ตอนที่ 168 กลับดำเป็นขาว
อันอิงเฉิงกำลังนึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ก็เห็นหลี่ซื่อที่สลบไปในตอนแรกเริ่มเคลื่อนไหว จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“ท่านพี่มาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
หลี่ซื่อแสร้งตกตะลึง แม้รอยฝ่ามือบนใบหน้าจางลงบ้างแล้ว ทว่าก็ยังเห็นชัดอยู่
เถ่าหงรีบเดินเข้าไปอยู่ข้างนางแล้วประคองยามนางลงจากเตียง “วันนี้ฮูหยินรองคุกเข่ากลางแดดมาหลายชั่วยาม ท่านเพิ่งกลับมาถึงเรือนก็หมดสติไปอีก บ่าวจึงบังอาจให้คนไปเชิญนายท่านมาที่นี่เองเจ้าค่ะ”
“เจ้าช่างบังอาจเสียจริง กล้าคิดแทนข้าหรือ ? ” หลี่ซื่อเลิกคิ้ว เผยใบหน้าดุดัน “ท่านโหวมีงานราชการมากมาย แต่เจ้าไปรบกวนท่านเพราะเรื่องเล็กแค่นี้”
“ฮูหยินโดนรังแกถึงเพียงนี้จักถือเป็นเรื่องเล็กได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ” เถ่าหงมองนางอย่างคนหัวรั้น “ท่านมีจิตใจดีงาม โดนรังแกก็ยังมิกล่าวออกมา แต่บ่าวติดตามท่านมานานถึงเพียงนี้ทนเห็นท่านโดนรังแกมิได้จริง ๆ เจ้าค่ะ แม้ท่านลงโทษ บ่าวก็จักนำเรื่องนี้ไปรายงานนายท่านเจ้าค่ะ ! ”
สองนายบ่าวช่วยกันเล่นละครทำให้หลี่ซื่อกลายเป็นคนอ่อนโยนเอาใจใส่ผู้อื่น เถ่าหงกลายเป็นสาวใช้ผู้จงรักภักดีปกป้องนาย มีเพียงเว่ยซื่อเท่านั้นที่เป็นตัวร้าย
“บังอาจ ! ” หลี่ซื่อตะโกน แต่แล้วอึดใจต่อมาก็ไอออกมาสองสามครั้งและกล่าวมิได้ไปชั่วขณะ ได้แต่ชี้นิ้วใส่เถ่าหงพร้อมใบหน้าโกรธจัด
อันอิงเฉิงจึงเข้าไปจับมือนางด้วยท่าทางอ่อนโยน “สาวใช้ผู้นี้กล่าวถูกแล้ว นางแค่กังวลว่าเจ้าจักได้รับความมิเป็นธรรม เจ้ามิต้องตำหนินางหรอก”
ขณะที่อันอิงเฉิงกำลังกล่าวเยี่ยงนี้ เขาก็เห็นใบหน้าหลี่ซื่อแดงผิดปกติแต่ปากซีดเซียว ใบหน้าไร้ชีวิตชีวาเหมือนเช่นเคย ดูบอบบางยิ่งกว่าเดิม
หลี่ซื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขา เรียกท่านโหวอย่างเศร้าสร้อย ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม
“แค่ท่านพี่มาหา ข้าก็ดีใจมากแล้วเจ้าค่ะ ส่วนอนุเว่ย…” นางรีบหยุดกล่าวอย่างรวดเร็วราวกับทำอันใดผิดไป แต่ใบหน้าของอันอิงเฉิงเคร่งขรึมในทันที
“เจ้าใจดีมากเกินไปจึงโดนผู้อื่นรังแกจนเป็นเยี่ยงนี้” อันอิงเฉิงกอดคนในอ้อมกอดแน่น ใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าหลี่ซื่อเอาไว้และกล่าวด้วยแววตาเจ็บปวด “ท่านแม่แค่โมโหเจ้าชั่วครู่จนถูกคนตบตาได้ และทำให้เจ้าต้องโดนลงโทษ”
“ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจ ไหนเลยข้าจักกล้ากล่าวว่าถูกรังแกเจ้าคะ นางเป็นผู้อาวุโส แม้เข้าใจผิดแต่ก็ต้องเป็นความผิดของข้าคนเดียว”
เสียงของหลี่ซื่อช่างแผ่วเบา แต่ในคำกล่าวบอกให้อันอิงเฉิงรับรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินเรื่องนี้ผิด แต่นางเป็นผู้น้อยย่อมมิอาจโต้เถียงฮูหยินผู้เฒ่าได้จึงจำใจรับผิดและเก็บความรู้สึกเศร้าไว้ในใจ
ดวงตานางแฝงไปด้วยอารมณ์หลากหลายและยังทำท่ารู้ความถึงเพียงนี้อีก ทำให้อันอิงเฉิงที่มองอยู่รู้สึกหวั่นไหวจากใจจริง
สตรีที่อ่อนโยนเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ จักมีผู้ใดมิชอบบ้าง ?
