิงเกอก็ยิ้มออกมาเสียได้ จักต้องเป็นเพราะนางเหม่อลอยหรือไม่ก็แอบทำเรื่องอันใดอยู่แน่
“อันหลิงเกอ เจ้าตอบมาสิว่าอันใดคือคุณสมบัติทั้งสี่ของสตรี ? “
อันหลิงเกอยืนขึ้นอย่างให้เกียรติ “เรียนท่านอาจารย์ คุณสมบัติทั้งสี่ของสตรีแบ่งเป็นการประพฤติดี การพูดจาอ่อนหวาน การแต่งกายเรียบร้อยและการยินดีทำงานบ้านเจ้าค่ะ”
เมื่ออันหลิงเกอตอบได้ อาจารย์เติ้งก็พยักหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายนั่งลง นางมิได้จงใจสร้างความลำบากให้อันหลิงเกอ เพียงอยากเตือนให้ตั้งใจเรียนก็เท่านั้น
เวลาหนึ่งคาบเรียนผ่านไปเร็วมาก อันหลิงเกอรออาจารย์ออกไปแล้วจึงรีบยกปลายกระโปรงแล้ววิ่งเบา ๆ ออกไป
ปกตินางมีสติมั่นคงอยู่ตลอด น้อยครั้งที่จักรีบร้อนเยี่ยงนี้ สายตาของอันหลิงอีจ้องตามทางที่อีกฝ่ายเดินไปด้วยแววตาดุร้ายก่อนจักลุกตามออกไป
“จุนเกอร์เอ๋อ ! “
อันหลิงเกอมองหนุ่มน้อยตรงหน้า แววตาเปี่ยมไปด้วยความสุข ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสจนเป็นประกายเล็กน้อย
“ฮ่องเต้ปล่อยเจ้าออกมาได้เยี่ยงไร หรือองค์ชายเก้าก็มาด้วย ? “
แรกเริ่มอันหลิงจุนต้องไปเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายเก้าถึงในวังหลวง ทว่าตอนนี้เขาสามารถออกจากวังได้ แสดงว่าองค์ชายเก้าก็มาที่สำนักศึกษาจิงตูด้วย
อันหลิงจุนพยักหน้า จากนั้นจึงบอกข่าวที่ทำให้อันหลิงเกอดีใจอีกยกใหญ่ “องค์ชายทุกพระองค์ก็มาเรียนที่สำนักศึกษาจิงตู ฮ่องเต้รับสั่งว่าข้ามิจำเป็นต้องเรียนเป็นเพื่อนองค์ชายเก้าอีกต่อไปแล้วขอรับ”
นี่ถือเป็นข่าวดีเสียจริง !
อันหลิงเกอตื้นตันใจ กำลังจักพูดต่อก็เห็นอันหลิงอีเดินมาจากด้านหลัง
“นี่คืออันหลิงจุนมิใช่หรือ ? มาที่นี่ได้เยี่ยงไร มิอยู่เรียนเป็นเพื่อนองค์ชายเก้าหรือ ? ” นางเน้นคำว่าเรียนเป็นเพื่อนออกมา ราวกับว่าทำเยี่ยงนี้แล้วจักสามารถเอาคืนสองพี่น้องได้บ้าง
อันหลิงจุนเหลือบมองนางหนึ่งครา จากนั้นก็มองอันหลิงเกอ “พี่หญิงขอรับ หญิงอัปลักษณ์ผู้นี้เป็นใคร เหตุใดนางต้องคุยกับข้าด้วย ? “
ใบหน้าของอันหลิงจุนดูว่างเปล่าอย่างจริงจัง มิมีความเสแสร้งแม้แต่นิด เป็นเหตุให้อันหลิงอีโกรธจนปลายนิ้วสั่น
อันหลิงเกอคิดว่าตนมิได้เจอน้องชายมานานจนมิรู้ว่าเขาปากร้ายเยี่ยงนี้ นางอดหัวเราะออกมามิได้ มิว่าอันหลิงจุนจักลืมอันหลิงอีจริงหรือจงใจพูดเพื่อให้อันหลิงอีโกรธ นางก็ยังแนะนำให้อันหลิงจุนรู้จักอยู่ดี
“นี่คืออีเอ๋อบุตรีหลี่อี๋เหนียงอย่างไรเล่า อีเอ๋ออายุน้อยกว่าเจ้ามิกี่เดือน ก่อนเจ้าเข้าวังก็เติบโตมาด้วยกัน เหตุใดจึงมิรู้จักเสียได้”
อันหลิงจุนทำเพียงตอบ อืม คำเดียวและเอ่ยออกมาด้วยท่าทีตกตะลึง “ก็ว่าเหตุใดจึงอัปลักษณ์เช่นนี้ ที่แท้คือบุตรีของหลี่อี๋เหนียงนี่เอง”
ถ้าจักกล่าวเยี่ยงนี้ สู้มิกล่าวเสียยังดีกว่า!