คุณหมอลูบป้าย นายแพทย์ฝึกหัด ที่หน้าอกของตัวเองอย่างปวดใจเบาๆ เธอต้องตั้งใจมาหาเรื่องที่นี่แน่ๆ ต้องใช่แน่ๆ ! ไม่งั้นตัวเองเป็นถึงผู้อำนวยการแพทย์แล้ว จะมารักษากับนายแพทย์ฝึกหัดอย่างเขาทำไมกัน!
คุณหมอหยุดความคิดที่จะให้เธอไปหาหมอผีให้รู้แล้วรู้รอดไป ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที และกัดฟันเอ่ยถามอาการของเธอต่ออย่างเสียไม่ได้
“คุณอวิ๋น…ไม่ คุณหมออวิ๋น ผู้อำนวยการอวิ๋นครับ! อาการแบบนี้เป็นมานานแค่ไหนแล้วครับ”
“ตั้งแต่สามเดือนที่แล้วค่ะ”
“นานขนาดนี้แล้ว? คุณ…ไม่กลัวเหรอ” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
“กลัวสิ!” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “แต่ถึงจะกลัวยังไง เห็นมาตั้งสามเดือนก็คงต้องชินแล้วละ”
“เอ่อ…” พูดได้มีเหตุผลจนเขาไม่รู้จะตอบรับยังไงเลย “เหอะๆ คุณอวิ๋นสมกับที่เป็นผู้อำนวยการแพทย์เลยนะครับ เจอเรื่องแบบนี้ยังใจเย็น สีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
อวิ๋นเจี่ยวคลำใบหน้าของตนที่ยังคงมีแต่ความเคร่งขรึมจริงจัง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ราวกับนึกอะไรขึ้นได้สักอย่างพร้อมเอ่ยว่า “อ่อ ลืมบอกไป ฉันป่วยเป็นโรคเส้นประสาทบนใบหน้าอัมพาตมาตั้งแต่เกิดค่ะ”
“โรคเส้นประ…อะไรนะ” ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้มาก่อน
“หรือที่เรียกกันว่าโรคอัมพาตใบหน้า”
“…”
“ฉันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิด จะมีสีหน้าอื่นก็ตอนที่มีเหตุการณ์พิเศษเท่านั้น”
“…” ยังมีโรคแปลกๆ อีกกี่โรคบนตัวคุณกันเนี่ย?
(╯°Д°)╯︵┻━┻
“คือ…เรื่องตาของคุณ คุณเล่าอีกได้ไหมว่าเริ่มมีอาการเมื่อไหร่ ก่อนที่จะมีอาการได้ทานอะไรเข้าไปบ้างหรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
อวิ๋นเจี่ยวก้มหน้าลงเล็กน้อย และคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างตั้งใจ สักพักถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ฉันว่าสาเหตุของการป่วยของฉัน เป็นเพราะเมื่อสามเดือนก่อนที่ฉันได้ทำเรื่องๆ หนึ่ง ตั้งแต่บ่ายวันนั้น ฉันก็มองเห็นพวกนั้นแล้ว”
“คุณทำอะไร”
“ฉันพยุงคุณยายที่ล้มคนหนึ่ง”
“แล้ว?”
“แล้ว…ฉันก็ล้มละลาย” มุกตลกใช่ไหม
“…” คุณหมอมุมปากกระตุก ก่อนที่จะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เห็นใจ สักพักถึงได้พูดต่อ “อืม ก็…แย่อยู่นะ เสียใจด้วยครับ!”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” คุณหมอฝึกหัดยิ่งรู้สึกเห็นใจเธอมากยิ่งขึ้น ทำให้เสียงที่ถามออกไปผ่อนลงเล็กน้อยด้วย “นอกจากล้มละลาย…เอ่อ ไม่ นอกจากช่วยเหลือคุณยายที่ล้มแล้ว ยังมีอะไรอีกไหมครับ เช่นไปทานอะไรมา”
“ไม่มีค่ะ” เธอส่ายหัว “วันนั้นฉันเพิ่งลงจากเครื่องบิน ไม่ได้ทานอะไรเลย พอพยุงคุณยายขึ้นมาแล้ว ฉันก็โทรแจ้งตำรวจ ทางตำรวจบอกว่าให้ฉันเห็นแก่อายุของคุณยาย ช่วยชดใช้ค่าเสียหายให้แกหน่อย”
“…” แล้วคุณก็เลยชดใช้จนล้มละลาย?
