ตอนที่ 161 กระตุ้น
หลี่ซื่อเองก็คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจักถามคำถามเยี่ยงนี้ออกมา
เพื่อให้นักพรตผู้นี้แสดงวิชาอันสูงส่งและน่าเชื่อถือกว่าเดิม นางจึงเล่าเรื่องของทุกคนในจวนโหวแห่งนี้ให้เขาฟังแต่ลืมเรื่องของตนเองไปเสียได้ !
ในเวลานี้นักพรตรู้สึกตื่นกลัวจนเผลอเหลือบมองไปทางหลี่ซื่อ
ดวงตาหลี่ซื่อแฝงไปด้วยการเตือน จากนั้นก็รีบหลบตา เพราะมิเยี่ยงนั้นฮูหยินผู้เฒ่าอาจสังเกตเห็นการกระทำของนางได้
แม้บนใบหน้านางมิมีความตื่นตระหนกให้เห็น แต่ในใจกังวลใจยิ่งนัก
เมื่อนึกย้อนกลับไป นางได้ยินว่านักพรตผู้นี้หลอกลวงผู้คนเป็นประจำ นางจึงเลือกเขามาเล่นละคร แต่ถ้าเขาทำมิสำเร็จแล้วทำให้ตัวนางเดือดร้อนไปด้วย เขาก็มิมีทางจบสวยอย่างแน่นอน
นักพรตเห็นหลี่ซื่อหลบตาจึงรู้ทันทีว่านางมิมีทางช่วยปกป้องตน
แต่สำหรับเรื่องหลอกลวงผู้คนเยี่ยงนี้ เขาทำมาเยอะแล้ว เหตุการณ์มิคาดคิดก็ใช่ว่ามิเคยเจอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงแสร้งทำเป็นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาว่า “ข้าสัมผัสได้ว่าฮูหยินท่านนี้มีดวงชะตาสูงส่ง นางย่อมมีดวงส่งเสริมสามีและครอบครัวให้มั่งคั่ง ส่วนเวลาตกฟากของนางนั้น ข้ากลับคำนวณออกมามิได้”
“เมื่อครู่ท่านนักพรตยังคำนวณเวลาตกฟากของคุณหนูใหญ่ได้ อีกทั้งยังกล่าวออกมาอย่างชัดเจนว่าคุณหนูใหญ่มีดวงอัปมงคล แล้วเหตุใดพอถึงคราสะใภ้หลี่กลับคำนวณออกมามิได้ หรือเดิมทีท่านก็คำนวณมิเป็น ทว่าใส่หน้ากากมาหลอกลวงผู้คนเท่านั้น ! ”
เว่ยซื่อกล่าวพร้อมถอนหายใจออกมา ขอแค่คำพูดนักพรตผู้นี้มิน่าเชื่อถือ ดวงชะตาอัปมงคลที่ว่าก็จักกลายเป็นคำกล่าวไร้สาระและฮูหยินผู้เฒ่าจักมิสงสัยในตัวคุณหนูใหญ่อีก
“ฮูหยินอย่ากังวลไปเลย” นักพรตเอ่ยกับเว่ยซื่อพร้อมส่ายหน้า ใบหน้าของเขายังดูลึกลับ “การที่ตัวข้าคำนวณเวลาตกฝากของฮูหยินท่านนี้มิได้ก็เป็นเพราะนางมีความสูงส่ง แล้วคนธรรมดาเยี่ยงข้าจักคำนวณเวลาตกฟากของคนที่มีดวงชะตาชีวิตเช่นนี้ได้หรือ ? ”
“สำหรับคุณหนูใหญ่มิเหมือนกัน เพราะนางมีดวงอัปมงคล ดวงมิดี ดังนั้นนักพรตทั่วไปเยี่ยงข้าก็สามารถคำนวณเวลาตกฟากของนางได้แล้ว”
ในเวลานี้ฝ่ามือของนักพรตมีเหงื่อซึมออกมาแต่ใบหน้ายังสงบนิ่งดังเดิม
นักพรตผู้นี้แสร้งกล่าวอย่างใจเย็นเพื่อเอาตัวรอด แต่ยังมิลืมบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าอันหลิงเกอมีดวงชะตาเลวร้ายเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสงสัยในตัวนาง
