อวิ๋นเจี่ยวตื่นมาวันที่สอง ก็ได้รับข่าวสารจากเจ้าสำนักสวี คนที่นอนสลบอยู่เหล่านั้นได้ถูกนำมายังสำนักเทียนซือแล้ว อวิ๋นเจี่ยวก็ไม่ได้รีรอ กำชับไป๋อวี้ ก่อนจะออกเดินทางไปสำนักเทียนซือ
“สหายอวิ๋น!” สวีชิงเฟิงเฝ้ารออยู่บริเวณข่ายพลังขนส่งอยู่แล้ว เมื่อเห็นอวิ๋นเจี่ยวปรากฏตัวขึ้น สีหน้าแสดงออกถึงความดีใจก่อนจะเดินเข้ามาต้อนรับ จากนั้นกวาดตามองนางขึ้นลง พร้อมถามออกมาอย่างกังวล “เมื่อวานสหายไป๋อวี้บอกว่าท่านไม่สบาย กำลังรักษาตัวอยู่ ตอนนี้ท่านดีขึ้นแล้วหรือไม่”
รักษาตัว? เมื่อวานนางเพิ่งได้รับเส้นชีพจรเสวียน จากนั้นก็ทำอาหารทั้งบ่าย มีตรงไหนเหมือนกำลังรักษาตัว อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าดำลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “อืม ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณ! คนป่วยอยู่ไหน”
เจ้าสำนักสวีเดินหลบไปด้านข้างก้าวหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “อยู่ในตำหนักด้านข้าง สหายอวิ๋นตามข้ามา”
ทั้งสองคนเดินไปทางขวา ไม่ถึงชั่วครู่ก็ถึงตำหนักด้านข้าง ภายในตำหนักวางเตียงที่สร้างขึ้นอย่างง่ายด้วยแผ่นไม้อยู่สี่ห้าแถว ด้านบนล้วนมีคนนอนอยู่ ดูท่าทางสงบอย่างมาก แต่เมื่อตั้งใจฟัง จะได้ยินเสียงลมหายใจของพวกเขานั้นเบาบางอย่างยิ่ง ราวกับคนป่วยที่นอนหายใจรวยริน เมื่อนับดูแล้วคนที่นอนอยู่มีมากถึงสามสิบกว่าคน
ทำไมมีมากเช่นนี้
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้คิดอะไรมาก นางเอื้อมมือแตะไปที่ชีพจรของคนที่อยู่ใกล้สุด ก่อนจะตรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงได้พบว่าเหมือนกับที่เจ้าสำนักสวีพูดไว้ ภายในร่างกายของคนนี้มีพลังชีวิตหลงเหลือไม่มาก ไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นกลับมาได้ แต่ที่น่าแปลกคือร่างกายของเขาแข็งแรงอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร ดูเผินๆ เหมือนกำลังนอนหลับอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่องรอยของคำสาปสาวหวาที่หลงเหลืออยู่
“คนของตระกูลอวี๋บอกว่า พวกเขาเคยใช้ ข่ายพลังชีวิต และ ธูปเขาแรด มาเรียกพลังชีวิตของนายท่านตระกูลอวี๋ แต่ไม่สำเร็จ” เจ้าสำนักสวีอธิบาย
อวิ๋นเจี่ยวผงะไปเล็กน้อย ข่ายพลังชีวิตและธูปเขาแรดล้วนเป็นสิ่งที่ใช้ในการรวมจิตและพลัง ตามหลักแล้วควรจะฟื้นพลังชีวิตกลับมาได้ง่าย หากแม้แต่ของสองสิ่งนี้ยังไม่ได้ผล แล้วพลังชีวิตของพวกเขาเกิดปัญหาอะไรกันแน่
นางหนักใจอย่างมาก แต่บนใบหน้ากลับยังคงเคร่งขรึม จากนั้นหันไปตรวจดูทีละคน จนกระทั่งตรวจจนครบหมดแล้วก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร เพียงแต่พลังชีวิตที่สูญเสียไปของพวกเขาไม่เท่ากัน มีมากมีน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายท่านตระกูลอวี๋ พลังชีวิตของเขาราวกับไฟเทียนกลางลม พร้อมที่จะดับได้ทุกเวลา
“สหายอวิ๋น ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นอะไร” เจ้าสำนักสวีถามขึ้น
อวิ๋นเจี่ยวส่ายหน้า “ไม่!” นางดูไม่ออกว่าเป็นสาเหตุอะไร แต่สามารถมั่นใจได้ว่าไม่ได้เกิดจากคำสาปสาวหวา เพราะว่าแรงอาฆาตในตอนแรกถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว
เจ้าสำนักสวีสีหน้าห่อเหี่ยวลงไป ก่อนจะถอนหายใจยาว “เฮ้อ แม้แต่สหายอวิ๋นยังดูไม่ออก…ดูท่าทางคงจะเป็นโชคชะตาของตระกูลอวี๋” พูดจบ ลูกศิษย์ของตระกูลอวี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าสิ้นหวังเช่นเดียวกัน
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกัดฟัน ก่อนจะถามออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศก “อาจารย์อวิ๋น หรือว่า…นายท่านจะสลบเช่นนี้ตลอดไป ไม่ตื่นขึ้นมาอีก?”
