ตอนที่ 156 หลงกล
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง มิมีผู้ใดอยู่ที่สนามฝึกฝนไต้ชาน
ทหารทุกนายกลับมายังห้องพัก พวกเขาพักผ่อนอยู่ประมาณ 1 ก้านธูปจึงได้ไปยังโรงครัว
ไป๋ยู่เหลียนยืนรออยู่ที่โรงครัว เมื่อทหารทุกนายมาครบแล้ว เขาจึงได้เอ่ยว่า “คืนนี้เราจะกินข้าวตามลำดับกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งกินก่อนจากนั้นตามด้วยสองและสาม และเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ”
เหล่าทหารล้วนสงสัย เหตุใดในคืนนี้จึงเปลี่ยนแปลงกฎการกินข้าว ? แต่ก็มิมีผู้ใดเอ่ยถามเนื่องจากนี่คือคำพูดของไป๋ยู่เหลียน นับว่าเป็นคำสั่ง
กลุ่มหนึ่งแบ่งเป็น 5 แถว แถวหนึ่งแบ่งเป็น 3 หมู่ หมู่หนึ่งมีประมาณ 10 คน รวมทั้งสิ้น 150 คน นี่คือวิธีการแบ่งแยกโดยฟู่เสี่ยวกวน เมื่อครั้งที่รวบรวมทหารใหม่ ไป๋ยู่เหลียนมิเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงแบ่งเช่นนี้ เนื่องจากมิเหมือนกับวิธีในปัจจุบัน เดิมทีไป๋ยู่เหลียนก็มิค่อยเคยชินเท่าใดนัก แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างสะดวกกว่าวิธีการเดิมเป็นอย่างมาก
สามกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่งกรม สามกรมรวมกันเป็นหนึ่งกอง สามกองรวมกันเป็นหนึ่งกองทัพ ซึ่งบัดนี้ทหารของซีซานรวมกันได้หนึ่งกองทัพพอดี เฉินป๋อได้รับหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพ ส่วนซูม่อถูกจัดว่าเป็นบุคคลภายนอก
หนึ่งกลุ่มมีทั้งสิ้นร้อย 50 คน พวกเขานั่งรวมกันเรียบร้อย ไป๋ยู่เหลียนเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปเดินมากล่าวว่า “พวกเจ้าจงจำให้ดี ไม่ว่าสถานการณ์ใด พวกเจ้าจะต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา ! เนื่องจากศัตรูซ่อนตัวได้ในทุกหนแห่ง เขาอาจจะปลอมตัวเป็นพ่อครัวนำอาหารผสมยาพิษมาให้พวกเจ้าได้ หรืออาจปลอมเป็นผู้ป่วย คนชรา คนพิการเพื่อเรียกร้องความสงสารจากพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าเข้าใกล้ศัตรูด้วยความไว้ใจ พวกเขาอาจจะแทงขั้วหัวใจเจ้าได้ในพริบตา !”
“สนามรบนั้น มิเพียงหมายถึงการที่สองกองทัพเผชิญหน้ากัน แต่มิว่าที่ใดมีศัตรู ที่นั่นก็คือสนามรบ ! ”
“ประสบการณ์ที่ฝึกฝนมาทั้งหมดนี้ ข้ามิต้องการให้พวกเจ้าแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ช่างมิคุ้มค่าเสียจริง และเมื่อยามที่พวกเจ้ารู้ตัวก็อาจจะสายเกินไปแล้ว ดังนั้นในยามฝึกฝนพวกเจ้าจะต้องพยายามให้ถึงที่สุด หลังจากการฝึกฝนจะต้องพยายามจดจำและนำไปประยุกต์ใช้ว่าหากพวกเจ้าเป็นศัตรู จะใช้วิธีการใดในการกำจัดพวกเรา”
“ข้าเองเคยคิดว่าหากอยู่ในป่าเขา ข้าจะวางกับดักเอาไว้ และนำยาพิษใส่ลงไปในแม่น้ำเพื่อรอพวกเจ้ามาดื่มกิน ข้าจะทำให้พวกเจ้าตื่นตระหนกและแตกตัว จากนั้นข้าคงจะจัดการกับพวกเจ้าทีละคนจนหมดสิ้น ! ”
“หากพวกเจ้ามิมีความรอบคอบ เจ้าจะตายเยี่ยงไรอาจมิรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ พวกเจ้าจงจดจำไว้ให้ดีว่า พวกเราเป็นทหารฝึกฝนพิเศษ พวกเราใช้สมองในการทำงานมิใช่เพียงร่างกายเท่านั้น ! ”
“พวกเจ้ามิเหมือนกองทัพใด ๆ ในโลกนี้ ! ”
“หากทำมิได้……กลุ่มที่สองกินข้าว……พวกเจ้าจะถูกขับไล่ออก หรืออาจมิเหลือแม้แต่ชีวิต ! ”
กลุ่มที่หนึ่งกินเสร็จแล้ว พวกเขา 150 คนไปรวมกันในมุมหนึ่ง จากนั้นกลุ่มที่สองได้เข้าไปนั่งลง”
ฟ่านตงหลินเป็นชาวซีซาน เขาอายุยังน้อยอีกทั้งยังมีความสามารถ จึงถูกฟู่เสี่ยวกวนคัดเลือกมาแต่แรก เขานั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะกินข้าวโดยไม่ลงมือหยิบตะเกียบ เขารู้สึกได้ว่าวันนี้ผู้คุมเปลี่ยนไปจากเดิม หรือว่าอาจมีแผนการใดซ่อนอยู่ ?
