“หมอรักษาพลังลมปราณ…” อวิ๋นเจี่ยวถูนิ้วชี้ขวาของตัวเองไปมา นานมากแล้วที่นางไม่ได้จับมีดผ่าตัด ช่างคิดถึงเสียเหลือเกิน ในเมื่อก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วหรือนางจะลองดู?
“ขอบคุณอาจารย์ปู่” นางมองตำรากองหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ หยิบขึ้นมาพลิกไปพลิกมาหนึ่งเล่ม อืม ตำราพวกนี้น่าจะต้องใช้เวลาอ่านกว่าสองเดือนแล้ว
ไป๋อวี้โล่งอก อีกทั้งเยี่ยยวนก็สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย ฮู…ยังดี รั้งคนทำ (น้ำแกง) ไว้ได้แล้ว
ไป๋อวี้มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่ตั้งใจอ่านหนังสือจนลืมกิน นางยังพลางอ่านไปพลางพูดเสียงเบาด้วยความตื่นเต้นไป ผ่าเส้นเลือดใหญ่บ้าง หลอดเลือดหัวใจโผล่ออกมาบ้าง ผ่าระบบน้ำเหลืองทิ้งบ้าง อีกทั้งเขานั่งใกล้กับนาง สายตาเหลือบไปเห็นเนื้อหาอย่างไม่ตั้งใจ พลังที่ซ่อนอยู่ภายในนำเอาภาพร่างกายมนุษย์ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยเลือดเข้าไปในหัวของเขา
“…” นี่จะให้คนเขากินข้าวอย่างไร ไม่รู้ทำไมเขาก็นึกถึงภาพที่นางกำลังเชือดไก่อยู่ ภายในใจเกิดความรู้สึกเย็นวูบขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “เอ่อ…เจ้าหนู ยังกินข้าวไม่เสร็จเลยนะ!”
“อืม?” อวิ๋นเจี่ยวที่จมลงไปอยู่กับมหาสมุทรแห่งความรู้ได้เงยหน้าขึ้นด้วยความงงงวย
ไป๋อวี้ปากกระตุก พร้อมเอ่ยเตือน “อย่าลืมว่าเจ้าเป็นหญิงสาว”
“แล้ว?” ไม่ใช่ว่าเขาให้นางเรียนเหรอ
“เป็นสาวเป็นนาง ต้องระวัง…”
โครม!
เขายังพูดไม่ทันจบ คนบางคนที่นั่งซดน้ำแกงหมดไปสามถ้วยอยู่ตรงข้ามก็มือไม้อ่อนขึ้นมา ถ้วยในมือหลุดล่วงลงไป พร้อมกับใบหน้าที่จริงจังมาตลอดนั้นเปลี่ยนเป็นซีดขาวขึ้นมา
“อาจารย์ปู่?” เป็นอะไร
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไร” เขาถามด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ฮะ?” ไป๋อวี้ยังไม่เข้าใจที่เขาถาม “อะไร อะไร”
เยี่ยยวนตาเบิกโต พร้อมจ้องมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวที่นั่งอยู่ตรงข้าม สักพักถึงเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “เจ้า…เป็นหญิง?”
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าขึ้นมาจากตำราในที่สุด ก่อนที่จะก้มลงมองไปที่หน้าอกของตัวเอง เอียงคอถาม “ไม่ชัดเจนเหรอ” ไม่ถึง ซี แต่อย่างน้อยก็มี บี นะ!