“จริงสิ เมื่อกี้ฉันเห็นคุณยายคนนั้นมารักษาที่โรง’บาลนี้ด้วย แกยังยัดอะไรไม่รู้ใส่กระเป๋าฉัน แล้วยังแช่งให้ฉันมีอันเป็นไปในต่างถิ่นอีก”
“…” ล้มละลายแล้วยังไม่พออีก โกรธแค้นอะไรกันนักหนาเนี่ย?
อวิ๋นเจี่ยวพูดจบก็หันไปค้นกระเป๋าทันที สักพักก็ดึงกระดาษใบหนึ่งออกมา “เอ๊ะ หาเจอแล้ว!”
“นี่มัน…” คุณหมอจ้องมองไปยังกระดาษแผ่นนั้น มันเป็นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเหลือง ด้านบนยังเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงที่อ่านไม่รู้เรื่อง “ผ้ายันต์เหรอ” คุณหมอว่าแล้วพลันจะยื่นมือออกไปรับ
เพียงแค่กำลังเอื้อมมือออกไป ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวสว่างแสบตาพุ่งออกจากผ้ายันต์ คนที่ตอนแรกนั่งอยู่บนเก้าอี้แวบหายไปในชั่วพริบตา
คุณหมอ: “…”
สามวิให้หลัง…
“อ๊าก มีผี!”
…
อวิ๋นเจี่ยวคิดว่าเธอน่าจะข้ามมาอีกมิติหนึ่งแล้ว เพราะเมื่อกี้เธอยังนั่งอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เลย แต่ในนาทีถัดมาเธอกลับมาโผล่อยู่ในป่าที่มีแต่หมอกดำแห่งนี้ แถมบนมือยังเปื้อนเถ้าจากผ้ายันต์ที่ไหม้ไปแล้วอีก เป็นเพราะคำสาปแช่งของยายแก่คนนั้นที่พาเธอมาอยู่ที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
นี่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงอะไรกันเนี่ย! จากสถานการณ์ในตอนนี้ เธออยากจะพูดแค่ว่า…ความเชื่องมงายที่ไหนเล่า!
(╯°Д°)╯︵┻━┻
อวิ๋นเจี่ยวในใจรู้สึกร้อนรนเป็นอย่างมาก แต่สีหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ โรคอัมพาตใบหน้าที่ไม่ว่ารักษามานานแค่ไหนก็ไม่หายสักที ทำให้เธอที่แม้แต่จะแสดงสีหน้าตกใจยังทำไม่ได้ ทำได้เพียงยืนนิ่งๆ อยู่ในป่าสองชั่วโมงถึงจะทำให้อารมณ์ต่างๆ และคำสบถอีกมากมายที่วิ่งอยู่ในหัวสงบลงได้
ใจเย็นๆ อวิ๋นเจี่ยว!
ก่อนอื่นต้องคิดก่อนว่าสถานการณ์ตอนนี้มันคืออะไร แต่วิทยาศาสตร์ที่เธอเชื่อถือมาหลายปีได้ทรยศเธอแล้วเป็นแน่ คำสาปแช่งของยายแก่นั้นสัมฤทธิ์ผลแล้ว เธอทะลุมายังอีกสถานที่หนึ่งด้วยวิธีที่ไม่วิทยาศาสตร์เลย และจากสภาพแวดล้อมในตอนนี้ เธออยู่ในสถานที่ที่ห่างจากเมือง ซี อย่างไกลโขเลยทีเดียว
ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกค่อนข้างแย่ คือตอนนี้เธอกำลังอยู่ในสถานที่ที่มีสภาพอากาศเลวร้าย เพราะดูจากพืชพันธ์ที่ไม่คุ้นเคยรอบข้างแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าเธอออกจากเขตแดนของประเทศมาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างซึ่งแย่กว่า! เธอไม่ได้อยู่บนโลกโดยสิ้นเชิง ตามหลักสถิติของการข้ามมิติแล้ว เธออาจจะไม่ได้อยู่ในยุคปัจจุบันแล้วด้วยซ้ำ
