ไป๋อวี้ยังไม่ทันที่จะเข้าใจ ก็ได้ยินเสียงทุ้มสุขุมดังขึ้นจากภายในเจดีย์
“เจ้ามองเห็นข้า?”
หืม?
ใคร? เสียงใคร?
(゚Д゚≡゚Д゚)
ไป๋อวี้มองไปรอบๆ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง หรือว่าจะมีผีอีก?
แต่ในสายตาของอวิ๋นเจี่ยว กลับมองเห็นร่างที่กระจายแสงสีขาวราวกับหลอดไฟเคลื่อนที่นั้นกำลังลอยลงมาจากโต๊ะบูชามาทางนาง สุดท้ายเขาหยุดอยู่ที่ที่ห่างจากนางเพียงสองก้าว ทันใดนั้นบริเวณรอบๆ ก็สว่างยิ่งขึ้น สว่างจนรู้สึกแสบตา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ยังไม่เคยฝึกฝนแต่กลับเปิดตาทิพย์แล้ว” เสียงของชายหนุ่มที่มองไม่เห็นภายในแสงสีขาวแสบตานั้นดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเจือไปด้วยความชื่นใจและชื่นชมเล็กน้อย “พอมีพรสวรรค์”
อวิ๋นเจี่ยวหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนที่จะถอยออกไปหนึ่งก้าว สว่างเกินไปแล้ว! บอดแล้ว บอดแล้ว ตาจะบอดแล้ว
เขาอาจจะสังเกตถึงการกระทำของนาง ชายหนุ่มเลยยกมือขึ้น ก่อนที่แสงสีขาวรอบตัวนั้นจะค่อยๆ มืดลงไป ราวกับตั้งใจเก็บ ในทันใดนั้นร่างของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนต่อหน้าทั้งสองคน รวมถึงไป๋อวี้
อวิ๋นเจี่ยวถึงได้เห็นหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดๆ นางตะลึงไปสักพัก ขนาดโรคอัมพาตใบหน้าที่รักษาไม่หายมาหลายปีก็ราวกับมีความหวังที่จะหายดีขึ้นมา ตาเบิกโตขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
ชายหนุ่มชุดขาวด้านหน้าทั้งตัวไม่มีแม้แต่เครื่องประดับ สะอาดเรียบง่ายงดงามราวกับหิมะช่วงเริ่ม ฤดูหนาว ผมเงาดำยาวถึงพื้น แต่ใช้เพียงสายคาดผมสีขาวรวบขึ้นไปเบาๆ ที่สำคัญคือใบหน้านั้น เป็นใบหน้าที่ไม่อาจใช้ภาษาใดมาบรรยายได้ราวกับไม่ว่าจะใช้คำใดก็ราวกับเป็นการดูหมิ่นใบหน้านั้น หากจะต้องบรรยายด้วยคำพูดจริงๆ ละก็ นางคงจะพูดได้เพียง…ไม่กล้ามอง! สมบูรณ์แบบจนไม่กล้ามอง!
ทันใดนั้น อวิ๋นเจี่ยวมีความรู้สึกว่ายี่สิบปีมานี้ตาของนางมันมีไว้เสียเปล่า ใบหน้าดุจเทพเจ้าอะไรขนาดนี้?
“อา…อา…อา…” ชายแก่ด้านข้างตกตะลึงกับคนที่ปรากฎตัวอย่างกะทันหัน ตาเบิกโพลง อ้าปากกว้างหุบไม่ได้เป็นเวลานาน อาไปครึ่งค่อนวันก็ยังไม่สามารถเปล่งคำที่เหลืออีกสองคำออกมาได้ สมองขาวโพลนไปชั่วขณะ ขาทั้งสองข้างอ่อนระทวย นี่คือ…อาจารย์ปู่จริงๆ?!
เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า ฝันแน่นอนเลย ท่านแม่รีบมาดู อาจารย์ปู่ปรากฏตัวแล้วจริงๆ ด้วย!
w(゚Д゚)w
ชายหนุ่มเหลือบตามองไปทางไป๋อวี้ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาคู่นั้นเย็นชาขึ้นมาทันที ถึงแม้สีหน้าจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง แต่บนใบหน้าที่งดงามอย่างไร้ที่ตินั้น กลับเต็มไปด้วยความ…รังเกียจ
อีกทั้งยังเปล่งเสียงไม่พอใจด้วยความเย็นยะเยือก ฮึ! ซื่อบื้อ!
