ตอนที่ 109 เด็ดดอกเบญจมาศทางรั้วบูรพา
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ เพื่อสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวงนั้น ก็มีเสนาบดีจำนวนไม่น้อยที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นการผิดกฎกติกา !
ในงานชิวเหวยมีผู้คนเดินทางมาเข้าร่วมการคัดเลือก สุดท้ายมีเพียง 300 คนเท่านั้นที่ผ่านการคัดเลือก และมีผู้คนจำนวนมากถูกตัดสิทธิ์ อีกทั้งการสอบคัดเลือกในพระราชวังนี้ จะเลือกจิ้นซื่อสามอันดับแรกจากสิบคน แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เข้าร่วมชิวเหวย ดังนั้นเขามิควรมีสิทธิ์สอบคัดเลือกในพระราชวังหลวง มิเช่นนั้นจิ้นซื่ออีก 10 คนจะหาความยุติธรรมจากที่ใด
หากบรรดาผู้ไม่ได้รับคัดเลือกประท้วงขึ้นมาคาดว่าคงไม่ดีแน่ นักกวีทั้งหลายเมื่อเอ่ยปากออกมาล้วนน่าเกรงขาม เมื่อคิดได้ดังนี้ หลายคนก็มองมายังฟู่เสี่ยวกวน
เพียงเขาผู้นี้ก็สามารถทำให้เสนาบดีกรมพิธีการกระอักเลือดเสียจนเป็นลมล้มพับไปได้ หากนักกวีผู้เข้าสอบกว่าพันคนนั้นทำการประท้วงขึ้นมา สถานการณ์จะเป็นเยี่ยงไร ?
แน่นอนว่าขณะเดียวกันเสนาบดีหลาย ๆ ท่านมิได้เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องที่ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้
เยี่ยนเป่ยซีที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดนั้นมองดูเหตุการณ์แต่ต้นจนจบด้วยความสงบ กระทั่งชือเฉาหยวนกระอักเลือดเป็นลมไป เขาจึงได้ขมวดคิ้วขึ้น
บุตรชายของเขา เยี่ยนซือเต้า มองดูฟู่เสี่ยวกวนอยู่หลายครา เนื่องจากได้ยินมาว่าต่งชูหลานชอบพอเขาผู้นี้ เดิมทีเขาได้กล่าวกับเสนาบดีต่งว่าจะไปสู่ขอ แต่สองวันมานี้เสนาบดีต่งมีสีหน้าไม่ดีนัก ในวันนี้เขาจึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นความต้องการขององค์หญิงเก้า เรื่องการสู่ขอจึงได้ยุติลงชั่วคราวเสียก่อน
เขารู้จักกับองค์หญิงเก้าได้อย่างไร ?
ส่วนด้านเสนาบดีต่ง เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในพระราชวัง ตาเขาก็กระตุกตลอดเวลา จากนั้นที่เขาได้ดูเรื่องราวจากต้นจนจบ ในใจก็นึกคิดว่าเขาผู้นี้ช่างหยาบคายเสียจริง นี่คือตระกูลชือ หนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงเชียว !
ชือเฉาหยวนเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ อีกทั้งเป็นผู้นำตระกูลชือคนปัจจุบัน ซึ่งมีครบทั้งอำนาจชื่อเสียงและเงินทอง ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงลูกของเศรษฐีที่ดินธรรมดา ๆ กลับกล้ากระทำเช่นนี้ ! ช่างไม่รู้จักสัมมาคารวะเอาเสียเลย !
เปรียบเสมือนหินกะเทาะไข่ เห้อ…นอกเสียจากฝ่าบาทจะทรงปกป้องเขา แต่ฝ่าบาททรงเรียกตัวเขาเข้าสอบคัดเลือกด้วยพระองค์เอง บางทีฝ่าบาทอาจจะปกป้องเขาอยู่ก็เป็นได้
เรื่องของต่งชูหลานและเขาผู้นี้ คงจะต้องรอดูอีกสักพัก
สรุปโดยรวมคือทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนจับตามองดูฟู่เสี่ยวกวน อีกประเดี๋ยวคงได้เห็นว่าคำตอบของเขาเป็นเช่นไร
จิ้นซื่อทั้งสิบคนได้จับพู่กันและเริ่มเขียนคำตอบแล้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนเล่า ? พวกเขาไม่ชอบใจจริง ๆ บัดนี้เขายังคงนั่งฝนหมึก !
