ตอนที่ 235 เป็นข้าราชการ
อันหลิงเกอถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ หากฮ่องเต้พระราชทานหญิงสาวให้มู่จวินฮานจริง นางก็มิรู้ว่าต้องทำเยี่ยงไร
หลี่กุ้ยเฟยหันมาแล้วยิ้ม “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์พระราชทานรางวัลให้ท่านโหวและมู่ซื่อจื่อแล้ว คุณหนูใหญ่จักให้อันใดเพคะ ? ”
“สนมรักมีคำแนะนำใดหรือไม่ ? ”
ฮ่องเต้มองทะลุความคิดของหลี่กุ้ยเฟย ซ้ำยังอยากรู้ว่านางต้องการแนะนำสิ่งใด
อันหลิงเกอมองรอยยิ้มอันงดงามของหลี่กุ้ยเฟยก็รู้สึกได้ถึงลางมิดี
ทันใดนั้นเสียงของหลี่กุ้ยเฟยก็ดังขึ้น “หม่อมฉันคิดแล้วว่าเรื่องมู่ซื่อจื่อถอนหมั้นคุณหนูใหญ่อันมีผลกระทบต่อนางมาก มู่ซื่อจื่อเป็นบุรุษอาจมิต้องการสาวงามที่ฝ่าบาททรงประทานให้ แต่คุณหนูใหญ่อันนั้นแตกต่าง นางถูกยกเลิกการหมั้นหมาย หากต้องการแต่งเข้าจวนดี ๆ ก็เป็นเรื่องยากแล้ว เยี่ยงไรฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้นางดีหรือไม่เพคะ ? ”
มิรอให้ฮ่องเต้ได้คิด นางก็รีบกล่าวขึ้นอีก “พูดกันตามจริงแล้ว คำเมื่อครู่ของจวิ้นจู่ได้ทำให้หม่อมฉันคิดได้ หม่อมฉันรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่อันมีเมตตาใจกว้างจึงคู่ควรกับหลานหยู่เป็นอย่างมากเพคะ”
หลี่กุ้ยเฟยเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นางยังพูดขัดอันหลิงเกอทั้งยังจับผิดอีก มาตอนนี้กลับบอกว่าอันหลิงเกอเป็นสตรีที่ดีเสียแล้ว
สำหรับสาเหตุนั้นอันหลิงเกอเข้าใจได้มิยาก
เมื่อครู่ฮ่องเต้เพิ่งมอบเซินจีหยิงให้อันอิงเฉิงดูแล หากจ้าวหลานหยู่แต่งงานกับอันหลิงเกอ กอปรกับมีหลี่ซื่อและอันหลิงอีอยู่ด้วย จวนโหวย่อมต้องผูกมัดอยู่กับจ้าวหลานหยู่อย่างแน่นอน
สำหรับองค์ชายที่ต้องการชิงตำแหน่งรัชทายาท หากต้องการสร้างความสัมพันธ์กับขุนนางที่มีกองกำลังทหารอยู่ในมือ วิธีดีที่สุดก็คือการสมรส
อันหลิงเกอหัวเราะเยาะในใจ หลี่กุ้ยเฟยเปลี่ยนท่าทีรวดเร็วนัก ช่างมิรู้สึกละอายใจเสียเลย
จ้าวหลานหยู่รีบสนับสนุนทันที “ทูลฟู่หวง ลูกก็รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่อันเป็นสตรีมีคุณธรรม มิทราบว่าทรงพระราชทานสมรสให้ลูกได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
สองแม่ลูกดูเหมือนจดจำความเกลียดที่มีต่ออันหลิงเกอมิได้แล้ว เมื่อวานนี้จ้าวหลานหยู่ยังโวยวายว่าจักสังหารอันหลิงเกอ ยามนี้กลับเปลี่ยนท่าทีเสียแล้ว ช่างน่าขันยิ่งนัก
ดวงเนตรฮ่องเต้ดูลึกล้ำ ทอดพระเนตรจ้าวหลานหยู่แล้วตรัสด้วยสุรเสียงมิเปลี่ยน “ลูกเจ็ด เจ้าต้องการเช่นนี้จริงหรือ ? ข้าจำได้ว่าเจ้ามิค่อยชอบคุณหนูใหญ่อันสักเท่าไร”
พระองค์เห็นสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างจ้าวหลานหยู่และอันหลิงเกอหมดแล้ว พระองค์ก็ทราบดีว่าเจ้าหลานหยู่ต้องการกระทำอันใด
