ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด – ตอนที่ 54 เลื่อนระดับข้ามชั้น

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ปีศาจงูออกจากผนึกจนกระทั่งกลายเป็นเถ้าถ่านไปใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งดอกธูปด้วยซ้ำ ฝั่งเจ้าสำนักสวียังไม่ทันได้มีเวลาตอบสนองแต่อย่างใด เรื่องทั้งหมดก็จบลงไปแล้ว ทั้งสามคนยังคงไม่อยากเชื่อว่าปีศาจงูที่คล้ายกับระเบิดเวลา คอยกวนใจสำนักเทียนซือเป็นเวลากว่าสามร้อยปี จะ…ไม่…ไม่มีแล้ว?!  

 

 

(⊙_⊙)  

 

 

เหตุผลที่บรรพบุรุษเมื่อสามร้อยปีก่อนทำเพียงแค่ปิดผนึกแต่ไม่ฆ่าปีศาจงูน้ำตัวนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขามีความกังวลอย่างอื่น แต่เป็นเพราะไม่อาจฆ่ามันได้ ปีศาจงูน้ำไม่มีรูปร่าง วิชาใดก็ไม่สามารถโจมตีมันได้ เพราะว่าโจมตีไปก็ไม่โดนร่างจริงของมัน จึงทำได้เพียงปิดผนึกมันเอาไว้  

 

 

แต่ตอนนี้…  

 

 

เจ้าสำนักสวีมองไปยังตรงกลาง เมื่อปีศาจงูน้ำตายไป ข่ายพลังบริเวณรอบด้านของมันก็ดับลงไปด้วย เหลือเพียงแค่เสาน้ำแข็งสีเลือดที่ยังคงไม่หายไป และยังคงรับรู้ได้ถึงกลิ่นของพลังปีศาจ…พลังของปีศาจงูน้ำ!  

 

 

เขาพอจะเดาได้ว่าในข่ายพลังกำจัดมารนั้นยังเพิ่มสิ่งอื่นเข้าไปด้วย เป็นข่ายพลังที่สร้างมาจากพลังของปีศาจงูน้ำ  

 

 

ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำร้ายปีศาจงูน้ำได้ก็จริง แต่ตัวมันเองทำได้! ดังนั้นเสาเลือดพวกนี้ถึงได้โจมตีโดนมันภายในครั้งเดียว ทำให้ปีศาจงูน้ำกลายเป็นรังผึ้งไปเรียบร้อย  

 

 

ข่าย…ข่ายพลังกำจัดปีศาจเช่นนี้ก็ได้!  

 

 

(๑°ㅁ°๑)  

 

 

เจ้าสำนักและพ้องเพื่อนต่างตกตะลึง  

 

 

“ผู้คุมสอบ ส่งข้อสอบ” อวิ๋นเจี่ยวยกมือขึ้นเป็นการแสดงว่าสอบเสร็จแล้ว แต่พบว่าสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้างยืนนิ่งไป ดังนั้นจึงทำการเรียกอีกหลายครั้ง “ผู้คุมสอบๆ…”  

 

 

นางเรียกอีกหลายครั้ง ก็ยังเห็นทั้งสามคนยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร พลันนึกไปถึงขั้นตอนในการสอบว่าผู้คุมสอบอาจไม่สามารถสนทนากับผู้สอบได้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเที่ยงธรรม  

 

 

การสอบของสำนักเทียนซือช่างเป็นมืออาชีพ นางถอนหายใจและไม่ได้ถามอะไรต่อ ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “งั้นข้ากลับไปรอคะแนนสอบออกแล้วกัน” พูดจบก็ไม่รีรอ หันหลังเดินไปทางด้านนอกเตรียมออกจากสนามสอบ  

 

 

เห็นอีกฝ่ายกำลังจะหายลับเข้าไปในทางเดิน ทั้งสามคนถึงได้ดึงสติกลับมา โดยเฉพาะเจียวเหิงอี เขาตะโกนขึ้นมาว่า “เดี๋ยว!” ก่อนจะหันหน้าไปหา สวีชิงเฟิง พร้อมเรียกเสียงดังราวกับต้องการเตือน “ท่านเจ้าสำนัก!”  