ทว่าเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าสงสัยในตัวนักพรตจึงเริ่มถามหยั่งเชิง “ในเมื่อท่านนักพรตบอกว่ามิได้หลอกหลวง เยี่ยงนั้นก็ช่วยคำนายดวงชะตาให้ข้าได้หรือไม่ ? ”
หลี่ซื่อรีบส่งสายตาให้นักพรต ส่วนอีกฝ่ายก็รีบพยักหน้ารับทันที
เขาแสร้งทำครุ่นคิดครู่หนึ่ง คิ้วขมวดเป็นปม ท่าทางเยี่ยงนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าใจเต้นแรงเพราะกลัวว่าเขาจักกล่าวอันใดมิเป็นมงคลออกมา
“ฮูหยินผู้เฒ่าเกิดมามีฐานะสูงส่ง สามีและบุตรกตัญญู เดิมทีควรมีชะตาชีวิตราบรื่น เพียงแต่บั้นปลายจัก…”
“บั้นปลายเป็นเยี่ยงไร ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าเครียดจนกำลูกประคำในมือแน่น
นักพรตหยุดกล่าวคล้ายว่ามันมิน่าเอ่ยออกมาสักเท่าไร
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นหลี่ซื่อจึงกระตุ้นเขาอีกทาง “ท่านนักพรตมีอันใดก็กล่าวออกมาเถิด ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนใจกว้างย่อมมิกล่าวโทษท่านอย่างแน่นอน”
“ถ้าเยี่ยงนั้นข้าพูดก็ได้ เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าควรมีชีวิตราบรื่นเพียงแต่เมื่อถึงบั้นปลายชีวิตกลับเจอคลื่นลม เกรงว่าได้รับผลกระทบจากคนรุ่นหลัง ชะตาชีวิตบั้นปลายจักตายอย่างอนาถ”
“พูดเหลวไหล ! ”
หลี่ซื่อสั่งให้นักพรตเอ่ยคำเหล่านี้ แต่นางแสร้งทำโมโหแทนฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมชี้นิ้วไปยังนักพรต “ข้าเห็นเจ้ามีพลังแก่กล้าจึงเชิญมาดูฮวงจุ้ยให้จวน แต่เจ้ากล้าสาปแช่งฮูหยินผู้เฒ่า ! ”
เมื่อนักพรตได้ยินคำต่อว่าของนางก็ทำหน้าฉงนในทันที “ฮูหยินอนุญาตให้ข้ากล่าวเอง แต่ตอนนี้บอกว่าข้าสาปแช่งฮูหยินผู้เฒ่า หากท่านมิเชื่อคำของข้าก็มิต้องเชิญข้ามา” เมื่อกล่าวจบเขาก็ทำท่าคล้ายจักเดินออกไปจากจวนโหว
หลี่ซื่อหมดคำพูด เพียงหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าเงียบ ๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บคำของนักพรตเมื่อครู่มาใส่ใจ นึกย้อนว่าตั้งแต่กลับมาอยู่จวนโหวก็พบว่าจวนแห่งนี้มิค่อยสงบสุขจริง ๆ มีเรื่องเกิดขึ้นแทบทุกวัน มิเงียบสงบเหมือนตอนอยู่เรือนบรรพบุรุษสักนิด
หรือเป็นเยี่ยงที่นักพรตกล่าวว่าบั้นปลายชีวิตของนางต้องลำบากเพราะคนรุ่นหลังจนกระทั่งมีจุดจบมิดี ?
