“แม่ซู่เหนียง ในเมื่อเจ้าแก้แค้นสำเร็จแล้ว เหตุใดจึงต้องสร้างบาปกรรมเพิ่ม” อวิ๋นเจี่ยวอดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ฆ่าพวกข้า พลังอาฆาตในตัวเจ้าจะยิ่งมีมากขึ้น สุดท้ายเจ้าจะกลายเป็นวิญญาณพเนจรที่ถูกกลืนกินสติสัมปชัญญะเช่นเดียวกับผีที่อยู่รอบตัวเจ้า ในที่สุดวิญญาณเจ้าก็จะสิ้นสลายไป มีประโยชน์เหรอ”
“กลายเป็นวิญญาณพเนจรแล้วอย่างไร ในเมื่อข้าก็ไม่สามารถกลับตัวได้แล้ว” แม่ซู่เหนียงหัวเราะเสียงเย็น ในเสียงหัวเราะนั้นยังเจือปนไปด้วยความเยาะเย้ยตัวเองเล็กน้อย พลังอาฆาตรอบตัวนางยิ่งทวีคูณมากขึ้น ร่างทั้งร่างราวกับจมอยู่ภายในหมอกสีดำ สายตาเต็มไปด้วยความบ้าบิ่น จ้องเขม็งไปยังคนทั้งสอง “แม่ลูกตระกูลหลี่สมควรตาย คนที่ช่วยเหลือพวกมันก็สมควรตายเช่นกัน!”
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้ว ควักยันต์ออกมาหนึ่งใบ “หากเจ้ายังดื้อดึงเช่นนี้ งั้นพวกข้าจะไม่ปราณีเจ้าอีกต่อไป”
“ฮ่าๆๆๆ …” แม่ซู่เหนียงยิ่งหัวเราะเสียงดังมากขึ้น ไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย สีหน้าที่มองนางเต็มไปด้วยความดูถูก “เจ้าไม่ต้องมาขู่ข้า เจ้าคิดว่าข้าจะหลงกลเจ้าอีกรอบหรือ” นางหัวเราะเสียงเย็นอีกครั้ง ราวกับไม่อยากจะรออีกต่อไป ยกมือขึ้นออกคำสั่ง “ตายซะ!” ผีรอบข้างขยับตัวขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งพรวดมาหาพวกเขา
ไป๋อวี้กลัวจนหน้าซีดเผือด อดไม่ได้ที่จะดึงแขนอวิ๋นเจี่ยว “เจ้าหนู ทำยังไง ถึงแม้จะแสร้งทำให้เหมือนอย่างไร วิธีนี้มันก็ใช้ไม่ได้แล้ว” ที่สำคัญพวกเขาไม่มีทางหนีแล้วด้วย
“ใครบอกว่าข้าแสร้งทำ”
“ฮะ?” ไป๋อวี้ตะลึงงัน
อวิ๋นเจี่ยวมองฝูงผีด้านหน้าราวกับต้องการมั่นใจอะไรบางอย่าง นาทีต่อมายกมือขึ้นพร้อมนำยันต์วิเศษในมือแปะเข้าไปที่เสาด้านข้างของศาลา เขารู้สึกเหมือนมีสายฟ้าผ่าผ่านหน้าไป ก่อนจะสังเกตได้ว่านั่นเป็นยันต์นำสายฟ้าที่เขาวาด
ยังไม่ทันที่จะคิดละเอียด ก็ได้ยินเสียงของสายฟ้าดังขึ้น แต่มันไม่ได้โจมตีไปยังฝูงผี แต่กลับพุ่งตรงมายังน้ำที่อยู่ด้านล่างของศาลา นาทีถัดมาเกิดแสงสีขาวสว่างจ้าพร้อมเสียงราวกับไฟช็อตดังขึ้น ผืนน้ำนั้นเหมือนถูกปูด้วยแหไฟฟ้าไปทั่ว ทำให้ผีที่กำลังจะพุ่งมาหาพวกเขาถูกกระแทกกลับไป