แต่ฟ้าดินเป็นพยานได้ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้จงใจให้เป็นเยี่ยงนี้
แต่เขามิเคยฝนหมึกด้วยตนเองมาก่อน !
ทุกครั้งชุนซิ่วจะจัดเตรียมไว้ให้เขา แม้แต่ครั้งที่เขียนกลอนตุ้ยเหลียน ณ หอวั่งเจียงโหลว เขาก็ได้ให้องค์หญิงเก้าฝนหมึกให้
เอาล่ะ ไม่เป็นไร บททดสอบนี้ไม่ยากเท่าใดนัก
ฝ่าบาทเองก็มองดูฟู่เสี่ยวกวน เขาเป็นอะไรไป ? เขียนไม่ออกงั้นหรือ ? หากเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่เรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาแล้ว
เมื่อคิดไปคิดมา ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงบุตรชายของเศรษฐีที่ดิน ให้เขียนเกี่ยวกับกวีพรรณนาต่าง ๆ มิใช่เรื่องยาก หากแต่เรื่องสงครามนี้ เกรงว่าเขาเองมีความรู้อยู่ไม่มากเท่าไร
ผู้คนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับฝ่าบาทมีไม่น้อย พื้นภูมิของฟู่เสี่ยวกวนทุกคนล้วนรู้ดี แม้ว่าเขาจะอาศัยในเมืองหลินเจียง แต่ชื่อเสียงโด่งดังมายังเมืองหลวง พวกเขาจึงได้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวน
เป็นเพียงแค่ซิ่วไฉเท่านั้น แท้จริงเขาเป็นเพียงบุตรเศรษฐีที่ดิน เดิมทีนิสัยเกเรแต่ถูกต่งชูหลานจัดการเสียจนตาสว่าง เดิมทีสมองเขาไม่ได้ฉลาดนัก…
แต่เขาผู้นี้ บัดนี้กลับปรากฏตัวขึ้น ณ ท้องพระโรงหลวง อีกทั้งยังนั่งร่วมทำข้อสอบกับจิ้นซื่อทั้งสิบ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสงคราม คงจะยากเกินไปสำหรับเขาจริง ๆ
ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ฝนหมึกเรียบร้อย เขายกพู่กันขึ้นจุ่มน้ำหมึก จากนั้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และได้ลงมือเขียน
เอ๋ ! เขาเริ่มเขียนแล้ว
หากส่งกระดาษเปล่าไปคงไม่ดีแน่ ดังนั้นควรจะเขียนอะไรบางอย่างลงไปบ้าง แต่จะไปสู้จิ้นซื่อทั้งสิบได้อย่างไร โดยเฉพาะกับตระกูลใหญ่ทั้งหกนั่น
พวกเขารับใช้ราชวงศ์มายาวนาน แม้นไม่พูดแต่ทุกคนรู้เรื่องราวนี้ดี และในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหกก็มีลูกหลานทำงานอยู่ในกองทัพต้องห้ามอีกทั้งยังมีนายพลด้วย พวกเขาต้องรู้เรื่องการทหารมากกว่าพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงแน่นอน
ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนคงต้องพ่ายแพ้ ความคิดนี้แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ทรงคิดเช่นเดียวกัน
เพียงแต่เขานั้นมิใช่จิ้นซื่อ ถึงเขียนออกมาไม่ดีก็ไม่มีผลใด ๆ ฝ่าบาททรงคิดเช่นนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มลงมือเขียนว่า
หากต้องการสร้างประเทศที่สงบสุขยาวนาน สิ่งที่ต้องการมิใช่เพียงความใฝ่ฝัน เพราะสุดท้ายแล้วทุกสิ่งจะพ่ายแพ้แก่เหล็กและรอยเลือด !