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกใจเต้นแรงแต่ก็ปลอบตนเองว่านางมีฐานะสูงส่ง ลูกหลานกตัญญู นอกจากฮ่องเต้จักทำลายจวนโหวแล้ว นางมิมีทางพบจุดจบอนาถเยี่ยงนั้นแน่
ปลอบตนเองเสร็จแล้วก็รีบกล่าวว่า “ท่านนักพรตช้าก่อน”
ฝีเท้าของนักพรตหยุดลงชั่วขณะ แต่มิได้หันมามองฮูหยินผู้เฒ่าแม้แต่น้อย ต่อจากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกทันที
หลี่ซื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าอยากรั้งนักพรตให้อยู่ต่อจึงรีบสั่งการบ่าว “รีบไปหยุดนักพรตเอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าจักสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับนักพรตผู้นั้น ! ”
เดิมทีเว่ยซื่ออยากเอ่ยแย้งออกมา แต่เมื่อเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็ได้แต่ถอนหายใจและหันไปมองปลอบอันหลิงเกอแทน
ในเวลานี้อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปากขึ้น ริมฝีปากแดงเรื่อชวนให้คนลุ่มหลง
ท่าทางของนางดูผ่อนคลายไร้กังวล ราวกับผู้โดนทำนายว่าเป็นตัวอัปมงคลจากนักพรตเมื่อครู่มิใช่นาง
สตรีที่งดงามเยี่ยงอันหลิงเกอสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เด็ก และต้องเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือหลี่อี๋เหนียงที่หน้าซื่อใจคด
เว่ยซื่อครุ่นคิดเยี่ยงนั้นก็เผยใบหน้าเหลือทนออกมา แต่นางมิสังเกตเห็นแววตาสั่นไหวของอันหลิงเกอ
อีกด้านหนึ่งสาวใช้ที่ได้รับคำสั่งก็เข้าไปขวางหน้านักพรตผู้นั้น ส่วนหลี่ซื่อก็รีบเดินเข้าไปหาพร้อมสีหน้ารู้สึกผิด “เมื่อครู่ข้ากล่าวเกินไปเอง หวังว่าท่านนักพรตจักมิถือสา ข้าแค่เป็นกังวลแทนฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น จึงวู่วามจน…”
นักพรตเค้นเสียงดัง ฮึ ! อย่างเฉยเมย หลี่ซื่อจึงรีบส่งสายตาให้เถ่าหง ทันใดนั้นเถ่าหงก็หยิบตั๋วเงินออกจากกระเป๋าแขนเสื้อแล้วส่งให้เขาด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม
“นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฮูหยินรองของพวกเรา ถ้าท่านนักพรตมิรังเกียจก็รับไว้เถิดเจ้าค่ะ”
นักพรตเหลือบมองตั๋วเงิน ด้วยจำนวนเงินหนึ่งร้อยตำลึงจึงทำให้เขาเผยแววตาแห่งความโลภออกมา หรือแม้แต่ท่าทางของผู้สูงส่งก็แทบพังทลายในทันที
100 ตำลึงเชียวหรือ เรือนเศรษฐีที่เขาเคยเข้าไปยังมิให้เงินเยอะถึงเพียงนี้เลย
คาดมิถึงว่าเพื่อกำจัดบุตรีภรรยาเอก ฮูหยินรองของจวนโหวจักกล้าให้เงินมากถึงเพียงนี้ การทำเรื่องนี้ได้เงินดีกว่าเงินที่เขาเคยได้ประจำรวมกันมากนัก !
นักพรตแอบกลืนน้ำลายและแสร้งรับตั๋วเงินจากเถ่าหงด้วยท่าทีเยือกเย็น ทว่าดวงตาเหมือนหมาป่าหิวโหยที่ได้เห็นลูกแกะ
พอเก็บตั๋วเงินเรียบร้อยแล้วเขาก็แกล้งกระแอมออกมาเบา ๆ “ในเมื่อฮูหยินรองขอโทษด้วยความจริงใจ ข้าก็จักอยู่ต่อเพื่อดูฮวงจุ้ยให้จวนของท่าน”
“เรื่องฮวงจุ้ยยังมิรีบ” หลี่ซื่อโบกมือพร้อมรอยยิ้ม “สิ่งสำคัญในตอนนี้คือฮูหยินผู้เฒ่า”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พยายามแสดงว่าตนห่วงใยฮูหยินผู้เฒ่ามากเพียงใด “เมื่อครู่ท่านนักพรตทำนายดวงชะตาให้ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ยังมิทราบว่าต้องทำเยี่ยงไรจึงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีชีวิตสงบสุข มิต้องลำบากเพราะคนรุ่นหลัง”