ทันใดนั้นเสียงร้องอันโหยหวนดังขึ้นเป็นระยะ เสียงผีนับร้อยโหยหวนพร้อมกันนั้นดังสนั่น รอบข้างที่เดิมทีเต็มไปด้วยพลังวิญญาณนั้น แตกสลายออกทันทีเมื่อถูกสายฟ้าโจมตี อีกทั้งผีร้ายที่เต็มไปด้วยพลังอาฆาตก็เริ่มล่องลอยขึ้นมา
ไป๋อวี้อึ้งไปเสียสนิท…
เมื่อกี้เจ้าหนูใช้ยันต์นำสายฟ้าใช่ไหม นั่นเป็นยันต์ที่เขาวาดอย่างแน่นอน เมื่อไหร่กันที่เขาก็เก่งกาจได้ถึงเพียงนี้
(⊙_⊙)
ถึงแม้สายฟ้าจะเป็นศัตรูของผี แต่ยันต์นั้นเป็นยันต์นำสายฟ้าที่ขั้นต่ำที่สุด ถึงแม้จะเรียกสายฟ้าได้ แต่ก็เอาไว้ใช้ขู่เท่านั้น ถึงจะโจมตีเข้าที่ตัวผีโดยตรงก็ทำได้เพียงให้พลังของอีกฝ่ายลดลงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งไม่อาจเทียบกับยันต์ที่สามารถชักนำสายฟ้าสวรรค์ได้เลย อีกอย่างยันต์หนึ่งใบสามารถโจมตีผีหนึ่งตัวเท่านั้น ผีที่รวมกันอยู่ตรงนี้มีเป็นร้อยนับไม่ถ้วนด้วยซ้ำ
แต่เมื่อกี้อวิ๋นเจี่ยวใช้ยันต์เพียงใบเดียวก็สามารถจัดการได้ อีกทั้งยังเป็นผีร้าย เขาเดินหน้าขึ้นไปเพื่อที่จะดูยันต์วิเศษบนเสานั้นว่าใช่ใบที่เขาวาดหรือเปล่า
แต่อวิ๋นเจี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับยื่นมือไปรั้ง พร้อมกับตีไปที่มือของเขา “ทำอะไร หาที่ตายเหรอ” ไม่เห็นหรือไงว่าบนเสาพันเต็มไปด้วยลวดเหล็กนำไฟฟ้า อีกทั้งยังช็อตไม่หมดเลย!
“เจ้า…หนู?” ไป๋อวี้มองไปยังผืนน้ำที่ส่งกลิ่นไหม้ แล้วมองไปยังนาง แหไฟฟ้าเมื่อกี้มันอะไรกัน “เจ้า…ทำได้อย่างไร”
อวิ๋นเจี่ยวมองเขา นี่ยังไม่ชัดเจนเหรอ น้ำเป็นตัวกลางนำไฟไง เสียดายที่นางทำเครื่องปั่นไฟแบบง่ายไม่ทัน ไม่งั้นคงจะสบายกว่านี้ คิดได้ดังนั้นนางก็หันไปตบไหล่ของชายแก่ “นี่แหละพลังของวิทยาศาสตร์ ว่างๆ หัดอ่านตำราบ้าง!”
“วิทย์อะไร?” วิทยาศาสตร์เป็นเทพจากไหนหรือเปล่า หรือว่า
เจ้าหนูคิดจะเปลี่ยนสำนัก อาจารย์ปู่ไม่รับปากแน่!!
Σ(°△°|||)︴
แหไฟฟ้าบนผืนน้ำนั้นสลายไปแล้ว พลังวิญญาณที่ลอยอยู่บนอากาศก็สลายไปกว่าครึ่ง อีกทั้งร่างของฝูงผีนั้นเมื่อถูกไฟฟ้าโจมตีก็จางลงไปทีละน้อย แต่แม่ซู่เหนียงกลับไม่ได้ถูกทำร้ายมากนัก นางยังมีสติของตัวเองอยู่ ไม่เหมือนกับผีร้ายตัวอื่นที่หลบไม่เป็น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้นางตกตะลึงไปชั่วครู่ มองไปยังฝูงผีรอบข้างที่ไม่สามารถขยับตัวได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้” พูดจบก็มองไปยังคนทั้งสองที่อยู่ในศาลาด้วยสายตาที่เคียดแค้นมากขึ้น “นักพรตเลว เจ้าตั้งใจหลอกให้พวกข้ามาที่นี่!”
ทันใดนั้นไป๋อวี้ก็เข้าใจทันที เจ้าหนูต้องตั้งใจเป็นแน่ นางอยากจะใช้ยันต์นำสายฟ้าที่ตรงนี้ตั้งแต่แรก เพียงแต่ผีที่มานั้นมีมากเกิน พวกเขามียันต์เพียงสองใบ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีผีตกหล่น ถึงได้แสร้งทำเป็นหลบอยู่ในห้องลับของหอเก็บตำรา เพียงเพื่อต้องการหลอกล่อฝูงผีมาที่นี่
ยันต์ที่แปะไว้ตามทางที่มา ก็เพื่อให้พวกเขามีเวลามากพอที่หนีเข้าศาลานี้ได้
เขามองไปยังผีสาวที่กำลังโกรธ ทันใดนั้นก็ไม่รู้สึกกลัวแล้ว เขาเดินขึ้นหน้าพร้อมเอ่ย “เจ้านั่นแหละที่เลว เลวทั้งบ้าน!”
“เจ้า…” ผีสาวไม่คิดว่าเขาจะกล้าต่อปากต่อคำ ทันใดนั้นโกรธจนปากเบี้ยว พร้อมกับกลายร่างเป็นหมอกดำและพุ่งมายังพวกเขาสองคนโดยตรง “ข้าจะฆ่าพวกเจ้า!”
“เจ้าคิดว่าพวกข้ากลัวเหรอ!” ไป่อวี้พูดด้วยความเหยียดหยาม สีหน้าไม่แม้แต่จะหวาดกลัว แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม เขาหลบไปข้างหลังอวิ๋นเจี่ยวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับชี้ไปยังผืนน้ำเอ่ย “เจ้าหนู ผ่านาง!”
“…” เขาปัญญาอ่อนหรือเปล่า อวิ๋นเจี่ยวมีความรู้สึกอยากถีบเขาลงน้ำในทันใด หันไปจ้องเขม็งใส่เขา อย่าหาเรื่องสิชายแก่! เหลือยันต์เพียงใบเดียวเท่านั้นแล้ว นางควักยันต์นำสายฟ้าใบสุดท้ายออกมาอย่างรวดเร็ว
แม่ซู่เหนียงหยุดลงในทันที ก่อนจะถอยกลับไปยังริมสระ ไม่กล้าเข้าใกล้ผืนน้ำอีก สีหน้าหวาดกลัวมองไปที่ยันต์ในมือของนาง เหมือนกับจะเดาได้ว่ายันต์บนมือของอีกฝ่ายจะมีผลเมื่ออยู่บนผืนน้ำเท่านั้น แต่ศาลานั้นอยู่กลางสระ นางไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย
หากรอต่อไป ราตรีจะล่วงผ่านไปแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ออกมา อารามซึ่งเป็นสถานที่ที่พลังสะอาดรุ่งโรจน์มากที่สุด พวกเขาไม่ต้องทำอะไร นางก็ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อได้
ผีสาวยิ่งโกรธมากขึ้น ดวงตาแดงราวกับมีเปลวไฟลุกโชน พลังอาฆาตบนตัวยิ่งมากขึ้น ราวกับนึกอะไรได้ ก่อนที่จะหัวเราะขึ้นมา “พวกเจ้าคิดว่าหลบอยู่กลางสระ ข้าก็จะไม่มีวิธีแล้วหรือ”
อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้นมีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้น
ผีสาวหัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในเสียงนั้นเจือปนไปด้วยความเวทนาบางส่วน มุมปากยกขึ้นข้างหนึ่ง เป็นการยิ้มที่แปลกประหลาด ก่อนจะเอ่ย “ถ้ำผีสาว ไม่ได้มีเพียงผีร้าย…”
ทันทีที่นางพูดจบ เสียงร้องไห้เล็กแหลมก็ดังขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงที่แปลกประหลาด เสียงนั้นดังมาก แม้จะเป็นเสียงที่ไม่มีรูปร่าง แต่ราวกับเข็มเหล็กทิ่มแทงเข้าที่หู
ทั้งสองคนรู้สึกปวดหูขึ้นมาพร้อมกับยกมืออุดหูเอาไว้ทันที แต่เสียงนั้นกลับยิ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยเสียงโครมครามราวกับมีอะไรทะลุขึ้นมาจากพื้นดิน ทำให้พื้นดินสั่นไหวเป็นระยะ เห็นเพียงแต่ด้านหลังของแม่ซู่เหนียงนั้นปรากฏเมฆสีเลือด พุ่งขึ้นไปบนฟ้า กลุ่มเมฆนั้นราวกับคลื่นสีแดงกำลังจะซัดเข้ามา
มองลึกเข้าไป ถึงได้เห็นว่าในคลื่นเลือดนั้นมีใบหน้าเล็กที่บิดเบี้ยวอยู่มากมาย ช่างเหมือนกับ…ทารกที่เพิ่งคลอด