 

 

เจ้าสำนักสวีก็ได้สติกลับมา รีบเดินหน้าไปรั้งคนเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน เจ้าหนู…ไม่ ท่านสหาย”  

 

 

เขาประสานหมัดและโค้งคำนับให้อวิ๋นเจี่ยว ข้อสงสัยเกี่ยวกับวิชาด้านข่ายพลังของนางในสนามสอบรอบแรกนั้น ได้สลายไปจนหมดสิ้นภายใต้ข่ายพลังกำจัดปีศาจแล้ว นั่นเป็นถึงข่ายพลังกำจัดปีศาจ อย่าว่าแต่เห็นเลย ได้ยินยังไม่เคยได้ยิน อีกทั้งยังใช้พลังปีศาจของอีกฝ่ายในการสร้างข่ายพลังอีก  

 

 

ที่สำคัญคือ นางเปลี่ยนจากข่ายพลังปิดผนึกเป็นข่ายพลังกำจัดปีศาจได้อย่างไรกัน  

 

 

ข่ายพลังสามารถใช้การคำนวณได้ แต่ว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบพวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน  

 

 

ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถมองนางให้เป็นคนธรรมดาที่มาขึ้นทะเบียนได้แล้ว เพียงแค่ฝีมือด้านข่ายพลังของนาง ก็ไม่แพ้ให้กับท่านอาวุโสในสำนักเทียนซือแม้แต่น้อย ทันใดนั้นสายตาที่ทั้งสามคนมองไปยังนางนั้นลุกวาว  

 

 

โดยเฉพาะเจียวเหิงอี เขาเดินขึ้นหน้าพร้อมเอ่ยอย่างรีบร้อน “ท่านสหาย จะรีบไปไหนกัน วันนี้มีเวลาว่างหรือไม่” มาหารือเกี่ยวกับข่ายพลังด้วยกัน  

 

 

“อ่อ ข้าต้องกลับไปเตรียมตัวสอบรอบที่สาม” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ยตอบ  

 

 

“เห้ย! ยังสอบอะไรอีก” เมื่อนางพูดจบ ท่านอาวุโสเฉินที่อยู่ด้านข้างรีบออกเสียง “ความสามารถในด้านข่ายพลังของท่านสหาย อย่าว่าแต่ได้เลื่อนขั้นไปถึงดอกไม้เลย เลื่อนไปเป็นพระจันทร์ก็ไม่มีปัญหา” พูดจบเขาก็หันไปมองเจ้าสำนักสวีด้านข้างเป็นเชิงถาม  

 

 

การจัดอันดับสอบขึ้นทะเบียน มีเพียงเทียนซือระดับเสวียนและระดับจักรพรรดิ หรือเทียนซือระดับเหรียญทองแดงและระดับดอกไม้เท่านั้น ส่วนการเลื่อนขั้นไปเป็นพระจันทร์นั้นต้องได้รับการยินยอมจากท่านอาวุโสทั้งหมดในสำนักเทียนซือเท่านั้น  

 

 

แต่ว่าตอนนี้…  

 

 

เจ้าสำนักสวีมองไปยังรอบด้าน ขนาดปีศาจงูน้ำยังกำจัดได้ ยังมีอะไรต้องลังเลอีก ดังนั้นจึงพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของท่านอาวุโสเฉิน “ท่านอาวุโสเฉินพูดถูก วิชาของท่านสหายทำให้พวกข้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าอาจารย์ของท่านสหายเป็นใคร มาจากสำนักไหน”  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวผงะไป ทันใดนั้นไม่เข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไร แต่ก็ยังตอบคำถามกลับไป “ข้าเป็นศิษย์ของสำนักชิงหยาง อาจารย์ของข้าคือ…เทพเจ้ากว่างจี้แห่งชิงหยาง”  

