ตอนที่ 167 เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมเริ่มตก แต่หิมะกลับตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ในป้านเยี่ยนซวนมิได้จุดไฟ จึงดูมืดสลัว ขันทีเหนียนได้ออกไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว
เขาต้มชาและดื่มชาเพียงลำพัง มุมปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้มมิจางไปไหน
เนื่องด้วยตัวเองในตอนนี้ได้มีต้นไม้ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าคอยโอบอุ้ม เนื่องจากองค์จักรพรรดิต้องการแก้ไขการทำงานของราชสำนัก เยี่ยงนั้นตัวเขาในตอนนี้ควรทำให้เขาเห็น
สำหรับการสอบสวนเฟ่ยอันใหม่อีกครา ก็เป็นเพียงเพราะข้อมูลที่หลินหงบอกเขามาเท่านั้น
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่2 กองทัพชายแดนตะวันออกถูกกองทัพของราชวงศ์อู๋กวาดล้างที่ภูเขาฉีซาน แต่เรื่องที่ถูกรายงานไปถึงราชสำนักกลับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ !
ในเอกสารรายงานของเฟ่ยอัน สนามรบครานั้นสังหารศัตรูไปถึง 800 คน ทั้งยังมีหัวส่งไปยังเมืองหลวงอีกด้วย
ช่างน่าสมเพชนัก ภายในแปดร้อยหัวนั้นมิมีคนของราชวงศ์อู๋เลยแม้แต่คนหนึ่ง ทั้งหมดนั้นคือชาวบ้านในหมู่บ้านที่อยู่ใต้ภูเขาฉีซาน !
เมื่อมาคิดเรื่องนี้ในตอนนี้คาดว่าน่าจะเป็นข่าวกรองที่ส่งกลับมาจากซี่โหลว หลังจากนั้นบิดาของหลินหงจึงได้ถูกกุมขัง ต่อมาเฟ่ยอันก็ได้ลาออกไปทำนาที่เขตหนานหลิง
เรื่องนี้ยังมิได้เผยแพร่ในราชสำนัก จึงจัดการอย่างเงียบ ๆ เยี่ยงนี้ คิดไปว่าองค์จักรพรรดิไม่อยากลงมือกับตระกูลเฟ่ย แน่นอนว่าความเกี่ยวข้องที่อยู่ในนั้นใหญ่อย่างมาก หรือบางทีอาจเป็นเพราะความยุ่งเหยิงของผลประโยชน์นั้นกว้างเกินไป
อย่างไรก็ตามอำนาจของตระกูลเฟ่ยก็ได้ฝังรากลึกไว้ในราชวงศ์หยู เบื้องบนมีทหารผ่านศึกสามราชวงศ์อย่างราชครูอาวุโสเฟ่ย เบื้องล่างก็มีเสนาบดีกรมกลาโหมคนปัจจุบันเฟ่ยปัง ทั้งยังมีขุนนางฝ่ายตรวจการอย่างเฟ่ยติ้ง
ยังมีบุตรชายคนที่สี่ของราชครูอาวุโสเฟ่ยเฟ่ยกั๋ว คนผู้นี้ในยามนี้อยู่ในกองทัพชายแดนตะวันออก ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารม้า
ส่วนที่ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงไม่ใช้โอกาสนั้นจับกุมตระกูลเฟ่ย ฟู่เสี่ยวกวนมิมีความคิดที่จะหวนรำลึก แต่ในตอนนี้เขาอยากจะเคลื่อนไหวตระกูลเฟ่ย นี่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารเขาในครานั้น เขามิต้องการให้ชาวบ้านทั้งแปดร้อยคนต้องตายอย่างสูญเปล่า
หากการทำนาสามารถชดใช้บาปกรรมได้… ทุ่งนาทั่วใต้หล้านี้ก็มิเพียงพอ !