“อาจจะแย่กว่านั้น!” อวิ๋นเจี่ยวพูดเสียงทุ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “พลังชีวิตจะสูญเสียไปทีละน้อย พลังชีวิตภายในร่างกายของเขาก็ไม่เหลือมากเท่าไหร่ เมื่อพลังชีวิตหมดไป คงจะ…”
นางไม่ได้พูดต่อไป ลูกศิษย์ตระกูลอวี๋พอจะเดาความหมายของนางออก สีหน้ายิ่งหม่นหมอง จากนั้นจึงถามขึ้น “เช่นนั้นนายท่าน…ยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่”
อวิ๋นเจี่ยวคาดคะเน ลังเลอยู่สักพักถึงได้บอกความจริงกับอีกฝ่าย “เจ็ดวัน มากสุดเจ็ดวัน หากพลังชีวิตยังไม่ฟื้นกลับมา”
หลังจากที่พูดจบ มีบางคนอดกลั้นไว้ไม่ได้ ร้องไห้ออกมา ชายวัยกลางคนที่พูดเมื่อกี้มีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะทำความเคารพนาง “ขอบคุณท่านที่บอก” ที่จริงแล้วอาการของนายท่านตระกูลอวี๋ พวกเขาเคยได้ยินหมอหลายคนพูดแล้ว มาสำนักเทียนซือก็แค่คิดว่าอาจจะมีหวัง แต่ไม่คิดว่าจะมีผลเหมือนกัน
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกหนักใจเช่นเดียวกัน ในฐานะที่เป็นหมอ นางเคยพบเห็นความเป็นความตายมามาก แต่ก็ยังไม่เคยทำความคุ้นชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้
ลูกศิษย์ตระกูลอวี๋จัดการอารมณ์ของตนเองเสร็จ ก็หันไปพูดกับสวีชิงเฟิง “ขอบคุณเจ้าสำนักที่ให้ความช่วยเหลือกับตระกูลอวี๋ นายท่าน…พวกข้าจะพานายท่านกลับไปก่อน”
เจ้าสำนักสวีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ใบไม้ร่วงต้องกลับสู่ราก นายท่านตระกูลอวี๋เหลือเวลาไม่มาก เป็นธรรมดาที่ต้องกลับไป
“เฮ้อ! เสียใจด้วยนายน้อยอวี๋ ข้าจะส่งลูกศิษย์คุ้มครองพวกท่านกลับไป”
ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้า ก่อนจะสบตากับลูกศิษย์คนอื่นด้านข้าง พวกเขาเดินขึ้นหน้าเตรียมที่พยุงนายท่านตระกูลอวี๋ที่นอนสลบอยู่บนเตียงขึ้นมา แต่เมื่อกำลังจะอุ้มคนขึ้นนั้น
“เดี๋ยว!” อวิ๋นเจี่ยวกลับพูดรั้งพวกเขาเอาไว้ “พวกท่านอย่าขยับ!”
