ตอนที่ 207 รับโทษ
ข่าวที่อันอิงเฉิงถูกนำตัวเข้าวังแพร่สะพัดไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว
มิรู้ว่าหลี่ซื่อได้ยินมาจากไหน นางรีบพาอันหลิงอีมาที่เรือนของอันหลิงเกอพร้อมกล่าวเสียดสี “เกอเอ๋อช่างเก่งกาจเสียจริง ช่วยบุตรีของฮูหยินหมิงจูได้ แต่ทำให้ท่านโหวถูกฮ่องเต้ทรงกริ้ว เจ้าทำดีก็แค่กับคนนอก นี่มิใช่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ”
ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยความเย้ยหยัน คำว่าเห็นแก่ตัวกล่าวออกมาอย่างดูแคลนยิ่งนัก
ดวงตาของอันหลิงอีเผยแววดุร้าย เดินเคียงข้างหลี่ซื่อแล้วกล่าวซ้ำเติมว่า “เจตนากล่าวให้ผู้อื่นหวาดกลัวว่ามีโรคระบาดเกิดขึ้น คิดว่าแค่พูดมันก็จักระบาดได้เลยหรือ ? ทางที่ดีสุดคือขอให้ท่านพ่อกลับมาอย่างปลอดภัย มิเช่นนั้นข้าจักไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลให้พระองค์ทราบว่าเป็นพี่หญิงใหญ่ก่อเรื่อง ท่านพ่อมิได้เกี่ยวข้องอันใดด้วย”
พวกนางกังวลเรื่องอันอิงเฉิงจริง ๆ หากเขาทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว จวนโหวนี้พวกนางจักสามารถอยู่ต่อได้หรือไม่ยังกล่าวได้ยาก
“หุบปาก ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้ามาโดยมีเว่ยซื่อพยุงไว้ นางยังสวมชุดร่วมงานฉลองอยู่ เสื้อสีม่วงเข้ม ปักกลีบดอกไม้สีชมพูไว้ตรงขอบ ดวงตาฝ้าฟางจ้องมองอันหลิงอีด้วยแววคมกริบ “โหวอันโดนฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวัง ยังมิได้บอกว่าเป็นเรื่องอันใดเลย เจ้าสองคนกลับมากล่าวโทษเกอเอ๋อเสียแล้ว”
นางมองอันหลิงเกอด้วยความเห็นใจ พร้อมตบหลังมืออันหลิงเกอเบาๆ ราวกับกำลังปลอบใจ เห็นได้ชัดว่าออกหน้าแทนอันหลิงเกออยู่ “เรื่องนี้ยังมิทราบผล พวกเจ้าก็แสดงท่าทางว่าฟ้าถล่มลงมาแล้ว ข้าคิดอยู่แล้วว่ามิสามารถยกเจ้าออกหน้าออกตาได้ เกิดเรื่องเพียงเล็กน้อย เจ้าก็ตื่นตกใจถึงเพียงนี้”
คำว่ามิสามารถยกออกหน้าได้ ช่างกระทบหลี่ซื่อและอันหลิงอีรุนแรงยิ่งนัก อันหลิงอีขยับปากอยากโต้เถียง แต่หลี่ซื่อดึงมือนางเอาไว้ ออกแรงเล็กน้อย ทำให้อันหลิงอีต้องยอมกลืนคำที่จักกล่าวลงท้องไป
“ท่านแม่สั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ เพราะข้าเป็นห่วงท่านโหวมากจนเสียกิริยาไปหน่อย” หลี่ซื่อยิ้มอ่อนโยน ทำท่าทางเคารพให้เกียรติ มิเห็นความเย่อหยิ่งเหมือนก่อนหน้านี้
หากมิเห็นอารมณ์ที่ยังซุกซ่อนอยู่ในแววตาของหลี่ซื่อ อันหลิงเกอคงคิดว่านางได้เปลี่ยนไปแล้ว รู้จักกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