อันอิงเฉิงลูบหลังปลอบหลี่ซื่อเบา ๆ “เจ้ารู้ความถึงเพียงนี้ ท่านแม่ก็แค่เข้าใจในตัวเจ้าผิดไปจึงมิชอบเจ้า แต่วางใจเถิด เพราะพรุ่งนี้ข้าจักหาเวลาไปคุยกับท่านให้รู้เรื่อง บอกให้ท่านเลิกลำเอียงใส่เจ้าเสียที”
“ข้าจักบังคับให้ท่านแม่มาชอบได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ข้าก็เป็นแค่อนุผู้หนึ่งแต่มีหน้าที่ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ท่านแม่จึงมิพอใจในตัวข้ามาตั้งนานแล้ว พอกลับถึงจวนก็ให้สะใภ้หวังมาดูแลห้องเก็บสมบัติ อีกทั้งตอนนี้ยังหาข้ออ้างให้อนุเว่ยมารับอำนาจดูแลจวนไปจากมือข้าอีก กล่าวไปกล่าวมาสุดท้ายท่านแม่ก็มิอยากให้ข้าดูแลจวนโหวเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อหลบตาพร้อมใบหน้าเศร้าหมอง “ที่จริงผู้ใดมาดูแลจวนก็เหมือนกัน เพียงแต่สะใภ้หวังคุ้นชินกับการใช้ชีวิตที่เรือนบรรพบุรุษ มิคุ้นเคยกับกิจการในเมืองหลวง ส่วนอนุเว่ยก็เพิ่งออกมาจากเรือนเพียน เกรงว่าแม้แต่บัญชีก็ยังทำมิคล่อง ข้าก็แค่กังวลว่าพวกนางจักดูแลจวนโหวได้มิดี แล้วสุดท้ายก็ก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายให้ท่านเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อมิเอ่ยถึงความน้อยอกน้อยใจของตนแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมิบอกอันอิงเฉิงว่าตนมิพอใจแค่ไหนที่โดนแย่งอำนาจไป แต่กล่าวเพียงว่าเพื่อจวนโหว นางกลัวเว่ยซื่อดูแลจวนได้มิดีจนเป็นกังวลเช่นนี้
อันอิงเฉิงได้ฟังจึงยิ่งปวดใจ คิดว่าหลี่ซื่อดูแลจวนมานานถึงเพียงนี้ สุดท้ายกลับมิได้รับความดีสักอย่าง ทั้งยังถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษ และนางก็ยังเข้าใจว่าเขางานยุ่งจึงมิได้อนุญาตให้เถ่าหงไปเชิญเขามาหา
แต่อันอิงเฉิงมิได้คิดว่าถ้าสาวใช้ของหลี่ซื่อมิได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายแล้ว นางจักกล้าไปเชิญเขาหรือ ?