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานกำร่มกระดาษและเดินกลับไปยังป้านเยี่ยนซวน มองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังดื่มชาเพียงลำพังท่ามกลางแสงไฟสลัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแผ่นหลังนั้นช่างโดดเดี่ยว และรู้สึกปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่อายุ 17 ปี พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจะคาดหวังในตัวเขาสูงเกินไปหรือไม่ ?
“คิดสิ่งใดกัน” หยูเวิ่นหวินจุดตะเกียง ป้านเยี่ยนซวนจึงสว่างขึ้นมา
“คิดว่าข้าต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสามารถสู่ขอพวกเจ้าจากพ่อตาได้” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองหยูเวิ่นหวิน ช่างเป็นใบหน้าที่สดใสเสียจริง ๆ
หยูเวิ่นหวินส่งเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อย ด้วยใบหน้าเขินอาย “เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าข้าจะได้ผอมลีบเสียยิ่งกว่าดอกหวง… เกรงว่าคนบางคนจะรังเกียจกันก็มิทันเสียแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ผิวที่งดงามนับพันก็เหมือนเดิม จิตวิญญาณที่น่าสนใจคงมีเพียงหนึ่งจากในหมื่น ข้าดูเป็นคนที่มองผิวเผินเยี่ยงนั้นรึ”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา “ข้าดูแล้ว… คุณธรรมของเจ้ายังไปมิถึง”
“เอาล่ะ ๆ ควรกลับได้แล้ว เย็นนี้ฝ่าบาทจะมายังวังเตี๋ยอี๋ ดังนั้น มือเย็นวันนี้ควรกลับไปจัดการด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น สองมือค้ำโต๊ะน้ำชาและลุกขึ้นยืน “เฮ้อ… คิดว่าจะได้ทานข้าวอีกสักมื้อ ไปเถอะ เวิ่นหวินจะไปด้วยหรือไม่”
“ข้าจักไปที่ไหนได้ ?พวกเจ้าไปก่อนเถอะ เสด็จแม่ต้องการให้ข้าอยู่ต่อ พรุ่งนี้หากมีเวลาว่างจะไปหาพวกเจ้าที่จวนฟู่อีก”
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานได้ออกมาจากพระราชวัง และก็ได้พบกับซูม่อที่รออยู่ที่หน้าประตูพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “เสร็จแล้วหรือ”
“อือ เสร็จแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนมองร่างของซูม่อที่เต็มไปด้วยหิมะ จึงตบบ่าของเขา แล้วกล่าวว่า “ความจริงเจ้ามิต้องมารับข้าก็ได้”
“ข้ารับปากกับไป๋ยู่เหลียนแล้ว นอกจากข้าตายไปแล้ว เจ้าจะถูกทำร้ายอย่างแน่นอน”
“…เอาเถอะ กลับกัน ชูหลาน เจ้าจะจัดการอย่างไรดี ?”
“ข้าต้องกลับไปคุยกับท่านพ่อที่จวน”
“อือ เยี่ยงนั้นข้าไปส่งเจ้าก่อน”
……
…..