เพราะหลี่ซื่อยอมคล้อยตามอย่างว่าง่าย ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าจึงอ่อนลง “เอาล่ะ ทำงานในมือตนให้ดีก่อน อย่ามัวแต่นึกถึงสิ่งไร้ประโยชน์ ตอนท่านโหวกลับมาจักได้มิวุ่นวาย”
หลี่ซื่อและอันหลิงอีได้แต่พยักหน้ารับและเดินจากไปอย่างมิเต็มใจนัก
ทีนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง “เกอเอ๋อ โรคระบาดที่พวกนางกล่าวถึงเป็นมาเยี่ยงไรกันแน่ ? ”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม อันหลิงเกอก็เล่าเรื่องให้ฟัง ตั้งแต่พบสาวใช้ที่ตายกะทันหันและจัดการเผาเยี่ยงไร เรียกหมอในจวนมายืนยันเยี่ยงไร เล่าจบจึงยกชาขึ้นจิบทีหนึ่ง “หลานคิดว่าโรคระบาดแพร่กระจายได้เร็วจึงแนะนำให้ท่านพ่อนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ฮ่องเต้ทรงทราบ หวังให้ราษฎรได้เตรียมตัวป้องกันไว้จักได้มิเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นตอนอดีตฮ่องเต้เจ้าค่ะ”
“เจ้าทำได้ดีแล้ว หากมีโรคระบาดเกิดขึ้นจริงก็ควรจัดการเช่นนี้” แววตาฮูหยินผู้เฒ่ามีความชื่นชม แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นกังวล “เพียงแต่โหวอันได้รายงานฮ่องเต้แล้ว ทว่าโรคระบาดยังมิเกิดขึ้นเสียที เกรงว่าฮ่องเต้จักคิดว่าเขาพูดหลอกลวงแล้วเกิดพิโรธขึ้นมา”
นางก็มิอยากให้โรคระบาดเกิดขึ้น มิอยากให้เมืองจิงตกอยู่ในสภาพลำเค็ญที่สุด แต่หากคำกล่าวของอันอิงเฉิงมิเป็นจริง ในครั้งนี้เขาคงถอนตัวได้ยาก
“ดูจากใบหน้าของกงกงผู้นั้นแล้ว ฮ่องเต้คงมิพอใจท่านพ่อมาก การเรียกเข้าวังครั้งนี้คงมิพ้นเรียกไปเพื่อกล่าวโทษเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอมีแววตาล้ำลึก ใบหน้าดูจริงจัง “หากหลานเข้าวังได้ก็สามารถอธิบายต่อฮ่องเต้ได้ ตอนนี้ทำได้แค่รอข่าวในจวนและภาวนาให้ท่านพ่อปลอดภัยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่านับลูกประคำในมือแล้วสวดให้เจ้าแม่กวนอิมคุ้มครอง ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ตะโกนมาจากนอกประตู “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ! “
แววตาของอันหลิงเกอมีความยินดีปรากฏขึ้น นางรีบช่วยเว่ยซื่อประคองฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเดินออกไป
อันอิงเฉิงเพิ่งกลับถึงจวน ใบหน้าดูเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด มิเหลือความสง่างามในยามปกติ ตอนนี้เหมือนคนแก่มากขึ้นไปอีกสิบปี
อันหลิงเกอรู้สึกแย่ แต่เมื่ออันอิงเฉิงโบกมือไล่สาวใช้ให้ถอยออกไป หลี่ซื่อก็รีบเดินเข้ามา “ท่านพี่เจ้าคะ ฮ่องเต้เรียกท่านเข้าวังครั้งนี้ได้สร้างความลำบากใจแก่ท่านหรือไม่เจ้าคะ ? “
นางยิ้มอย่างเอาใจ ท่าทางเต็มไปด้วยความสนิทชิดเชื้อ