 

 

เมื่อนางพูดจบทั้งสามคนนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับไม่คิดว่านางจะตอบเช่นนี้ สักพักเจ้าสำนักสวีถึงได้พูดด้วยสีหน้าว่า “เจ้าอย่าล้อเล่น” ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสหายไม่สะดวกจะบอกก็ไม่เป็นไร”  

 

 

“…” เอ๊ะ! นางพูดไปแล้วไง  

 

 

“ท่านอาวุโสเฉินพูดถูก ท่านสหายมีวิชาเก่งกาจ การสอบขึ้นทะเบียนก็ไม่ต้องไปแล้ว หากมีเวลาว่าง ตามพวกข้าไปที่ตำหนักใหญ่พบกับท่านอาวุโสทั้งหลายดีกว่า” ข่าวดีของปีศาจงูน้ำถูกกำจัดต้องรีบบอกให้ทุกคนได้รู้  

 

 

“ไม่สอบแล้ว?” อวิ๋นเจี่ยวนิ่งอึ้งไป ก่อนจะถาม “ข้าทำผิดอะไรหรือ” นางมีความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่ใช่ส่งข้อสอบแล้วเหรอ ทำไมถึงตัดชื่อนางออก เมื่อนึกย้อนไปถึงเนื้อหาของข้อสอง ก็ไม่มีปัญหาหนิ นางก็ทำครบหมดแล้วนะ  

 

 

“ไม่ๆ ๆ !” เจ้าสำนักสวีรีบส่ายหัว ทำผิดอะไรกันที่ไหน ทำถูกต้องอย่างมากต่างหาก “ท่านสหายแก้ข่ายพลังกำจัดปีศาจ ช่วยสำนักเทียนซือแก้ไขปัญหาใหญ่ได้อย่างมาก นี่เป็นเรื่องโชคดีของสำนักเรา อีกทั้งก็เป็นความโชคดีของผู้คนในยุทธภพ จะเรียกว่าผิดได้อย่างไร”  

 

 

“งั้น…” ทำไมถึงตัดสิทธิสอบของนาง  

 

 

“ไม่คุ้นหน้าท่านสหาย คาดว่าท่านคงตั้งใจฝึกฝนไม่ถามเรื่องทางโลก ดังนั้นตอนนี้ถึงเพิ่งได้มาขึ้นทะเบียนที่สำนักเทียนซือ” เจ้าสำนักสวีอธิบายเสียงทุ้ม “ท่านสหายคงไม่รู้ การสอบขึ้นทะเบียนนี้ สำหรับศิษย์ระดับขั้นเหรียญทองแดงเท่านั้น ถึงแม้จะผ่านการทดสอบ อย่างมากก็เป็นได้แค่เทียนซือระดับหนึ่งดอกไม้”  

 

 

“ข้า ไม่ได้เหรอ” นางตกใจ หรือว่าเป็นเพราะไม่มีเส้นชีพจรเสวียนจึงไม่อาจขึ้นทะเบียนได้ แต่พวกท่านก็ไม่เคยบอกนะ  

 

 

“ไม่ใช่แน่นอน!” เจ้าสำนักสวีส่ายหัวอย่างขบขัน ทำไมนางถึงคิดเช่นนี้ “พวกข้าแค่รู้สึกว่า ไม่ว่าจะเทียนซือระดับเหรียญทองแดง หรือเทียนซือระดับหนึ่งดอกไม้ อาจไม่พอกับท่านสหาย สำหรับอันดับที่แน่นอน ต้องขอให้ท่านสหายไปหารือกับท่านอาวุโสกับพวกข้าด้วยกันที่ตำหนักใหญ่”  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวตะลึง กวาดตามองทั้งสามคนที่แสดงสีหน้ายิ้มแย้ม ทันใดนั้นในหัวก็ปรากฏเสียงเตือนภัยขึ้นมา คิดแล้วคิดอีกถึงได้เดาออกว่า  

 

 

อ่อ…เข้าใจแล้ว นี่ต้องเป็นข้อสอบเพิ่มเติมแน่เลย!  