ณ วังเตี๋ยอี๋ ขันทีเหนียนยืนอยู่ด้านหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยด้วยความเคารพ และรายงานเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนตอบรับจะจัดการเรื่องของซี่โหลวโดยละเอียด
องค์จักรพรรดิหยูยิ่นวางตะเกียบ ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเบิกกว้าง หยูเวิ่นเต้าคิ้วขมวด พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกลับยังสงบนิ่ง นางตักซุปให้องค์จักรพรรดิ แล้วกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเพคะ หม่อมฉันกล่าวแล้วว่าชายผู้นี้ละเอียดอ่อนนัก”
หยูยิ่นเงียบไปอึดใจ “ท่านกล่าวว่า… ในมือของเขานั้นมีดาบสังหารตระกูลเฟ่ยอยู่ เรื่องนี้จะใหญ่เกินไปหรือไม่ ? ทั้งในปีนั้นก็มีคนรู้เรื่องนี้เพียงไม่กี่คน เขารู้ได้เยี่ยงไรกัน?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยครุ่นคิด และตอบกลับ “หม่อมฉันกลับคิดว่าเขาเริ่มต้นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมจากตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ดังที่กล่าวว่าเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ ในภูเขานั้นต้องมีเสืออยู่เท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ ส่วนที่ว่าเขารู้เรื่องนี้ได้เยี่ยงไร เรื่องนี้หม่อมฉันเองก็มิทราบ”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นเต้าก็นึกเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารขึ้นมา สตรีนางหนึ่งจากหอเยียนจือนามหลินหงได้หายตัวไป ฐานะของหญิงสาวผู้นั้นเขาย่อมรู้ดี บิดาของหลินหงเป็นรองแม่ทัพของเฟ่ยอัน
ในยามที่หยูเวิ่นเต้าต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนมอบหลินหงให้กับเขา กล่าวว่าหากเจ้านำนางมาให้ข้า เรื่องนี้ก็จะทำเป็นบทความที่ดีได้ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับตอบกลับมาว่า เรื่องได้ทีขี่แพะไล่เยี่ยงนั้น ท่าน สู้ข้ามิได้
เยี่ยงนั้นเจ้านั่นก็กำลังได้ทีขี่แพะไล่อย่างนั้นรึ ?
ดังนั้นหยูเวิ่นเต้าจึงกล่าวความคิดเห็นออกไป และกล่าวเสริมไปอีกประโยคด้วยความกรุ่นโกรธ “บทนำบทความของเขา… ลูกคิดว่ามิงดงามเท่าใด”
หยูเวิ่นหวินได้ยินเยี่ยงนั้นก็สับสน เพิ่งจะรับรู้ว่ายังมีอีกหลายหนทางที่คาดไม่ถึง ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มยามปกติของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นการแสดงอย่างนั้นหรือ?
“ไม่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เรื่องวิทยายุทธ์เจ้าย่อมอยู่สูงกว่าฟู่เสี่ยวกวน แต่หากกล่าวถึงเรื่องการวางอุบาย เวิ่นเต้าเอ๋ย เจ้าเทียบเขามิได้อย่างแท้จริง”
ซั่งกุ้ยเฟยผงะแล้วจึงกล่าวว่า “ครั้งที่แล้วที่เขามาเมืองหลวง แต่เดิมหม่อมฉันคิดว่าเขานั้นไร้หนทางจึงอยากมาขอความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน แต่คาดมิถึงว่าเขานั้นจะเข้าพระเนตรฝ่าบาทด้วยนโยบายบรรเทาสาธารณภัย และได้รับรางวัลจากฝ่าบาทอีกด้วย ณ พระราชวังจินเตี้ยน เหตุใดเขาจึงกล้าทำให้เสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนด่าทอจนกระอักเลือดล้มพับไป ผู้อื่นคงคิดว่าเลินเล่อ แต่ความจริงแล้วเขาเพียงใช้โอกาสนั้นเพื่อทดสอบท่าทีของฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทมิได้ตำหนิเขา ดังนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเขานั้นได้เปรียบกว่าผู้อื่น ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าเขาจะอยู่ที่เมืองหลวงอาศัยสถานการณ์ตีเหล็กตอนกำลังร้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับของฝ่าบาท แต่เขากลับอาศัยอาการบาดเจ็บหลบออกจากเมืองหลวงไปยังหลินเจียง”
“นี่มิใช่กลยุทธ์การแสร้งจับเพื่อปล่อย และเขาก็มีธุระที่หลินเจียงอีกมากมายอย่างแท้จริง เรื่องเหล่านี้ฝ่าบาทเองก็รับทราบ ในสายตาหม่อมฉันแล้วก็มิใช่เรื่องเสียหายอะไร เพียงแต่หม่อมฉันยังไม่เข้าใจการเปรียบเทียบระหว่างเรื่องเหล่านี้กับอนาคตของเขา เหตุใดเขาจึงมองว่าซีซานสำคัญยิ่งกว่า?”