ไป๋อวี้รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจขึ้นมาราวกับถูกแทงยังไงก็ไม่รู้
อาจารย์ปู่หันกลับมามองอวิ๋นเจี่ยว สายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเมื่อครู่เหมือนจะดีขึ้นบ้าง เอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้านามว่าอะไร”
อวิ๋นเจี่ยวถึงได้ดึงสติกลับมาจากใบหน้าของเขา ก่อนจะตอบ “อวิ๋นเจี่ยว”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าเข้าเป็นศิษย์ในสำนักข้าแล้ว ก็ต้องบำเพ็ญฝึกฝนอย่างตั้งใจเพื่อบรรลุทางแห่งธรรมในเร็ววัน” พูดจบก็หมุนมือ ทันใดนั้นตำราสีฟ้าเล่มหนึ่งปรากฏบนมือเขา จากนั้นก็ยื่นมาให้นาง “นี่เป็น ‘คาถาเสวียนซิน’ จงฝึกฝนให้ดี”
อวิ๋นเจี่ยวตะลึงไปสักพัก มองไปยังตำราบนมือเขา แต่ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ กลับเป็นชายแก่ที่อยู่ด้านข้างที่หายใจเข้าดังเฮือก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ตื่นเต้นราวกับจะเป็นลมล้มพับไป
ถ่าย…ถ่ายถ่าย…ถ่ายทอด!
อาจารย์ปู่ถ่ายทอดวิชาให้นางด้วยตัวเอง! ต้องรู้ไว้ว่านอกจากอาจารย์บรรพบุรุษของสำนักต่างๆ แล้ว นางเป็นคนแรกที่อาจารย์ปู่ถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง เจ้าหนูจะโชคดีเกินไปแล้ว
เห็นอวิ๋นเจี่ยวยังคงนิ่ง ชายแก่อยากจะเดินเข้าไปรับแทนนางเสียจริง ผลักนางด้วยความรีบร้อน “นิ่งอยู่ทำไม รีบรับมาสิ!”
อวิ๋นเจี่ยวกลับไม่มีทีท่าจะรับมา นางเงยหน้ามองยังที่อยู่ด้านหน้า คนที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์ได้ น่าจะต้องเป็นคนที่เก่งกาจ เขาอาจจะสามารถส่งนางกลับไปได้
“ตำราเรียนอะไรยังไม่รีบ!” อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้า พร้อมเอ่ยอย่างจริงจัง “อาจารย์ปู่ ฉันมีเรื่อง…ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากให้ท่านช่วยชี้แนะ” เกรงว่าเขาไม่เข้าใจ นางเลยรีบเปลี่ยนวิธีการพูดอีกแบบ
ชายหนุ่มแววตาฉายความประหลาดแวบหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนรับการถ่ายทอดจากเขาแล้วไม่ดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลัง แต่กลับถามเรื่องอื่นแทน แต่พอคำนึงถึงพรสรรค์ที่พอใช้ได้ของนาง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์โง่บางคนที่อยู่ด้านข้างแล้ว เขาก็ไม่ได้โกรธอะไร กลับพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “เรื่องอันใด?”
“วิชาภายในเสวียนเหมิน มีวิชาใดบ้างที่สามารถเปิดอุโมงค์มิติ ข้ามไปยังโลกอีกใบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงได้หรือไม่” เช่นวิชาที่ส่งนางกลับโลก?
“ที่เจ้าพูดหมายถึงคือการก้าวผ่านความว่างเปล่า เดินทางลอดล่องภายในจักวาล?”