 

 

(* ̄︿ ̄)  

 

 

อาจารย์ปู่เคยบอกไว้ว่า ผู้ที่ฝึกฝนทางเต๋าสำคัญอยู่ที่จิตใจ หลายคนที่ฝึกแล้วไม่มีความพัฒนาเป็นเพราะว่าจิตใจไม่ดี เกิดเป็นมารใจ  

 

 

ดังนั้นผู้คุมสอบที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาทั้งสามคนนี้ แท้จริงแล้วไม่ได้มาเพิ่มความยากในการสอบ แต่มาเพื่อทดสอบจิตใจต่างหาก อืม บอกว่าไม่ต้องสอบรอบที่สาม และสามารถกระโดดข้ามชั้นได้อะไรกัน จะต้องเป็นหลุมพรางในการทดสอบเป็นแน่  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวเข้าใจในทันที การทดสอบของสำนักเทียนซือไม่อาจดูถูกได้จริงๆ ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว  

 

 

ดังนั้นนางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ใช้สีหน้าที่จริงจังขึ้นมามากกว่าเวลาปกติ ก่อนจะปฏิเสธพวกเขาอย่างแน่วแน่  

 

 

“ไม่ต้อง ข้าตัดสินใจจะทำตามขั้นตอนการสอบปกติ รักษาหลักการยุติธรรม เปิดเผย เที่ยงตรงในการสอบ ข้ามีความมั่นใจที่จะผ่านการทดสอบรอบที่สาม ขอบคุณ!”  

 

 

พูดจบก็ไม่รอทั้งสามคนตอบกลับ เดินหันหลังเข้าทางเดินถอยออกจากสนามสอบไป  

 

 

เจ้าสำนักสวี “…”  

 

 

ท่านอาวุโสเจียว “…”  

 

 

ท่านอาวุโสเฉิน “…”  

 

 

ทั้งสามคนสีหน้างงงวย  

 

 

ยังจะไปสนามสอบรอบที่สามอะไรกัน?  

 

 

คนที่ข่ายพลังได้คะแนนเต็ม ยังจะไปเข้าร่วมการทดสอบขึ้นทะเบียน มันไม่เป็นการรังแกเด็กหรือไง!  

 

 

ในเมื่อนางไม่ยอม พวกเขาก็ไม่อาจรั้งได้ ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่พบหน้ากัน ทั้งสามคนสบตากัน ก่อนที่นักข่ายพลังอย่างเจียวเหิงอีจะอธิบายเสียงเบา “บางที…นักข่ายพลังจะมีนิสัยประหลาดไปบ้าง…ใช่หรือไม่”

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด อวิ๋นเจี่ยว ศัลยแพทย์ปริญญาเอกจากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงคราวต้องกุมขมับเมื่อทำดีกลับไม่ได้ดี ช่วยเหลือคนแก่ที่หกล้มกลับโดนรีดไถและสาปแช่งให้เห็นผี! ยังไม่พอยันต์ที่ยายแก่คนนั้นสาปเธอยังทำให้เธอทะลุมิติไปยังโลกยุคโบราณและโดนล่อลวง (?) ให้เข้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าที่ทำหน้าที่ปราบปีศาจผดุงคุณธรรมอีกด้วย เล่าลือกันว่าท่านปรมาจารย์เจ้าสำนักอารามชิงหยางนั้นสำเร็จเป็นเซียนและโบยบิน ขึ้นสวรรค์ไปเมื่อหลายแสนปีก่อน แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงเงาร่างหล่อเหลาเปล่ง รัศมีเจิดจ้าที่กำลังนั่งเล่นควันธูปอยู่นี่คือใครกันเล่า?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset