สายตาของอวิ๋นเจี่ยวมืดลง นางเปลี่ยนมือจับชีพจร อีกทั้งยังตรวจดูสีหน้าและตำแหน่งที่บาดเจ็บของอีกฝ่าย
“เจ้าหนู เป็นยังไงบ้าง” เมื่อเห็นว่านางไม่พูดอะไร ชายชราก็ถามขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวชักมือกลับ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่เป็นไร! พลังมารไม่ได้เข้าไปในชีพจรของเขา ใช้ยันต์ชำระล้างก็สามารถขจัดพลังที่หลงเหลือรอบตัวเขาได้”
“อ่อ” ชายแก่พยักหน้า ไม่ได้เข้าไปในชีพจรก็ดีแล้ว ไม่งั้นคงแย่แน่
ไป๋อวี้หยิบยันต์ชำระล้างออกมาหนึ่งใบ ก่อนจะท่องคาถา ต่อมายันต์ก็ลุกไหม้ขึ้น ในขณะเดียวกันแสงสีขาวหนึ่งก็กวาดไปยังนายน้อยฉี พลังสีเขียวจางๆ รอบตัวเขาหายไปในทันที สีหน้าที่ขาวซีดของอีกฝ่ายดีขึ้นมาไม่น้อย อีกทั้งลมหายใจที่แทบจะขาดไปก็นิ่งลง
“ท่าน? ท่านเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือไม่” หญิงสาวด้านข้างเดินขึ้นหน้า ก่อนจะถามอย่างกังวล
“ดีขึ้นมากแล้ว” นายน้อยฉีสีหน้าดีใจ “ข้ารู้สึกว่าร่างกายเบาลงไม่น้อย ขอบคุณเทียนซือทั้งสาม!”
หญิงสาวท่านนั้นก็รีบขอบคุณ “ขอบคุณอย่างมากที่ช่วยสามีข้า”
“นายหญิงน้อยฉีไม่ต้องเกรงใจ” ชายชราทำท่าจะประคอง ก่อนจะพูดว่า “พลังมารบนตัวนายน้อยฉีแม้จะกำจัดไปแล้ว แต่ร่างกายของเขายังไม่ฟื้นกลับสู่สภาพเดิม ต้องรักษาให้ดี”
หญิงสาวตอบรับ
“ในเมื่อหายป่วยแล้ว เช่นนั้นก็มาพูดเรื่องปีศาจตัวนั้นกันเถอะ?” อวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น กวาดตามองนายน้อยฉีบนเตียงที่สีหน้ายังเหมือนคนป่วย “ท่านเป็นอะไรกับปีศาจตัวนั้น”
“อะไรนะ!” เมื่อนางพูดจบ คนในห้องก็หันหน้ามามองนางพร้อมกัน หมายความว่าอะไร
แม้แต่นายน้อยฉีก็ผงะ ดวงตาของเขามีอะไรบางอย่างแวบผ่านไป ก่อนจะตอบออกมาด้วยสีหน้างุนงง
“เทียนซือ…หมายถึงอะไร เป็นอะไรคืออะไร ข้าไม่รู้…”
อวิ๋นเจี่ยวยังไม่ทันได้ตอบ นายหญิงฉีที่มีทีท่าอ่อนโยนนั้นกลับโมโหขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากขอบเตียง ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคือง “เทียนซือหมายความว่าอะไร” นางมองอวิ๋นเจี่ยวด้วยความไม่พอใจ “ท่านสงสัยว่าสามีข้าร่วมมือกับปีศาจเช่นนั้นเหรอ”
“เทียนซือ…ต้องระวังคำพูดนะ” หัวหน้าหมู่บ้านก็รีบเอ่ยปาก “นักบุญฉีจะมีความสัมพันธ์กับปีศาจได้อย่างไรกัน หากไม่ใช่ปีศาจตัวนั้น เขาจะถูกพลังมารจนเกือบตายได้อย่างไรกัน!”