จะทำเยี่ยงไรให้ชนะสงครามและเสียเลือดเนื้อน้อยที่สุด ในบทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียด
แม้เวลาจะผ่านไปสักพันปี แต่การทำสงครามมิได้แปรเปลี่ยนไปมากมายเท่าไรนัก การแพ้ชนะขึ้นอยู่กับกำลังทหารว่าทุ่มเทหรือไม่ อีกทั้งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ในการสู้รบว่าเตรียมพร้อมหรือไม่ การรบในพื้นที่ราบนั้นใช้ทหารม้าเป็นหลัก และทหารทั่วไปเป็นกำลังเสริม
ซึ่งข้าน้อยมีความคิดเห็นว่า ภายใต้การทำสงครามประเภทนี้ ทุกครั้งที่เมืองถูกโจมตี ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจะถูกสังหารและบาดเจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานัก ควรเปลี่ยนแปลง
ข้อที่หนึ่ง พลทหารสำคัญที่จิตใจและความพร้อมมิใช่จำนวนมากน้อย
……
…….
ฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้คล้ายย้อนกลับไปในชาติที่แล้ว เรื่องของการฝึกจิตใจ และการเลือกอาวุธต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการสืบสวนข้อความ การเข้าโจมตีและอีกมากมาย…
เขาเพิ่งรู้ตัวว่าใช้กระดาษเสียจนหมดแล้ว
จะทำอย่างไรดี ?
เขายกมือขึ้นและกล่าวว่า “ฝ่าบาทขอรับ กระหม่อม…ไม่มีกระดาษแล้ว”
องค์ฮ่องเต้กำลังอ่านหนังสือที่อยู่ในมือ ทรงได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง เพียงแค่นโยบายธรรมดาเท่านั้น กระดาษ 2 แผ่นไม่พอหรือ ?
“ต้องการอีกกี่แผ่น ?”
“เอ่อ…..ขออีก 5 แผ่นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เขาแต่งหนังสืออยู่หรือไร ? เสนาบดีทั้งหลายคิดตรงกัน องค์ฮ่องเต้เองก็ตกตะลึง “อืม !”
บัดนี้ฟางเหวินซิงเขียนจบแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนยังต้องการอีก 5 เเผ่น……เขาจะเขียนสิ่งใดนักหนา ?
ขันทีเจี่ยนำกระดาษมาให้เขาห้าแผ่น เมื่อมองดูแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึง
ตัวอักษรอะไรกัน !
เขาหันหลังกลับมาและนึกในใจว่า เสียดายกระดาษนั้นจริงเชียว
ฟู่เสี่ยวกวนลงมือเขียนต่อไป เมื่อผ่านไปกว่าครึ่งเล่มธูป จิ้นซื่อทั้งสิบก็ส่งข้อสอบ แต่เขากลับยังเขียนอยู่
ทุกคนทำได้เพียงรอเขาเขียนเสร็จ บรรดาเสนาบดีที่อายุมากช่างน่าเห็นใจนัก พวกเขายืนกันมากว่าครึ่งวันแล้ว ปวดเอวเสียจริง !
ผ่านไปอีกหนึ่งเล่มธูป ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็เขียนเสร็จ
เขาถอนหายใจยาวออกมา และรู้สึกชื่นชมในคำตอบของตนนัก เนื่องจากเป็นความถนัดของเขาในชาติที่แล้ว เขาจึงเขียนได้อย่างราบรื่นและมีความสุข
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลงและมองไปรอบ ๆ จึงพบว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ยังมิได้ส่งคำตอบ โชคดีเสียจริงที่การสอบนี้ไม่มีกำหนดเวลา
ขันทีเจี่ยเดินตรงมาเก็บข้อสอบ และนำไปถวายแด่องค์ฮ่องเต้
องค์ฮ่องเต้ทรงนำคำตอบขึ้นมาพิจารณาทีละบท กระทั่งถึงคำตอบของฟู่เสี่ยวกวน จึงทรงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ขันทีเจี่ยมองดูเวลาและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ถึงเวลาเสวยพระกระยาหารแล้ว”
องค์จักรฮ่องเต้ทรงวางกระดาษในมือลง ครุ่นคิดชั่วครู่จึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับไปเถิด ผลการตัดสินจะถูกประกาศขึ้น ณ หอหลานถิงในวันรุ่งขึ้น เยี่ยนซีเป่ย เยี่ยนซือเต้า เฟ่ยปัง ต่งคังผิง หนิงฝาชุน เจ้าทั้งหลายจงมาพบข้าในยามบ่ายเพื่อหารือ”
ทุกคนจึงได้กราบบังคมลา และขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเดินออกไปนั้น ฝ่าบาททรงมีรับสั่งขึ้นว่า “ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ก่อน”