ทว่าจ้าวหลานหยู่ก็หน้าหนาพอกันกับหลี่กุ้ยเฟย เมื่อเผชิญคำซักถามของฮ่องเต้ เขาก็กล่าวโกหกออกมาได้อย่างมิอายปาก “ทูลฟู่หวง เรื่องเมื่อวานนี้เป็นความประมาทของลูกเอง ลูกเชื่อคำพูดเหลวไหลของผู้อื่น คิดว่าการทำเช่นนั้นจักดึงความสนใจจากคุณหนูใหญ่ได้ ดังนั้นจึง…”
เขาก้มศีรษะลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้ามองไปทางอันหลิงเกอ “ตอนนี้ลูกรู้ผิดแล้ว ขอเพียงฟู่หวงให้นางแต่งกับลูก ลูกก็จักดูแลนางเป็นอย่างดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟัง มู่จวินฮานก็ค่อย ๆ หุบยิ้ม ดวงตาเรียวยาวดูมืดมนเรื่อย ๆ
มุมปากของเขายกขึ้นและยิ้มประชดประชันออกมา “คำขององค์ชายเจ็ดช่างน่าขันยิ่งนัก ตอนนั้นท่านโหวยังมิมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ มิเห็นพระองค์เรียกร้องที่จักสมรสกับคุณหนูใหญ่อันเลย ยามนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วกลับบอกว่ามีความรักลึกซึ้งต่อนางเสียได้ หากเปิ่นซื่อจื่อจำมิผิดคือองค์ชายเจ็ดยังเคยกล่าวว่านางทรยศแผ่นดิน หรือนี่คือการทำดีต่อนางที่พระองค์หมายถึง ? ”
คำกล่าวนี้ของเขาทำเอาหลี่กุ้ยเฟยและจ้าวหลานหยู่ตกตะลึง สีหน้าจ้าวหลานหยู่เปลี่ยนในทันที ตนอยากแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทก็จริง แต่มิเคยแสดงออกและมิเคยกล่าวเรื่องนี้กับผู้ใดมาก่อน มู่จวินฮานกลับยกประเด็นนี้ออกมาทำให้ตนมิรู้ควรวางตัวเยี่ยงไร
“ทูลฟู่หวง ลูกชอบคุณหนูใหญ่อันอย่างจริงใจ มิได้มีความคิดอย่างอื่นต่อนางพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเขาด้วยสีพระพักตร์มิเปลี่ยน จากนั้นหันไปทอดพระเนตรอันหลิงเกอ “พอแล้ว ข้าจักมอบรางวัลให้คุณหนูใหญ่ พวกเจ้าจักเอะอะวุ่นวายอันใดกัน”
เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้าวหลานหยู่ก็หุบปากและมิกล้ากล่าวต่อ
หากฮ่องเต้ตกลงให้อันหลิงเกอแต่งงานกับเขา มิเพียงเขาจักสามารถดึงอันอิงเฉิงมาเป็นพวก เขายังได้ความบริสุทธิ์ของอันหลิงเกอมาอย่างสง่าผ่าเผย พอเล่นจนเบื่อหน่ายแล้วก็แค่จัดการให้นางตายอย่างกะทันหัน ทว่าโดนมู่จวินฮานทำพังเสียก่อน !
หลี่กุ้ยเฟยกำผ้าเช็ดหน้าไว้ในมืออย่างโกรธเกรี้ยว ภายนอกยังเผยรอยยิ้มดูดี แต่รอยยิ้มนั้นดูเยี่ยงไรก็มิเป็นธรรมชาติ
“คุณหนูใหญ่อัน เจ้ามีสิ่งใดอยากได้หรือไม่ ? ขอเพียงมิเรียกร้องเกินเหตุ ข้าย่อมอนุญาต”
ฮ่องเต้เอ่ยปากเอง ทั้งยังให้คำสัญญาอย่างใจกว้าง
ดวงตาดำขลับของอันหลิงเกอมองฮ่องเต้ ใบหน้าดูมีความสุข “ทูลฝ่าบาท ขอเพียงมิเรียกร้องเกินไป ฝ่าบาทจักทรงรับปากถูกหรือไม่เพคะ ? ”
“ข้าพูดแล้วย่อมมิคืนคำแน่นอน”
แค่เรื่องการแต่งงานของอันหลิงเกอและมู่จวินฮาน จำนวนการกลับคำของฮ่องเต้ก็มากกว่า 2 ครั้งแล้ว
อันหลิงเกอแอบบ่นอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงเคารพ
หลังจากนั้นนางจึงเอ่ยขึ้น เสียงดังกังวานราวกับไข่มุกที่ตกกระทบในถาดหยก “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันอยากเข้าสำนักหมอหลวง มิทราบว่าฝ่าบาทจักทรงอนุญาตหรือไม่เพคะ? ”
เข้าสำนักหมอหลวงน่ะหรือ ?