อันอิงเฉิงถอนหายใจยาวแล้วตอบอย่างมิปิดบัง “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ลดตำแหน่งของข้า โดยตรัสว่าหากโรคระบาดมิเกิดขึ้นภายในครึ่งเดือน พระองค์จักนำข้าไปขังที่คุกหลวงโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูง”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ? ” อันหลิงอีอุทานอย่างตกใจ “เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของพี่หญิงใหญ่ หากมิใช่เพราะนาง ท่านพ่อจักได้รับความลำบากเช่นนี้หรือ ! “
อันหลิงอีช่างกล้านัก ทำเหมือนหวังดีต่ออันอิงเฉิงโดยมิเกี่ยวกับอคติส่วนตัว “ท่านพ่อควรทูลความจริงให้ฮ่องเต้ทรงทราบ เหตุใดต้องแบกรับโทษนี้ด้วยตนเองเจ้าคะ ? ”
อันอิงเฉิงจ้องนาง ใบหน้ามิได้เข้มงวด “ก่อนหน้านี้เจ้าสองพี่น้องมีเรื่องบาดหมางอันใดกัน พ่อล้วนมิสนใจ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนทั้งจวน เจ้าเป็นตระกูลอัน จวนโหวจักรุ่งโรจน์หรือย่อยยับล้วนต้องแบกรับด้วยกัน หากเกิดอันใดขึ้นกับเกอเอ๋อ เจ้ายังสามารถเอาตัวรอดโดยมิสนใจได้หรือ ? “
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “โหวอันกล่าวได้ถูกต้อง ตอนนี้ควรเป็นเวลาเผชิญปัญหาด้วยกัน พวกเจ้าอย่าได้คิดเล็กคิดน้อย”
อันหลิงอีมุ่ยปาก จ้องอันหลิงเกอด้วยความดุร้ายทีหนึ่ง
ตอนนี้อันหลิงเกอมิมีอารมณ์สนใจอันหลิงอีแล้ว นางกำลังย้อนนึกเรื่องในชาติก่อน ที่แท้โรคระบาดในชาติก่อนเริ่มขึ้นตอนไหนกันแน่
แต่เรื่องในชาติก่อนเลือนรางนัก แม้ความจำนางดีแค่ไหนก็มิอาจจำวันเวลาที่แน่นอนได้ เพียงจำได้ว่าช่วงที่โรคระบาดเกิดขึ้นเป็นฤดูร้อน เพราะตอนนั้นในห้องของอันหลิงอีวางก้อนน้ำแข็งไว้ แม้เป็นฤดูร้อนแต่ห้องของนางยังเย็นสบาย เรื่องนี้ทำให้อันหลิงเกอต้องอิจฉาอยู่พักหนึ่ง
คำนวณเวลาแล้ว ระยะเวลาที่จักเกิดโรคระบาดคืออย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกยี่สิบถึงสามสิบวัน แล้วเหตุใดหลันซินจึงติดโรคระบาดได้ ?
อันหลิงเกอคิดเยี่ยงไรก็มิเข้าใจ หรือเพราะนางกลับชาติมาเกิดใหม่จึงทำให้โรคระบาดเกิดเร็วไปด้วย ?
หากเป็นเช่นนั้น มิแน่ว่าจวนโหวอาจปลอดภัยก็ได้
นางคิดคำนวณในใจ หลังกลับไปที่เรือนก็รีบเขียนจดหมายให้ฉู่หยูเพื่อให้นำยาสมุนไพรที่กักตุนไว้แยกประเภทเป็นกอง ทั้งยังสอนวิธีต้มยาให้ฉู่หยูและปี้จูอย่างละเอียด เผื่อว่าเกิดโรคระบาดจักได้รับมือทัน
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปแล้วกว่าครึ่งเดือน เมืองจิงก็ยังมิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ขันทีที่มาส่งราชโองการยืนตรงหน้าประตูจวนโหว เชิดคางมองคนบนพื้น “ด้วยราชโองการแห่งโอรสสวรรค์…. ท่านโหวอันสร้างข่าวเท็จหลอกลวงฝ่าบาท พระองค์ทรงมีบัญชาให้นำตัวท่านโหวอันไปจองจำยังคุกหลวง”