“หม่อมฉันลองมาครุ่นคิด วันนี้ที่มอบเรื่องซี่โหลวให้แก่เขา เขาก็มิได้หวาดหวั่นอันใด หลังจากที่ขันทีเหนียนพูดคุยกับเขาเรื่องซี่โหลว เขาก็ยังคงเยือกเย็นดังเก่า ทั้งยังให้ปัญหาที่ยากแก่ขันทีเหนียนหนึ่งข้อ นี่คือการทดสอบความสามารถของซี่โหลว และกำลังทดสอบว่าเขานั้นสามารถควบคุมซี่โหลวได้จริงหรือไม่ แน่นอน ความหมายลึกซึ้งที่ใหญ่ที่สุดข้าคิดว่าเป็นท่าทางของฝ่าบาทที่แสดงออกว่ายินยอมให้เขาเป็นขุนนางกูเฉินเพคะ”
หยูเวิ่นเต้าขบคิดอยู่ชั่วครู่และเบ้ปาก ท่าทางของเจ้าบ้านั่นดูแล้วมิมีพิษภัยอันใด นึกไม่ถึงว่าจะหลอกลวงกันทั้งสิ้น
หยูเวิ่นหวินกลับหวาดกลัวเล็กน้อย นางหันมองไปทางเสด็จพ่อ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เสด็จพ่อเพคะ… เขา ความจริงเขาอยากจะเป็นแค่คุณชายเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระ หากมิใช่เพราะถูกจดหมายของข้าบังคับจนเป็นเยี่ยงนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่อายุยังน้อย ไหนเลยจะเก่งกาจดั่งที่เสด็จแม่กล่าวมา เขาย่อมมิใช่คู่มือของจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้น?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็หันไปมองหยูยิ่น ความจริงแล้วนางก็กังวล เพราะฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้า ถึงแม้เขาจะมีองค์จักรพรรดิหนุนหลัง แต่องค์จักรพรรดิก็มิสามารถเอาเขาไว้ข้างกายได้ตลอดเวลา หากพบเจอสถานการณ์ปลาตายตาข่ายขาด คนเหล่านั้นคงจะดิ้นรนเหมือนสุนัขจนตรอก ต่อให้ดื่มน้ำกานี้ของฟู่เสี่ยวกวนลงไปก็ยากที่จะทน
หยูยิ่นมิได้แสดงอะไร เขาใช้ช้อนตักซุปขึ้นมาลิ้มรส เป็นเวลาเนิ่นนาน จึงกล่าวว่า “เรื่องของฝึกของกลุ่มนั้น ข้าเห็นด้วย”
“แล้วเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมในเทศกาลอาหารฤดูหนาวของราชวงศ์อู๋ล่ะเพคะ?”
“มิเปลี่ยนแปลง ให้เขาไป”
“พระชนนีตรัสว่าต้องการพบฟู่เสี่ยวกวน หม่อมฉันเล็งเห็นว่าท่าทางของพระชนนีดูมิชอบพอเสียเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นเพราะบทสรุปของความฝันในหอแดง ได้ยินมาว่าหลังจากที่พระชนนีได้อ่านบทสรุปในวันนั้นก็พาลเสวยอะไรไม่ลง… หม่อมฉันเองก็เข้าใจพระชนนี แต่พระนาง… เรื่องนี้ฝ่าบาทพอจะเกลี้ยกล่อมได้หรือไม่เพคะ ?”
หยูยิ่นผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขำ ๆ “เยี่ยงนั้นก็นัดเวลาแล้วพาฟู่เสี่ยวกวนไปเข้าเฝ้า และมิให้เกิดเรื่องไม่ดี เมื่อถึงเวลาก็ให้เวิ่นหวินไปด้วยกัน เสด็จแม่ชื่นชอบเวิ่นหวิน”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยพยักหน้า แล้วเอ่ยถามอีกว่า “ฟู่เสี่ยวกวนต้องการตรวจเรื่องซี่โหลวของเฟ่ยอัน ฝ่าบาทมีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ?”