ลูกศิษย์ทั้งหลายผงะ ก่อนจะหยุดลง อวิ๋นเจี่ยวจ้องมองไปยังแผ่นหลังของนายท่านตระกูลอวี๋ สีหน้าเคร่งเครียดกว่าตอนแรก
“ทำ…ทำไมหรือ” เจ้าสำนักสวีก็ตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้น “สหายอวิ๋นเห็นอะไรใช่หรือไม่”
อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังนายท่านตระกูลอวี๋แล้วพูดขึ้น “หลังของเขา…”
“หลัง?” เจ้าสำนักสวีหันไปมองแผ่นหลังของนายท่านตระกูลอวี๋ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลย “หลังของเขามีอะไรเหรอ”
“ท่านมองไม่เห็น!” อวิ๋นเจี่ยวผงะไป “แผ่นหลังของนายท่านตระกูลอวี๋มีเส้นด้ายสีเงินเชื่อมอยู่”
“เส้นด้ายอะไร” เจ้าสำนักสวีหันหน้าไปมองอีกครั้ง อีกทั้งยังเดินขึ้นหน้าไปดูเส้นด้ายที่นางว่า “อยู่ไหน”
“…” หรือว่าเป็นเพราะตนเองมีตาทิพย์ อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้อธิบายมาก แต่กลับหันไปหาคนอื่นแล้วพูดขึ้น “เจ้าสำนักสวี รบกวนพลิกตัวคนพวกนี้กลับมาที ข้าจะตรวจอีกรอบ”
“อ่อๆ ได้!” เจ้าสำนักสวีไม่ได้ลังเล เขาเรียกลูกศิษย์เข้ามาหลายคน ก่อนจะพลิกตัวคนที่นอนหลับอยู่ภายในตำหนักทั้งหมด
อวิ๋นเจี่ยวมองดู ว่าแล้ว! ไม่เพียงแต่นายท่านตระกูลอวี๋ แต่แผ่นหลังของทุกคนล้วนมีเส้นด้ายที่มองเห็นได้ลางๆ อยู่ เส้นด้ายนั้นเป็นสีขาวเงิน มีขนาดเล็กมาก หากไม่สังเกตคงจะมองไม่เห็น นางยื่นมือไปแตะ หลังจากนั้นรู้สึกถึงพลังบริสุทธิ์ที่ส่งออกมา นี่คือ…พลังชีวิต!
นางมองตามเส้นด้ายลงไป พบว่าเส้นเหล่านั้นล้วนขาดออกจากกัน สั้นถึงสองสามนิ้ว ยาวหนึ่งถึงสองเมตร มันมีลักษณะราวกับเคยเชื่อมต่อกับอะไรบางอย่าง แต่ถูกตัดขาดไป
อวิ๋นเจี่ยวนำเอาเบาะแสทั้งหมดมาเรียงกัน ก่อนที่จะเชื่อมโยงได้ นางกำมือข้างตัวแน่นก่อนจะพูดขึ้น “ข้ารู้แล้วว่าทำไมพลังชีวิตของพวกเขาถึงไม่กลับมาเสียที”
“อะไรนะ!” ทุกคนต่างดีใจ เจ้าสำนักสวีเองยิ่งถามขึ้นอย่างร้อนรน “สหายอวิ๋น นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“เจ้าสำนักสวี…” นางกลับไม่ได้ตอบ หากแต่ถามกลับ “หลายวันก่อนท่านบอกข้าว่าคนที่ยังไม่ฟื้นมีเพียงสิบกว่าคน แต่ทำไมวันนี้ถึงมีมากกว่าสามสิบคน”
เจ้าสำนักสวีกำลังจะตอบ ลูกศิษย์ตระกูลอวี๋ที่อยู่ด้านข้างชิงตอบขึ้นมาก่อน “เพราะว่าหลายวันนี้ บางคนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วกลับสลบไปอย่างกะทันหัน”
“นั่นก็หมายความว่า คนที่ถูกคำสาปสาวหวาครั้งก่อน ที่จริงแล้วพลังชีวิตของพวกเขายังไม่ฟื้นกลับมาเลย?” นางถามย้ำอีกครั้ง
ลูกศิษย์ตระกูลอวี๋พยักหน้า “ราวกับ…เป็นเช่นนั้น”