“ถูกพลังมารเป็นเรื่องจริง แต่คงจะไม่ใช่ในเร็ววันนี้” อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังคนที่อยู่บนเตียง นางไม่อยากจะเถียงกับพวกเขา “หากข้าทายไม่ผิด บริเวณแขนขวาของนายน้อยฉี ตอนนี้คงจะมีตราผนึกสีแดงอยู่”
เมื่อนางพูดจบ นายหญิงฉีที่สีหน้าโกรธเคืองอยู่เมื่อครู่ก็ผงะไป ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ส่วนนายน้อยฉีก็สีหน้าซีดไป ก่อนจะหดมืออย่างไม่รู้ตัว
“ตราผนึกนั้นเป็นวงกลม หากตั้งใจดูจะเห็นคำว่าสัญญา นั่นคือตราผนึกของเผ่ามาร” อวิ๋นเจี่ยวไม่สนใจสีหน้าของทั้งสองคน นางยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตราผนึกนี้เป็นตราผนึกที่สัญญาว่าจะร่วมเป็นร่วมตาย เผ่ามารจะไม่สัญญากับใครง่ายๆ ยกเว้นเสียแต่ว่าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะแบ่งปันชีวิตกับอีกฝ่าย ดังนั้นนี่จึงเป็นสัญญาแต่งงานของเผ่ามารเช่นกัน!” ตอนนั้นราชามารก็ปิดผนึกไว้บนแขนของนาง ก่อนจะถูกอาจารย์ปู่ดึงออกมา
ตอนที่นางจับชีพจรของเขาก็รู้ในทันที ร่างกายของเขามีพลังที่ไม่ใช่ของเขาอยู่ พลังนั้นอ่อนแอมาก หากไม่สังเกตก็คงไม่รับรู้ พลังนั้นหล่อเลี้ยงชีพจรของเขาเอาไว้ แต่ที่เขาป่วยไม่ได้เป็นเพราะพลังมาร แต่เป็นเพราะผนึกสัญญา
นางพอจะดูออกว่าพลังของผนึกสัญญานี้ทำให้ชีวิตในร่างกายของเขาสูญสลาย นั่นก็หมายความว่าผนึกสัญญานี้เกิดผลขึ้นครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะคนที่ลงผนึกให้เขาได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ เช่นนั้นเวลาก็ตรงกับเทียนซือที่หายตัวไปครั้งก่อนได้
“นาย…นายน้อยฉี ที่เทียนซือพูดเป็นเรื่องจริง?” หัวหน้าหมู่บ้านถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตามองไปยังแขนขวาของนายน้อยฉี หากเขารู้จักปีศาจนั้นจริง เช่นนั้นเด็กในหมู่บ้าน…เขาไม่กล้าคิดต่อ ก้าวถอยหลังออกไปอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านพูดเหลวไหล!” นายหญิงฉีจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นเจี่ยว ทำท่าราวกับจะโจมตีนาง “สามีข้าจะมีสัมพันธ์กับปีศาจได้อย่างไร ท่านอย่ามาพูดจาใส่ร้ายคนอื่นเช่นนี้!”
“ใช่หรือไม่ใช่ ท่านให้เขาเปิดแขนเสื้อออกมาดูเถอะ!” อวิ๋นเจี่ยวพูด
“ท่าน…” นายหญิงฉีหน้าขาวซีด นางยืนบังอยู่หน้าเตียง จะหลบก็ไม่ใช่ จะไม่หลบก็ไม่ใช่
“ช่างเถอะ” สักพัก นายน้อยฉีที่อยู่ด้านหลังถอนหายใจออกมาหนึ่งที เขาเอื้อมมือลากนายหญิงฉีออก ก่อนจะพูดขึ้น “ข้ารู้จักปีศาจนั้นจริง”
“ท่าน!” นายหญิงฉีตะโกนออกมา
หัวหน้าหมู่บ้านก็ทำสีหน้าตกใจ
“ช่างเถอะ มาถึงตอนนี้ พวกเราไม่พูดก็ไม่ได้แล้ว” นายน้อยฉีหันไปส่ายหัวให้ภรรยา จากนั้นหันมามองทุกคนก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องจริงคือ ข้ารู้จักกับปีศาจตัวนั้นบ้าง แต่ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะก่อเรื่องที่เลวร้ายขนาดนี้”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งทีก่อนที่จะขมวดคิ้วมุ่น สักพักถึงได้พูดขึ้น “เมื่อสามปีก่อน ข้าพบกับมันที่โรงเรียนเมืองลั่ว ตอนนั้นข้ากำลังเรียนหนังสืออยู่ และคิดว่านางจะเป็นหญิงสาวธรรมดาเท่านั้น บังเอิญวันนั้นฝนตกหนัก ข้าจึงให้นางยืมร่มไป