ผู้คนรอบข้างกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาเองก็หิวมากเช่นกัน แต่สัมผัสของเขายืนยันว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เพื่อนทหารข้าง ๆ เขาเอ่ยถามว่า “เหตุใดมิกิน มิหิวหรือ ? ”
“เจี่ยนเตา ข้ารู้สึกว่าอาหารพวกนี้มิปกติ”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเจี่ยนเตาเมื่อครู่ตกตะลึง เขาวางตะเกียบลงมองไปยังไป๋ยู่เหลียนจากนั้นหันกลับมาถามว่า “หรือครูฝึกจะวางยาพวกเรา ? ”
“นิสัยของครูฝึกเจ้ามิเข้าใจหรือ ? อย่างไรก็ตามข้าว่าอาหารนี้มิปกติ ข้ามิกิน”
เจี่ยนเตาเองก็วางตะเกียบลง “เจ้ากล่าวค่อนข้างมีเหตุผล จากนิสัยของเขาแล้ว เขาอาจวางยาถ่ายพวกเราได้”
ไป๋ยู่เหลียนมองเห็นพวกเขาแล้วนึกในใจว่า ยอดเยี่ยม สามร้อยคนมีถึงสองคนที่รอดไปได้ เจ้าคนที่ชื่อว่าฟ่านตงหลินเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มที่สอง ส่วนเจี่ยนเตานั้นแม้จะเป็นผลมาจากที่ฟ่านตงหลินตักเตือน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ชนะในความคิดนั้น
ต่อมาคือกลุ่มที่สาม มี 3 คนที่ระมัดระวังจึงมิได้กินข้าว หนึ่งในนั้นมีทหารเก่าแก่นามว่าจ้งต้าฉุย ที่เหลืออีก 2 คนเป็นทหารใหม่
เมื่อกลุ่มที่สี่กินข้าว ยาพิษในกลุ่มที่หนึ่งได้เริ่มออกฤทธิ์
เมื่อเห็นว่าทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบคนนอนเอามือกุมท้องกองอยู่ที่พื้น ทหารคนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึง ไป๋ยู่เหลียนกลับโบกไม้โบกมือกล่าวว่า “มิมีสิ่งใดน่าประหลาดใจ ศัตรูได้วางยาพิษในบ่อน้ำ บัดนี้พวกเขาได้สิ้นชีพแล้ว ต่อจากนี้ผู้ที่กินข้าวทุกคนล้วนสิ้นชีพ”
ทหารที่กินข้าวเข้าไปแล้วแต่พิษยังไม่ออกฤทธิ์ พวกเขาจึงทำตัวไม่ถูก ทหารทั้งสองคนที่มิได้กินข้าวก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขารู้สึกดียิ่งนักที่ได้เกิดความหวาดกลัวขึ้นเสียก่อน
ไป๋ยู่เหลียนฟาดแส้ลงแล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า
“บัดนี้ สหายของพวกเจ้าได้รับพิษจากศัตรูแล้ว ควรทำเยี่ยงไรดี ?”
“พวกเราควรให้ความช่วยเหลือ” ซ่งเฉียงตะโกนออกมา
“อืม เจิ้งเฉียงเจ้าจงไปช่วยเหลือดู ? ”
เจิ้งเฉียงตกตะลึง เขามิอาจถอนพิษได้ จะทำอย่างไรดีเล่า ?
“เจ้ามิอาจช่วยเหลือพวกเขาได้ ใช่หรือไม่ ? ”
เจิ้งเฉียงก้มหน้าลงมองพื้น
“ดังนั้นเจ้ายอมที่จะเห็นสหายของเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เจิ้งเฉียงมิอาจตอบกลับได้ ทหารทุกคนก็เช่นเดียวกัน
“เกี่ยวกับเรื่องยาพิษนั้น หากมิรู้ว่าคือพิษใด ให้ลองทำเยี่ยงนี้…เจิ้งเฉียงเอาน้ำกรอกปากเอ้อล่ายจื่อ กรอกจนกระทั่งเขาอ้วกออกมา”
ไป๋ยู่เหลียนเงยหน้าขึ้นกล่าวกับทุกคนว่า “เมื่อเห็นเจิ้งเฉียงเอาน้ำกรอกปากเอ้อล่ายจื่อ ในฐานะลูกทีมของเจิ้งเฉียงพวกเจ้ามัวทำสิ่งใดอยู่ ? จงจำไว้ ศัตรูอยู่ทุกหนแห่ง ! พวกเจ้าจะต้องเข้ามาป้องกันเจิ้งเฉียงไว้ จากวิธีการฝึกฝนของเรา สร้างกำแพงป้องกัน เตรียมอาวุธ พร้อมต่อสู้ตลอดเวลา !”
“พวกเจ้าช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก ! ช่างน่าเอือมระอาจริง ๆ มิเข้าใจความหมายที่ข้าเอ่ยงั้นหรือ ? ” ไป๋ยู่เหลียนตะโกนออกมา
“รับทราบ ! ”
“รับทราบบ้าบออะไรเล่า ! ”
“จงปฏิบัติบัดนี้ เร็วเข้า ! อ้อมออกไปทางด้านหลังกระทั่งอนุสาวรีย์วีรชน ข้าจะบอกกับพวกเจ้าว่าพิษนี้มิใช่ข้าเป็นผู้วาง แต่คือศัตรู ได้ยินหรือไม่ ! พวกมันอยู่บนภูเขาไต้ชาน และรอให้พวกเจ้าทั้งหมดถูกพิษซึมเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจะเข้าช่วยเหลือหลิวซานเปี้ยนไป เข้าใจหรือไม่ ? ”
“จงจดจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ห้ามเจ็บ ห้ามตาย ! ทุกคนต้องมีชีวิตรอดกลับมา ปฏิบัติ ! ”
หลังการเคลื่อนไหวไม่นาน การฝึกปฏิบัติก็เริ่มขึ้น ทหารทุกคนเคลื่อนที่อย่างเงียบ ๆ ตรวจสอบอาวุธของตนครบถ้วนอย่างรวดเร็ว จากการนำทีมโดนเฉินป๋อและซูม่อ พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่และซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาปรบมือ เขามองดูร่างนอนเรียงรายอยู่นับร้อยแล้วหัวเราะขึ้น
“มัวหัวเราะอะไรอยู่ มาเถอะ ช่วยชีวิตพวกเขา ! ”
ไป๋ยู่เหลียนขว้างขวดเปล่าออกไป จากนั้นเทผงสีขาวลงไปในถังน้ำ ทั้งสองช่วยกันนำน้ำกรอกปากทหารทีละคน ๆ
“พวกเขาช่างไม่ระมัดระวังเสียจริง ! ให้ตายเถอะ ! ทหารที่ข้าพากลับมาด้วยมีเพียงฉุยจื่อเท่านั้นที่มิกินข้าว หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของศัตรูจริง ๆ ทหารกว่าสองพันคนนี้คงตายกันหมดแน่”
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ศัตรูมีอยู่ทุกที่นั้นคือเรื่องจริง เราจะต้องกำชับพวกเขาให้ตระหนักอยู่ตลอดเวลา…เจ้าว่า หากข้าเชิญศิษย์พี่ใหญ่มาสอนเรื่องยาพิษแก่พวกเขา จะดีหรือไม่ ? ”
“เป็นความคิดที่ดีเยี่ยม ! แม้พวกเขาจะมิรู้หนังสือ แต่หากตั้งใจฟังก็สามารถเข้าใจวิธีการแก้พิษได้”
“มิใช่ ! ข้าต้องการให้พวกเขารู้วิธีการใช้ยาพิษ ส่วนเรื่องการแก้พิษปล่อยให้เป็นเรื่องของหมอติดตามก็พอ”