อวิ๋นเจี่ยวอธิษฐานขอให้เป็นอย่างแรก ไม่แน่ว่ายังมีโอกาสกลับบ้านได้ เธอคิดพลางหาทางลงจากเขา แล้วท่องในใจว่าร่ำรวย แข็งแกร่ง ประชาธิปไตย วัฒนธรรม ปรองดอง…จนกระทั่งเจอกับชายแก่สวมชุดจีนโบราณที่กำลังพยายามจะแขวนคอตาย…
***
นั่นเป็นต้นไม้ที่แห้งเหี่ยว ภายนอกโล้นจนกระทั่งไม่มีแม้แต่เปลือกไม้ และบนลำต้นนั้นยังคงเห็นร่องรอยที่เกิดจากการถูกฟ้าผ่า ภายใต้ต้นไม้มีชายแก่ผมขาวแกมเทาคนหนึ่ง มือหนึ่งจับที่ขอบกางเกง มือหนึ่งถือสายคาดเอว กำลังเหวี่ยงขึ้นไปยังกิ่งไม้ที่อยู่บนหัว เท้าทั้งคู่เหยียบอยู่บนกองหินที่เขาขนมาทับกันสูงขึ้นไป
ชายแก่หันมาเห็นอวิ๋นเจี่ยวที่กำลังแหวกพุ่มไม้และเดินออกมา เขาตะลึงงันไปสักพัก ก่อนที่จะโยกเยกไปมาเพราะขาข้างหนึ่งก้าวพลาด ชายแก่รีบเอื้อมมือไปจับต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ เพื่อพยุงตัว แต่ทันใดนั้นกางเกงที่ไร้การรัดจากสายคาดเอวก็ไหลล่วงลงไปกองที่พื้น ตามมาด้วยขาขาวที่มีลักษณะผอมแห้งทั้งสองข้างปรากฎขึ้น
อวิ๋นเจี่ยว: “…”
ชายแก่: “…”
(⊙_⊙)
สถานการณ์ชวนอึดอัดอยู่ชั่วครู่
โชคดีที่โรคอัมพาตใบหน้าของอวิ๋นเจี่ยวประคองสถานการณ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง เธอละสายตาจากช่วงล่างของชายแก่อย่างเรียบเฉย หันหลังเดินกลับอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
เจอคนแก่ต้องทำยังไง จากประสบการณ์ของคนที่โดนรีดไถจนล้มละลายแล้ว จะบอกว่าให้หนีไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้
“เอ๊ะ? เดี๋ยว!” ชายแก่ตกใจไปสักพักกว่าที่จะรู้ตัว เขาพลุ่งพรวดกระโดดลงมาจากกองหิน กอดขาของเธอเอาไว้อย่างรวดเร็วโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว “ท่านนักพรต ช้าก่อน โปรดหยุดก่อน!”
อวิ๋นเจี่ยวที่เดินจากไปไม่ทัน “…” ราวกับได้ยินเสียงของธนบัตรที่กำลังกระซิบบอกลาเธอ “คุณตาคะ ฉันเพิ่งจะล้มละลาย ไม่มีเงินแล้วจริงๆ ค่ะ” พวกคุณเปลี่ยนไปรีดไถคนอื่นได้ไหม
“เงิน?” ชายแก่อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างแรง “เปล่าๆ ในตัวท่านมียันต์วิเศษหรือไม่ ข้าได้รับพิษร้ายแรงอย่างไม่ทันระวัง เห็นแก่ที่เป็นนักพรตในเสวียนเหมินด้วยกัน ได้โปรดช่วยข้าที”
“นักพรต?” อวิ๋นเจี่ยวนิ่งไปสักพัก ที่แท้ก็ไม่ได้จะมารีดไถเธอ “ฉันไม่ใช่!”
“ท่านอย่าหลอกข้าเลย ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้านะ!” ชายแก่ไม่เชื่อเธอแม้แต่น้อย “บนตัวท่านยังหลงเหลือพลังของยันต์วิเศษอยู่ จะไม่ใช่คนของเสวียนเหมินได้อย่างไร”
“ยันต์วิเศษ?” อวิ๋นเจี่ยวนึกถึงมือขวาที่ยังคงเปื้อนเถ้าผ้ายันต์ พลางเอ่ยถาม “หมายถึงอันนี้?”
ชายแก่เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งดีใจ พลางพยักหน้าตอบรับ “ใช่ๆ บนมือท่านนั้นก็คือเถ้าของยันต์วิเศษ”
“นี่ไม่ใช่ของฉัน มีคนยัดให้ฉัน”