“เอ่อ…ประมาณนั้น”
ชายหนุ่มคิ้วขมวด เงียบไปสักพักก่อนตอบ “เท่าที่ข้ารู้ โลกแบ่งออกเป็นสามโลก ได้แก่ เทวโลก ยมโลก มนุษยโลก สิ่งมีชีวิตในแต่ละโลกเวียนว่ายตายเกิด เป็นเช่นนี้ชั่วนิจนิรันดร์ วิชาที่ฝึกฝนให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้มีชีวิตอมตะ แต่ก็จำกัดอยู่ภายในสามโลก ข้าเคยได้ยินว่ายังมีจักรวาลนอกโลกทั้งสาม แต่คิดจะหลุดออกจากทั้งสามโลก ถึงตอนนี้ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีใครสามารถทำได้”
“…” นั่นก็หมายความว่า นางกลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ นางอยากจะตัดมือที่ไปพยุงยายแก่ตอนนั้นเสียจริง นี่คงเป็นการถูกรีดไถที่น่าเวทนาที่สุดในประวัติศาสตร์
“แต่ทางแห่งธรรมมีมากมาย มีวิธีการที่แตกต่างกัน ใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้เลย” อีกฝ่ายเสริม
“อยากเข้าใจซึ่งธรรมแห่งสวรรค์อย่างถ่องแท้ จะต้องฝึกฝนด้วยความตั้งใจ” พูดจบเขาก็ยื่นตำราเล่มนั้นมาให้
ช่างเถอะ กลับไม่ได้ก็กลับไม่ได้ อวิ๋นเจี่ยวคิดดังนั้นถึงจะยื่นมือออกไปรับ พร้อมเอ่ยด้วยความเคยชิน “ขอบคุณ”
ชายแก่ที่ยืนอยู่ด้านข้างร้อนใจยิ่งกว่าเจ้าตัว ใจดวงน้อยเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวว่าอาจารย์ปู่โกรธขึ้นมาเปลี่ยนใจไม่ถ่ายทอดวิชาให้นาง ยิ่งพอเห็นอวิ๋นเจี่ยวทำหน้าไม่เข้าใจ ก็รีบดึงแขนเสื้อของนาง
“ต้องคุกเข่า!” มีรับการถ่ายทอดแบบนี้ที่ไหนกัน แค่ขอบคุณก็จบเรื่อง
อวิ๋นเจี่ยวคุกเข่าตามคำบอก “ขอบคุณท่านอาจารย์ปู่”
“อืม” อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างพอใจ เป็นศิษย์หลานที่ดี
นาทีถัดมาร่างของคนที่ลอยอยู่กลางอากาศค่อยๆ เลือนราง และหายไปในชั่วพริบตา ชั้นบนสุดของเจดีย์มืดลงไปไม่น้อย เหลือเพียงโต๊ะบูชาหนึ่งตัวกับควันของธูปสามดอกที่กำลังลอยขึ้นไปตรงๆ
ชายแก่ตัวอ่อนระทวยราวกับผ่อนคลายลง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้ จนลืมที่จะลุกขึ้น เขาดึงแขนอวิ๋นเจี่ยวที่อยู่ด้านข้าง พร้อมเอ่ยว่า “เจ้าหนู เจ้าเป็นผู้ที่มีวาสนาอย่างมากจริงๆ เพิ่งเข้าสำนัก ท่านอาจารย์ปู่ก็มาปรากฏตัวถ่ายทอดวิชาให้เจ้าด้วยตัวเอง ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ ฮ่าๆ”
อวิ๋นเจี่ยวก้มมองคัมภีร์ในมือถอนหายใจยาว ในเมื่อกลับไปไม่ได้แล้ว หมอผีก็หมอผีเถอะ!
“ข้าจะบอกเจ้าให้เจ้าหนู ‘คาถาเสวียนซิน’ นี่ เจ้าต้องฝึกฝนอย่างตั้งใจนะ ได้ยินว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ท่านอาจารย์จิ้งอู๋แห่งตระกลูปี้ฝึกฝนวิชานี้บรรลุเป็นเทพไปแล้ว ดูท่าอาจารย์ปู่จะฝากความหวังไว้ที่เจ้าอย่างมาก สู้ๆ ! พยายามศึกษาต่อไปภารกิจพัฒนาชิงหยางอันหนักหน่วงนี้มอบให้เจ้า” มันเจ๋งขนาดนี้เลยเหรอ
อวิ๋นเจี่ยวบีบตำราในมือ ทันใดนั้นนึกถึงตำราเรียนแพทย์ราวกับกองพจนานุกรมตอนมหาวิทยาลัย จะว่าไป…ตำราเรียนนี่บางไปหน่อยหรือเปล่า เช่นนี้น่าจะไม่มีความยากอะไรมั้ง