ตอนที่ 66 พระราชโองการของฮ่องเต้
ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ
ฟู่เสี่ยวกวนนำเรื่องหยูเวิ่นหวินลบออกไปจากความคิดชั่วครู่ จากนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแก่ต่งชูหลาน ตั้งใจจะส่งจดหมายพร้อมกับหนังสือความฝันในหอแดงและสุราเทียนฉุนให้นางในเช้าวันรุ่งขึ้น
หนังสือความฝันในหอแดงเขียนถึงบทที่ 62 แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจจะเขียนให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ เนื้อหาเปลี่ยนไปจากต้นฉบับเดิมค่อนข้างมากเสียทีเดียว เนื่องจากว่าเขาไม่อาจจะจำเนื้อหาเดิมได้ แต่สิ่งนี้มิได้ส่งผลต่อความนิยมแม้แต่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนปรับปรุงเนื้อหาให้เข้ากับยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสตรีทั้งหลาย
ค่ำคืนผ่านไปด้วยความเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่ความฝันจนกระทั่งเสียงไก่โห่ แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามายังใบหน้าของเขา
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังรับประทานอาหารเช้า ฟู่ต้ากวนเดินตรงเข้ามาหาเขา
“เห้อ ! จางจือเซ่อช่างน่าสงสารเสียจริง” ฟู่ต้ากวนนั่งลงแล้วถอนหายใจออกมา
“จางจือเซ่อ หัวหน้าตระกูลจาง ? เหตุใดท่านพ่อจึงเอ่ยว่าเขาน่าสงสารกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นถาม
“เรื่องนี้พ่อเองก็เพิ่งได้ยินมาเมื่อคืน จางเพ่ยเอ๋อ บุตรสาวคนเล็กของเขาหายตัวไป”
เมื่อได้ยินดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ตกตะลึง “หายตัวไปอย่างนั้นรึ ? ”
“ถูกต้องแล้ว ได้ยินมาว่าหายตัวไปในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ บัดนี้นับได้ 7 วันแล้ว ตระกูลจางออกตามหาตัวบุตรสาวไม่หยุดหย่อน กระทั่งเมื่อคืนมีผู้พบรองเท้าที่นางใส่ก่อนหายตัวไปข้างหนึ่งอยู่ที่แม่น้ำ คาดว่าคงกระโดดน้ำเสียแล้ว น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ ! ” ฟู่ต้ากวนส่ายหัวแล้วรู้สึกสงสารจางเพ่ยเอ๋อ “อายุยังเยาว์เช่นนี้กลับตัดสินใจจบชีวิตเสียแล้ว คาดว่าคงเป็นเรื่องความรักแน่นอน ไม่รู้ว่าคุณชายบ้านใดกันที่ทำให้นางต้องมาเป็นเยี่ยงนี้ นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดหลักแหลมมากความสามารถ แต่กลับคิดไม่ตกเยี่ยงนี้ น่าเสียดายแท้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนถือไข่ไก่อยู่ในมือ เขาวางกลับคืนที่เดิมเนื่องจากเขารู้สึกว่ากินไม่ลงแล้ว ภายในใจรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
เขาคาดไม่ถึงเลยว่าจางเพ่ยเอ๋อจะคิดสั้นเช่นนี้ หากจะสืบหาสาเหตุที่แท้จริงนั้นคาดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของเขาแน่นอน อาจเอ่ยได้ว่าเขาเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ว่าได้
หากการพบกันครั้งที่แล้ว ณ สำนักศึกษาหลินเจียง เขาเอ่ยอย่างอ้อมค้อมเสียหน่อย คงมิเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นใช่หรือไม่ ?