คนตรงข้ามนิ่งไปทันที ในทันใดนั้นราวกับได้ยินเสียงของความเข้าใจอะไรบางอย่างล่มสลายไปอย่างหมดสิ้น ท่านปรมาจารย์ที่รักษาอาการแสดงออกทางใบหน้าได้อย่างดี แม้แต่ตอนมาขอกินข้าว แต่ตอนนี้หน้ากลับแดงราวกับถูกไฟเผา อีกทั้งมีท่าทีว่าจะแดงขึ้นต่อเนื่อง ทันใดนั้นใบหน้าทั้งหน้าล้วนเป็นสีแดง รวมไปถึงมือที่วางอยู่ข้างลำตัวก็เริ่มสั่นขึ้นมา
อาจเป็นเพราะท่าทีของเขาแปลกไป ทำให้ไป๋อวี้ที่เดิมไม่ค่อยใส่ใจอะไรยังรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ “อาจารย์ปู่ท่านไม่…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นเพียงแต่เงาสีขาวลอยผ่านไป คนที่เดิมยังหน้าแดงก่ำนั้นกลายเป็นก้อนสีขาวลอยผ่านข้างกายออกไปทางประตู รวดเร็วเสียจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
“ยังเหลือน้ำแกง!” อวิ๋นเจี่ยวตะโกนออกมา
แต่ก็ไม่ทันที่จะหยุดร่างของอีกฝ่ายที่หนีออกไป เพียงแต่น้ำแกงที่เหลือไม่ถึงครึ่งถ้วยนั้นลอยขึ้นมาพร้อมกับตามร่างนั้นออกไป
นาทีถัดมา ได้ยินแต่เพียงเสียงของประตูปิดดังโครมขึ้นจากทางเจดีย์สูงภายในอาราม
เหลือเพียงแต่คนที่นั่งนิ่งราวกับหินอยู่สองคน
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ไป๋อวี้ “…”
(⊙_⊙)
สักพัก
“ชายแก่ อธิบายที?”
“ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” ไป๋อวี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย ไม่เข้าใจว่านาทีก่อนอาจารย์ปู่ที่ยังพูดง่าย อยากได้อะไรก็ได้ ทำไมถึงเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน ดูจากท่าทางก็ไม่เหมือนจะโกรธ แต่กลับ…หนีเตลิด? ไม่ๆ ต้องเป็นความเข้าใจผิดของเขาเป็นแน่
อวิ๋นเจี่ยวคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนจะคิดอย่างตั้งใจ “สำนักชิงหยางมีประเพณีไม่รับศิษย์หญิงหรือไม่”
“เหลวไหล” ไป๋อวี้ส่ายหัว ปกติพวกเขาแม้แต่จะรับศิษย์ยังหารับไม่ได้ จะมีกะจิตกะใจที่ไหนที่ไปสนใจว่าเป็นหญิงหรือชาย เป็นคนก็พอแล้ว! “สำนักชิงหยางให้ความสำคัญกับผู้มีพรสวรรค์เสมอ ไม่สนว่าเป็นชายหญิง แต่ว่า…” เขาคิดย้อนไปอย่างละเอียด พร้อมเอ่ยเสริม “ข้าได้ยินอาจารย์เล่าว่า สำนักชิงหยางเมื่อร้อยรุ่นก่อนนั้นคนที่สืบทอดมีแต่ศิษย์ชาย”
อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังทิศทางที่คนบางคนหนีไป มีความคิดบางอย่าง
ในนี้…มีเรื่องเล่า!