ไม่คิดว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางจะตามติดข้า มาหาข้าถึงบ้านบอกว่าจะแต่งงานกับข้า”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะมองภรรยาที่อยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกผิด แล้วพูดต่อ “แต่ว่าข้ากับเหมียนเอ๋อได้หมั้นกันแต่ก่อนแล้ว ไม่สามารถแต่งงานกับคนอื่นได้ ดังนั้นข้าจึงปฏิเสธนางไปทุกครั้ง นางจึงโกรธและบอกว่าจะทำให้ข้าเสียใจ จากนั้นนางก็หายไป…”
อวิ๋นเจี่ยวหน้าดำลง ทันใดนั้นก็นึกถึงหนังสือแต่งงานฉบับนั้นขึ้นมา ความสัมพันธ์ชายหญิงในเผ่ามารมันต้องแย่ขนาดไหน พวกเขาถึงได้มาบังคับให้เผ่าพันธุ์อื่นไปแต่งงานด้วย? อืม ต้องเป็นเพราะว่าราชามารเป็นแน่ ไม่เป็นแบบอย่างที่ดี ทำให้ราษฎรของเผ่าตัวเองก็แย่ไปด้วย
“จากนั้นข้ากลับมาในหมู่บ้าน แต่งเหมียนเอ๋อเข้าบ้าน และไม่เคยเจอหน้านางอีกเลย ข้าคิดว่านางจะยอมละทิ้งความคิดนี้แล้ว” คิ้วของเขาขมวดหนักขึ้น ราวกับนึกถึงเรื่องที่น่ากลัวบางอย่างขึ้นมาได้ หยุดนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดขึ้น “จนกระทั่งช่วงนี้ที่มีปีศาจปรากฏตัวในหมู่บ้าน ข้าได้เจอนางโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง ถึงได้พบว่านางก็คือปีศาจตัวนั้น ก่อนหน้านี้…ข้าไม่รู้จริงๆ”
สีหน้าของทุกคนดีขึ้นมาเล็กน้อย หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจยาว “เวรกรรม สงสารเด็กในหมู่บ้านพวกนั้น ปีศาจนี้มันช่างโหดร้าย!”
นายน้อยฉีมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวแล้วพูดว่า “เทียนซือ นางมาเพื่อแก้แค้นข้า ข้าตายไม่เป็นไร แต่ว่าเด็กในหมู่บ้านกับเหมียนเอ๋อ…” เขาจับแขนคนข้างตัวแน่น ก่อนจะร้องขออย่างจริงใจ “พวกเขาล้วนบริสุทธิ์ ข้าขอร้อง ท่านช่วยพวกเขาทีเถอะ”
คิ้วของอวิ๋นเจี่ยวขมวดเข้าหากัน นางรู้สึกว่ามีบางอย่างประหลาดแต่ก็ยังตอบกลับว่า “เรื่องนี้ท่านไม่ต้องพูด พวกข้ามาที่นี่ก็เพราะเหตุนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าปีศาจนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“เรื่องนี้…ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าน่าจะอยู่หลังเขาของหมู่บ้าน เทียนซือที่มาเมื่อหลายวันก่อนก็หายไปจากตรงนั้น” นายน้อยฉีอธิบาย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ!”
เขาหันมองภรรยา ก่อนจะพูดว่า “เหมียนเอ๋อ เจ้าเอากล่องที่หน้าตู้มา”
นายหญิงฉีหยิบออกมาตามคำสั่ง เขารับมาก่อนจะส่งต่อให้อวิ๋นเจี่ยว “เทียนซือ ของสิ่งนี้เป็นของปีศาจตัวนั้น ข้าว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อพวกท่าน”
อวิ๋นเจี่ยวรับมาแล้วเปิดออก พบว่าด้านในมีหยกอยู่ชิ้นหนึ่ง ไม่ใหญ่แต่มีความประณีต
“ของที่นางให้เจ้าเป็นคำมั่นสัญญารัก?” นางโบกหยกชิ้นนั้นไปมา
สีหน้าของนายน้อยฉีเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบอธิบายว่า “นางยัดให้ข้า!”
“ได้” อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ถามต่อ นางส่งหยกชิ้นนั้นไปให้ชายชรา “งั้นพวกเราไปดูที่หลังเขาก่อน”
พูดจบก็ไม่รีรอ หันหลังเดินออกจากจวนตระกูลฉี บอกลาหัวหน้าหมู่บ้านที่นำทาง ก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นเขาไป
Related