หากกล่าวกับนางว่าให้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้แล้วค่อยพัฒนาความสัมพันธ์ คาดว่านางคงไม่เจ็บปวดเช่นนี้
คำพูดของเขาเพียงคำเดียวทำให้นางทนไม่ได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับกระโดดน้ำตาย เรื่องนี้ในใจเขารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“น่าเสียดายจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนวางตะเกียบลง ซูม่อมองดูเขาแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อไป
“ลูกพ่อ เจ้ามีนางในดวงใจแล้วใช่หรือไม่ ? ได้ยินมาว่าที่งานเทศกาลไหว้พระจันทร์มีสตรีมากมายชื่นชอบเจ้า เห็นได้ชัดว่าลูกพ่อนั้นมีเสน่ห์ยิ่งนัก เจ้าควรหาคู่ครองสักคนได้แล้วนะ”
ฟู่ต้ากวนค่อนข้างร้อนใจ บุตรชายของเขาอายุได้ 16 ปีแล้ว เป็นวัยที่เหมาะสมสำหรับมีคู่ครอง หากเขาแต่งงานกับสตรีอันเป็นที่รักและมีบุตรชายหญิงเต็มบ้าน ฟู่ต้ากวนจึงจะไม่รู้สึกผิดต่อหยุนชิงและบรรพบุรุษตระกูลฟู่
“ท่านพ่อ เรื่องเช่นนี้รีบร้อนใจไปมิได้”
ฟู่ต้ากวนถอนหายใจยาวออกมา บุตรชายเขายังไม่รีบ กลับเป็นตัวเขาที่รีบเสียอย่างนั้น ช่างเถิด ให้บุตรชายของเขาเป็นผู้จัดการเอง ในเมื่อนั่นก็เป็นชีวิตของเขา ให้เขาตัดสินใจเองย่อมดีที่สุด
“ในปีนี้ที่เจียงหนานและเจียงเป่ยมีผลผลิตที่ดี แต่ได้ยินมาว่าหวงเหอและหนานเป่ยถูกภัยธรรมชาติรุกราน ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาเดือนกว่าทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ หนิงโจวหยินโจวและเมืองรอบ ๆ มีผู้เสียชีวิตกว่าแสนคน พื้นที่ไร่นาถูกทำลายนับไม่ถ้วน เห้อ……ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าใดที่สูญเสียกับเหตุการณ์ในครั้งนี้”
“ทางราชสำนักจะช่วยพวกเขาบรรเทาทุกข์หรือไม่ ? ”
“แน่นอนว่าคงมีแน่ แต่สิ่งของที่ส่งไปช่วยเหลือนั้นคงไปถึงมือผู้เดือดร้อนไม่มากนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว เขาเข้าใจในความหมายนั้นดี ไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่เว้นแม้แต่ราชวงศ์หยู
เรื่องใหญ่โตเพียงนี้มิใช่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะจัดการได้ เขาจึงไม่นำเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่กลับพูดกับฟู่ต้ากวนต่อว่า ” ท่านพ่อ ในวันนี้จงอย่าได้เดินทางไปไหนเลย เนื่องจากจะมีพระราชโองการของฮ่องเต้มายังจวน ข้าเองไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ เชิญท่านพ่อช่วยจัดการให้ดีเสียหน่อย”
ฟู่ต้ากวนเบิกตากว้าง พระราชโองการของฮ่องเต้งั้นหรือ ? แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลฟู่ก็มิเคยเห็นสิ่งนี้เช่นกัน !
นี่เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจยิ่งนัก !
“จริงหรือ ?”
“ข้าคาดว่าเป็นเช่นนั้น”
ฟู่ต้ากวนลุกขึ้นยืน เขาตื่นเต้นยิ่งนัก พระราชโองการนี้แน่นอนว่าคงมอบให้แก่บุตรชายของเขา หรือองค์ฮ่องเต้จะเห็นคุณงามความดีและต้องการมอบตำแหน่งให้แก่บุตรชายเขา ?
ต้องเป็นเช่นนี้ไม่ผิดแน่ !