——————
อาจารย์ปู่กลับเจดีย์ครานี้ มีกว่าครึ่งเดือนเต็มที่ไม่ออกมา อีกทั้งกิจกรรมกินข้าวที่ชอบมากที่สุดยังยกเลิก ประตูเจดีย์ที่ไม่เคยปิดมาก่อนก็ปิดลง เหลือเพียงแต่ยันต์ที่ส่องแสงสีทองอร่ามอยู่หน้าประตู ไป๋อวี้คิดจะเข้าไปจุดธูปหลายครั้งก็ถูกแสงจากยันต์ผลักออกมา สุดท้ายถึงได้รู้ว่านั่นเป็นยันต์ระดับสวรรค์ ความสามารถของเขาไม่มีแม้แต่ที่จะเข้าใกล้ได้
“เจ้าหนู เจ้าว่าเป็นเพราะว่าข้ากินน้ำแกงเยอะไปตอนกินข้าว ทำให้อาจารย์ปู่ไม่พอใจ ท่านโกรธข้าเลยไม่ให้พวกเราเข้าเจดีย์?” ไป๋อวี้คิดไปคิดมา นึกออกแต่สาเหตุนี้ ไม่งั้นทำไมถึงปิดเจดีย์อย่างกะทันหันกัน เมื่อก่อนไม่ปรากฎตัวก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้
อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้าจากตำรามองเขา เพิ่งจะรู้เรื่องนี้ไม่สายไปหน่อยเหรอ แล้วช่วยวางช้อนแกงในมือลงก่อนค่อยพูดประโยคนี้
“เฮ้อ นี่ก็ครึ่งเดือนแล้ว” ไป๋อวี้ถอนหายใจยาว กว่าเขาจะคุ้นชินกับการนั่งกินข้าวกับอาจารย์ปู่ ตอนนี้ขาดคนร่วมโต๊ะไปหนึ่งคน รู้สึกอาหารมันไม่หอมเหมือนแต่ก่อนแล้ว ทุกวันนี้เขากินข้าวน้อยลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง…สี่ส่วน…สามส่วน…สองส่วน…เอ่อ อย่างน้อยหนึ่งคำ “เจ้าว่าอาจารย์ปู่เป็นอะไรกันแน่”
“อาจารย์ปู่ต้องมีเหตุผลของเขา ท่านจะยุ่งอะไรขนาดนี้” อวิ๋นเจี่ยวพูดเชิงอธิบาย
“พูดมีเหตุผล!” ไป๋อวี้พยักหน้า อาจารย์ปู่เป็นถึงเซียน ใช่ว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะเข้าใจในการกระทำ ดังนั้นเขาจึงตักข้าวเพิ่มให้กับตัวเองอย่างสบายใจ
“จริงสิ นี่ให้ท่าน” อวิ๋นเจี่ยวโยนตำราหนาเล่มหนึ่งให้เขา
“นี่อะไร” ไป๋อวี้ตะลึงไปสักพัก ก่อนจะเห็นบนหน้าปกนั้นเขียนว่า “คำอธิบายอย่างละเอียดของคาถาเสวียนซิน” เขาตาโตขึ้นมาทันที มือก็ไม่วายสั่นขึ้นมา “นี่…นี่ไม่ใช่คาถาเสวียนซินที่ครั้งก่อนอาจารย์ปู่ถ่ายทอดให้เจ้าเหรอ”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “เล่มนี้เป็นฉบับอธิบายที่ข้าเขียนเอง แต่ว่าเนื้อหาหลักเหมือนกัน”
ไป๋อวี้ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ คาถาเสวียนซินเป็นคาถาชั้นสูง ไม่ใช่ว่าขอกันมาได้ “เจ้าหนู เรื่องนี้เจ้าได้พูดกับอาจารย์ปู่แล้ว?”
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า “เล่มนี้ท่านกำชับข้าให้เอาให้ท่าน” เพียงแต่นางได้ปรับแก้มันอีกรอบตอนว่างเท่านั้น
ไป๋อวี้ตื้นตันไปทั่วทั้งใจ ฮือๆๆ…อาจารย์ปู่ยังคงเอ็นดูเขา คิดไปคิดมาก็เริ่มรู้สึกกังวล “แต่…แต่ว่า…ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถซึมซับความลึกล้ำของคาถานี้ได้อย่างถ่องแท้” เมื่อถึงกระนั้นจะทำให้น้ำใจของอาจารย์ปู่เสียเปล่า
อวิ๋นเจี่ยวอึ้งไปสักพัก ก่อนจะวางตำราในมือลง ทั้งที่ใบหน้านั้นยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกว่านางกำลังจะกรอกตาอย่างระอา ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ทราบว่าท่านอ่านหนังสือออกไหม”
“ฮะ? ข้าอ่านหนังสืออกสิ!” ทำไมถึงถาม
“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวหันหน้ามามอง “งั้นก็อ่านเข้าใจ” ตำราเล่มนี้เป็นเล่มที่นางแก้ไขใหม่ เหลือเพียงแต่ระบุพินอินเข้าไปเท่านั้น มีแต่คนสติไม่ดีเท่านั้นถึงจะอ่านไม่เข้าใจ
ไป๋อวี้ สติไม่ดี “…”
ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนดูถูก ต้องคิดไปเองเป็นแน่!