เมื่อฟังคำกล่าวกลับดำเป็นขาวของหลี่ซื่อเพียงมิกี่ประโยค อันอิงเฉิงก็มิสังเกตเห็นความผิดปกติของเรื่องนี้แม้แต่น้อย ทางด้านหนึ่งเมื่ออันหลิงเกอได้ทราบข่าวนี้ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน
“หลี่อี๋เหนียงลงมือรวดเร็วเสียจริง” อันหลิงเกอกล่าวออกมาพร้อมนึกถึงข่าวที่เพิ่งได้ยินมา
บิดาเพิ่งกลับมาถึงจวนโหวได้มินาน เถ่าหงก็ส่งสาวใช้ไปเชิญแล้ว การทำเยี่ยงนี้มิใช่เพราะหลี่อี๋เหนียงกลัวเว่ยอี๋เหนียงเล่าเรื่องที่เกิดในวันนี้ให้ท่านพ่อฟังก่อน แล้วทำให้นางโดนท่านพ่อรังเกียจและทอดทิ้งหรือไร ?
การที่นางแสร้งหมดสติแล้วให้สาวใช้เชิญอันอิงเฉิงมาที่เรือนก็เพราะอยากลงมือก่อน เพื่อกล่าวกับอันอิงเฉิงว่าตัวนางไร้เดียงสามิรู้เรื่องพวกนี้และนางตกเป็นเหยื่อนั่นเอง
ปี้จูที่กำลังจุดเทียนหอม ขณะมองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนนางก็หันกลับมามองอันหลิงเกอ “แม้ฮูหยินรองลงมือเร็วเพียงใด แต่เรื่องที่นางทำในวันนี้ก็ยังชัดเจนอยู่ตรงนั้น หรือนางจักลบเรื่องนี้ออกไปได้เจ้าคะ ? ”
คำกล่าวของปี้จูเป็นเหตุให้หัวใจอันหลิงเกอเต้นแรง ราวกับได้เข้าใจเจตนาของหลี่ซื่อแล้ว
หลี่ซื่อมิเพียงร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าอันอิงเฉิงเพื่อให้ได้รับความเห็นใจจากเขาและต้องการใช้โอกาสนี้ผลักความผิดออกไป
เพราะถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็มิเชื่อนาง เว่ยอี๋เหนียงและนางอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน นางจึงได้แต่คว้าอันอิงเฉิงไว้เพราะการทำให้นายใหญ่แห่งจวนโหวเชื่อจึงจักมีโอกาสพลิกกลับมามีชัย
ถ้ามิได้เป็นอย่างนั้น หลี่ซื่อต้องเผชิญหน้ากับการรังเกียจจากคนทั้งจวน ฮูหยินผู้เฒ่าให้เว่ยอี๋เหนียงมาแบ่งอำนาจในมือนางไป อันอิงเฉิงก็ยังรังเกียจและทอดทิ้งนางอีก ผ่านไปมิถึงครึ่งปี ศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ในอดีตของหลี่อี๋เหนียงต้องหายไปจนหมดและมิมีผู้ใดเห็นตัวตนของนางที่อยู่ในจวนอีก
มิแน่ว่าจุดจบในเวลานั้นของนาง อาจอนาถกว่าการไปอยู่เรือนเพียนเยี่ยงเว่ยอี๋เหนียงหลายเท่า
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้นอันหลิงเกอก็ถอนหายใจแล้ววางตำราแพทย์ในมือลง ขณะเดียวกันหมิงซินก็เดินเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งและนวดหลังนางอย่างมิหนักมิเบาเกินไป พร้อมสายตาค่อนข้างปวดใจ
“คุณหนูมีฐานะสูงส่ง เหตุใดต้องเรียนวิชาแพทย์ที่ซับซ้อนเยี่ยงนี้ด้วยเจ้าคะ ? ในแต่ละวันท่านอ่านตำราจนดึกดื่น บ่าวเห็นขอบตาของท่านเริ่มดำคล้ำแล้วเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอยิ้มเบาบาง ชาติก่อนนางโดนหลี่ซื่อนำพาไปสู่ทางไร้สมอง แต่แล้วก็ดันไปเจอยอดฝีมือชี้แนะ นางจึงได้เข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้างและโชคดีที่มีพรสวรรค์ด้านนี้มิน้อย มีความสามารถมิหลงลืมจึงเรียนศาสตร์ทางการแพทย์ได้โดยง่าย
นอกจากนี้นางยังรู้ว่าอีกมินานจักเกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหลวง แต่สมุนไพรในมือนางยังมิพอจึงได้แต่อ่านวิชาแพทย์และทดลองหาสมุนไพรตัวอื่นมาทดแทน