ฮ่องเต้เลิกพระขนง ทำงานที่สำนักหมอหลวงมิใช่งานที่เบาเลย ตำแหน่งอันหลิงเกอเองก็ค่อนข้างสูง เพียงอยู่ต่ำกว่าฮองเฮาและคนอื่นไปเล็กน้อย นางจึงมิจำเป็นต้องเข้าสำนักหมอหลวงอีก
“เหตุใดเจ้าจึงมีความคิดเช่นนี้ ? ” ฮ่องเต้รู้สึกสงสัยจนต้องถามออกมา
ตอนที่ฮ่องเต้บอกว่าจักจัดงานเลี้ยงนางก็ได้คิดรางวัลไว้แล้ว “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันชอบเรียนวิชาแพทย์ อยากศึกษาเรียนรู้ประสบการณ์จากสำนักหมอหลวงและอยากปรับปรุงสิ่งที่ดีอยู่แล้วในตอนนี้ให้ดียิ่งขึ้นเพคะ”
นางอยากเข้าสำนักหมอหลวง ที่จริงย่อมมิใช่ด้วยเหตุผลนี้อยู่แล้ว
ในตอนที่ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็โดนหมอหลวงวินิจฉัยโรคไปหลายครั้ง อันหลิงเกออยากเข้าสำนักหมอหลวงก็เพื่อตรวจค้นประวัติผู้ป่วย นางหวังว่าจักตามหาร่องรอยบางอย่างจากในนั้นได้เพื่อตามสืบหาความจริงเรื่องการตายของมารดา
แต่ฮ่องเต้เชื่อสนิท ทว่าพระองค์ยังขมวดพระขนงอยู่ “สำนักหมอหลวงมีแต่บุรุษ เจ้าอยากเข้าสำนักหมอหลวงเกรงว่ามิค่อยเหมาะสมสักเท่าไร”
“ในอดีตก็เคยมีสตรีเป็นข้าราชการ มิยกเว้นแม้แต่หมอที่เป็นสตรี หม่อมฉันเพียงอยากไปเรียนรู้หาประสบการณ์ที่สำนักหมอหลวงเท่านั้น ฝ่าบาททรงโปรดช่วยให้หม่อมฉันให้สมปรารถนาด้วยเถิดเพคะ”
คำกล่าวอันหลิงเกอช่างจริงใจยิ่งนักจนฮ่องเต้ปฏิเสธมิได้
เดิมทีอันหลิงเกอก็มีผลงาน ตำแหน่งนางสูงส่งและการประทานรางวัลทั่วไปมิมีประโยชน์ต่อนาง มิง่ายกว่าจักเอ่ยคำขอออกมา อีกอย่างนางก็มิได้เรียกร้องมากเกินไป
ฮ่องเต้เงียบไปพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงพยักหน้ารับ “ได้ ข้าจักแต่งตั้งเจ้าเป็นหมอหญิงในสำนักหมอหลวง สามารถเข้าออกวังได้ทุกเมื่อ”
เข้าออกวังได้ทุกเมื่อก็แสดงว่าอันหลิงเกอมิจำเป็นต้องพักอยู่ในวัง มิเหมือนหมอหลวงทั่วไปที่มักโดนฮ่องเต้สั่งไปรักษาผู้คน
ตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ยังมิเคยมีผู้ใดได้รับเกียรติเช่นนี้มาก่อน !
อันหลิงอีรู้สึกอิจฉาริษยาจนทำหน้าตาดูมิได้ ดวงตามีความโหดเหี้ยมฉายออกมา