“อนุญาต !”
……
…..
จวนฟู่ได้ติดโคมไฟสีแดงเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ในยามนี้จึงได้สว่างขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนกับซูม่อ ซูเจวี๋ย และซูโหรว ทั้งสี่คนกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ในหลีเฉินซวน
เตาผิงภายในหลีเฉินซวนกำลังลุกโชน ภายในนั้นมิมีความหนาวเหน็บแม้แต่นิด
“ในหลายวันมานี้ เวลาการฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของท่านนับวันยิ่งน้อยลง… หรือว่าท่านยอมแพ้แล้วกัน ?” ซูม่อเอ่ยถาม
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “มิได้ยอมแพ้ เพียงแต่ธุระยิบย่อยมันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาฝึกจึงลดน้อยลงไปมาก”
“เอาเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมิใช่สายต่อสู้”
สองตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง “ข้าเพิ่งฝึกมาได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น เจ้าอยากให้เป็นแบบไหนกัน?”
ตาเรียวของซูโหรวเหลือบมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แต่ซูม่อกลับทำเป็นทองมิรู้ร้อน “ท่านรู้หรือไม่ว่าในสำนักเต๋าใครเป็นผู้ฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางได้เร็วที่สุด?”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างซูเจวี๋ย ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ใหญ่ และท่าทางสงบเสงี่ยมหักห้ามใจตนเองของซูเจวี๋ยที่มีให้เห็น เยี่ยงนั้นก็ต้องเป็นเขาแล้ว
แต่คาดมิถึงว่าซูเจวี๋ยจะส่ายหน้า หมวกที่อยู่บนหัวเอียงเล็กน้อย เขาขยับให้เข้าที่ แล้วจึงกล่าวว่า “ผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในสำนักเต๋าคือศิษย์น้องหกซูซูของข้า นางเข้าสำนักเต๋าในตอนอายุ 5 ปี สามารถสร้างลมปราณได้ภายในสามวัน ผ่านไปอีกสามวันก็บรรลุคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางขั้นที่หนึ่ง ผ่านไปอีกสามวันก็บรรลุขั้นที่สอง หลังจากนั้น… อาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้นางฝึกการต่อสู้ และในตอนนี้นางอายุได้ 14 ปี ในช่วงระยะเวลา 9 ปี นางก็มิได้ฝึกอีกเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนตาโต “แล้วมันเยี่ยงไรกัน ?”
“อาจารย์กล่าวว่า… หากมิสามารถควบคุมสิ่งอัปมงคลของซูซูไว้ได้ เกรงว่าจะรักษาโลกนี้ไว้มิได้เช่นกัน !”
เป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเซียนอย่างนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน “แล้วนางเรียนรู้อันใดต่อไปรึ?”
“ฝึกฉิน เสียงฉินของศิษย์น้องหกนั้น… เป็นเหมือนเสียงของธรรมชาติอย่างแท้จริง” ซูเจวี๋ยเงยหน้าเล็กน้อย ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม “เพียงเสียงฉินของนางดังขึ้น สำนักเต๋านกนับร้อยก็มายามเช้า ช่างสละสลวยเสียนี่กระไร แต่อย่างไรก็ตามศิษย์น้องรองของข้านั้น…”
เมื่อพูดถึงประเด็นหลัก ซูเจวี๋ยก็ปิดปากทันพลัน ถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า จนหมวกใบนั้นขยับไปเล็กน้อย จนเขาลืมที่จะจัดให้ตรง
“ศิษย์น้องรองของเจ้าล่ะเป็นเยี่ยงไร?”
“เขา… จึงได้ทานนกเยอะทีเดียว !”