“ข้าจะไปเตรียมตัวเสียหน่อย เจ้าเองก็เช่นกัน ควรจะไปเตรียมตัวได้แล้ว”
ฟู่ต้ากวนจากไปอย่างรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนเบ้ปาก หากพระราชโองการนี้เป็นคำสั่งให้เขารับตำแหน่งพระราชบุตรเขย คาดว่าท่านพ่อคงจะดีใจยิ่ง หากแต่ตัวเขามิได้เป็นเช่นนั้นเลย เขามิได้ไม่ชอบพอหยูเวิ่นหวิน อีกทั้งตัวเขายังมิชอบการคลุมถุงชนเยี่ยงนี้อีกด้วย
การพูดคุยหยอกล้อกันนั้นเขามิได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย หากแต่บังคับให้ร่วมเตียงด้วยกันนั้น เกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาในภายหลังได้
การมีภรรยาหลายคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาแต่สมัยโบราณ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิใช่เทวดามาจากไหน เพียงแต่เขายึดมั่นในอุดมการณ์แห่งความรัก ดังนั้นเมื่อหยูเวิ่นหวินมาถึง เขาตั้งใจจะเอ่ยเรื่องนี้กับนางอย่างจริงจังเสีย เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
ส่วนเรื่องของจางเพ่ยเอ๋อนั้น หากนางโตกว่านี้สัก 2 ปี เขาคงใช้วิธีจัดการที่ต่างกันออกไป
……
……
ฟู่ต้ากวนนั่งไม่ติด แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับนิ่งสงบ เขานั่งสมาธิเพื่อฝึกคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง
เขายังไม่รู้สึกถึงจุดตันเถียน หลังจากเขานั่งสมาธิเรียบร้อยแล้วร่างกายมักแผ่ความร้อนออกมา ซูม่อเอ่ยว่าสิ่งนี้คือผลจากการฝึกฝน แม้ยังสัมผัสไม่ได้ถึงลมปราณ แต่ก็มีพลังจากภายในเข้าไปหมุนเวียนอยู่ในร่างกายทำให้เกิดความร้อน แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยนิดทำให้ไม่สามารถเกิดเป็นลมหมุน ณ จุดตันเถียนได้ ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ฟู่เสี่ยวกวนน่าจะฝึกสำเร็จภายในเวลา 3 ปี จึงจะสามารถใช้กำลังภายในได้ หรือกล่าวได้ว่าอีก 3 ปีเขาก็จะสามารถใช้วิชาตัวเบาได้นั่นเอง
เรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งดี เขาใช้เวลาเพียง 3 ปีเท่านั้นก็สามารถฝึกได้
ทันใดนั้น ชุนซิ่ววิ่งเข้ามาเหงื่อไหลท่วมตัวแล้วเอ่ยว่า
“คุณชายเจ้าคะ พระราชโองการมาถึงแล้ว นายท่านเชิญให้คุณชายไปที่หน้าจวนเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนพาฟู่เสี่ยวกวนและฉีชื่อเดินไปยังหน้าประตูใหญ่ สายตามองดูขบวนทหารที่กำลังเดินตรงเข้ามา
ภายในขบวนนำหน้าด้วยกงกงคนหนึ่ง จากนั้นก็เป็นองค์รักษ์ ต่อจากนั้นเป็นเกี้ยวใหญ่ ด้านหลังมีบ่าวรับใช้ติดตามมามากมาย
ประตูจวนในตรอกซีชุ่ยถูกเปิดออก ผู้คนมากมายยื่นหน้าออกมามองดู พวกเขาล้วนประหลาดใจว่าพระราชโองการนี้จะไปหยุดที่จวนใด และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
กระทั่งขบวนหยุดลงที่หน้าจวนฟู่ ฟู่ต้ากวนและอีก 2 คนคุกเข่าลงที่หน้าประตูจวน พวกเขาทั้งหลายจึงได้รู้ว่าพระราชโองการนี้นำมาให้ตระกูลฟู่
พ่อค้าที่ดินคนนี้เก่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
จากนั้นฟู่ต้ากวนได้เชิญขบวนเข้าไปยังด้านในจวน ชาวบ้านต่างพากันเข้ามามุงดู เนื่องจากเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้หาดูได้ง่ายในหลินเจียง
กงกงผู้รับหน้าที่ส่งต่อพระราชโองการมองมายังฟู่ต้ากวน จากนั้นก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฟู่ต้ากวนจึงรู้สึกว่าสบายใจขึ้นเล็กน้อย
เกี้ยวใหญ่นั้นยังคงจอดอยู่ที่หน้าจวน ผู้ที่อยู่ภายในยังมิได้ก้าวลงมาและมิมีผู้ใดรู้ว่าข้างในนั้นเป็นใคร
จางกงกงยืนอยู่ด้านหน้า นำมือหยิบพระราชโองการ เปิดออกและกล่าวว่า “ฟู่ต้ากวนแห่งหลินเจียง จงรับพระราชโองการ ! ”
ฟู่ต้ากวนสะกิดฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันเบาว่า “จงรีบไปรับพระราชโองการ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกงุนงงนัก กงกงท่านนั้นเอ่ยชื่อฟู่ต้ากวนมิใช่หรือ
“ของท่าน”
“ของข้า ? ”
“ท่านมิได้ยินงั้นหรือ ? ”